จวนแม่ทัพหลานจีกำลังรออยู่ในเรือนเฉินชีกลับมากลางดึก หลานจีที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดก็รีบลุกขึ้นเฉินชีมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย มิได้เอ่ยคำใดและเพียงแค่เดินผ่านไปเมื่อหลานจีเห็นเช่นนั้นก็ร้อนใจ รีบเดินเข้าไปขวางไว้ “ท่านแม่ทัพ!”เฉินชีกลับมิได้หยุดฝีเท้า ยังคงเดินไปข้างหน้าหลานจีรีบตามไปกอดเฉินชีจากด้านหลัง “ท่านแม่ทัพ เหตุใดช่วงนี้ท่านจึงเย็นชากับข้าถึงเพียงนี้”“ท่านแม่ทัพมิต้องการหลานจีแล้วจริงหรือเจ้าคะ?”เมื่อก่อนมิได้เป็นเช่นนี้ เมื่อก่อนท่านแม่ทัพรักใคร่เอ็นดูนางถึงเพียงนั้นปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจเหตุใดความรู้สึกเช่นนี้จึงเปลี่ยนไปได้เฉินชีมิสบอารมณ์ อยากจะดึงนางออกไปทว่าเมื่อลมพัดมา พลันได้กลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้อย่างชัดเจนชั่วขณะนั้น ดวงตาของเฉินชีพลันฉายแววเย็นเยียบ ความหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่วจู่ ๆ เขาก็ดึงตัวนางออกอย่างแรงพร้อมกับโทสะที่ปะทุออกมา“ผู้ใดให้เจ้าใช้กลิ่นดอกกล้วยไม้อีก?”“ข้ามิได้บอกเจ้าหรือว่าห้ามใช้กลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้!”ท่าทางโกรธเกรี้ยวของเฉินชีทำให้หลานจีใจหายวาบแต่นางก็ยังรวบรวมความกล้าคว้าจับชายเสื้อของเฉินชี แล้วกล่าวว่า “ท่า
เลียนแบบคนที่อยู่ในภาพวาดหลานจีตกตะลึงเสียงเย็นชาของเฉินชีดังขึ้นช้า ๆ “เห็นหรือไม่? สำหรับข้าแล้ว เจ้าก็เป็นเพียงหนึ่งในพวกนางเท่านั้น”“ที่ข้าให้เจ้าอยู่ในจวนข้ามานาน ถือว่าเจ้าโชคดีกว่าพวกนางมาก”“พวกนางมิเคยมีโอกาสได้แตะต้องตัวข้าเลยด้วยซ้ำ”“เจ้ายังมิพอใจอีก”หลานจีตกตะลึงมองเขา น้ำตาพลันไหลรินอย่างห้ามมิอยู่“พวกนางและข้าล้วนเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้นหรือ?”“คนที่พวกนางกำลังเลียนแบบ ก็คือคนที่คล้ายกับข้าหรือ?”หลานจียังจดจำได้ถึงครั้งแรกที่พบกันได้ สายตาที่เฉินชีมองนางราวกับกำลังมองคนที่ตกหลุมรักมานานก็เพราะสายตานั้นนางจึงตกหลุมรักเฉินชี จากนั้นก็ยากจะถอนตัวแต่วันนี้ นางกลับเข้าใจแล้วสายตาของเฉินชีในวันนั้นมิได้มองนางแต่มองคนอื่นเฉินชีตอบโดยมิลังเล “ใช่”“สิ่งที่เจ้าแตกต่างจากคนที่นี่คือเจ้ามิจำเป็นต้องเลียนแบบ ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับนางสามส่วน”“แต่เมื่อเทียบกับนางจริง ๆ ก็ยังห่างไกลนัก”“ของปลอมก็ยังคงเป็นของปลอมเสมอ”ในสมองของเฉินชีหวนนึกถึงครั้งแรกที่พบกับลั่วชิงยวนในแคว้นเทียนเชวียเขารู้สึกคุ้นเคยมาก และถึงกับถูกนางดึงดูดใจอย่างลึกซึ้งเป็นไปตามคาด นางค
ในมุมมืด เซี่ยหลิงที่ติดตามมาตลอดทางนอนอยู่บนหลังคา เมื่อเห็นภาพในเรือนก็ตกใจยิ่งนักเฉินชีถึงกับเลี้ยงดูสตรีมากมายไว้ที่นี่เพื่อให้เลียนแบบลั่วเหลา!เฉินชีที่ควบม้าจากไปไกลแล้วหันกลับมามองสายตาของเขาจับจ้องไปยังร่างที่นอนอยู่บนหลังคารอยยิ้มเย็นชาพลันปรากฏที่มุมปากของเขา......วันนั้นเวินซินถงถูกเซี่ยหลิงพาไปยังคฤหาสน์ชิงซานเมื่อเห็นหญิงงามมากมายในเรือน เวินซินถงก็ตกตะลึง“เห็นหรือไม่ขอรับ? นี่คือสิ่งที่เฉินชีทำมาโดยตลอด เขาฝึกคนมากมายเพื่อให้เลียนแบบลั่วเหลา”“และลั่วชิงยวนก็เป็นหนึ่งในนั้น!”“จุดประสงค์ของเขาตั้งแต่ต้นจนจบก็คือการแย่งชิงตำแหน่งนักบวชระดับสูงของท่าน แล้วท่านยังจะกล้าเชื่อคำพูดของลั่วชิงยวนอีกหรือขอรับ”เวินซินถงรู้สึกยากจะเชื่อ “แต่นางรู้เรื่องราวมากมายระหว่างข้ากับนาง”เซี่ยหลิงดึงนางเข้ามา ขณะยืนเผชิญหน้ากับนาง “แค่นางรู้มิได้หมายความว่านางคือลั่วเหลานะขอรับ!”“ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงใดที่ลมมิอาจลอดผ่าน เป็นไปได้ว่าเฉินชีจะรู้เรื่องราวในอดีตของพวกท่าน”“ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถของเฉินชี หากเขาต้องการรู้ บางทีก็อาจจะรู้ได้”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เวิ
ในเรือนมีกลิ่นสุราชั้นดีหอมอบอวลในอากาศยามนี้เวินซินถงกำลังนั่งรอคอยนางอยู่ลั่วชิงยวนประหลาดใจเล็กน้อยส่วนเวินซินถงเมื่อเห็นนางมาก็มีสีหน้าประหม่า“ท่านนักบวชระดับสูง” ลั่วชิงยวนเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนสีหน้าของเวินซินถงอ่อนโยนลงมาก มิเย็นชาเหมือนเมื่อก่อน “นั่งเถิด”ลั่วชิงยวนพยักหน้า จากนั้นเดินเข้าไปนั่งลงเวินซินถงรินสุราสองจอกยื่นให้นางจากนั้นมองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าคือศิษย์พี่ของข้าจริงหรือ?”“เช่นนั้นข้าอยากรู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าตายอย่างไร? เหตุใดจึงหายตัวไปอย่างกะทันหัน? แม้แต่ศพก็หายไปด้วย?”“ผู้ใดทำร้ายเจ้า?”เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงคำถามนี้ทำให้นางมิรู้จะตอบอย่างไร“ข้าก็มิรู้ว่าผู้ใดสังหารข้า ข้ามองมิเห็นใบหน้าของคนผู้นั้น”กล่าวจบ นางก็มองเวินซินถงด้วยสายตาจริงใจ “เจ้ายังมีข้อสงสัยอะไรอีกหรือไม่?”“อันที่จริงข้ายังมีของอีกสิ่งหนึ่ง หากเจ้าได้เห็น เจ้าก็น่าจะเชื่อ”ริมฝีปากของลั่วชิงยวนยกยิ้มจางเมื่อเวินซินถงได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “สิ่งใด?”ในใจของลั่วชิงยวนเกิดความตื่นเต้นเล็กน้อยหลังจากมาถึงแค
เมื่อลั่วชิงยวนเห็นสีหน้าท่าทางของนาง ในใจก็ไหววูบกล่าวว่า “ข้าตายในหอเทียนฉี ข้าเลยอยากจะเข้าไปอีกครั้งเพื่อดูว่าจะพบเบาะแสใดหรือไม่”“หรือทำให้ความทรงจำของข้าชัดเจนขึ้น ดูว่าจะนึกอะไรออกหรือไม่”“แต่ที่นั่นมีเพียงนักบวชระดับสูงที่สามารถเข้าไปได้ เจ้าพาข้าเข้าไปได้หรือไม่?”เมื่อเวินซินถงได้ฟังแล้วก็พยักหน้าโดยมิลังเลแม้แต่น้อย “ได้เจ้าค่ะ”“เดือนนี้ข้ายังมิได้เข้าไปเลย สามวันหลังจากนี้ ข้าจะพาท่านเข้าไปด้วยกัน”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ได้”จากนั้นเวินซินถงก็คีบอาหารให้นางด้วยความตื่นเต้น “รีบกินเถิดเจ้าค่ะ ศิษย์พี่”“ครั้งนี้ข้าจะมิปล่อยให้ท่านจากข้าไปอีก”“รอจนกว่าจะหาตัวฆาตกรที่สังหารท่านได้ แล้วข้าจะคืนตำแหน่งนักบวชระดับสูงให้ท่าน”“แต่ละวันที่ข้าอยู่ในตำแหน่งนี้ล้วนทรมานยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนพยักหน้า แล้วยกชามข้าวขึ้นมาบรรยากาศที่อบอุ่นทำให้ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะดื่มด่ำคิดว่าเวินซินถงดำรงตำแหน่งนักบวชระดับสูงคงมิง่าย หลายปีมานี้คงลำบากมิน้อย“นั่นก็เป็นเพราะเมื่อก่อนเจ้าเอาแต่เกียจคร้าน หากข้ามิกลับมาคราวนี้ ก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าเจ้าจะดำรงตำแหน่งนักบวชระดับสูงได้เช่นนี้”
เพราะหากจะนับกันจริง ๆ แล้ว ศัตรูของนางก็มีมิน้อยทว่าหากจะกล่าวว่าผู้ใดเกลียดชังนางถึงขั้นจะฆ่าให้ตายก็ดูเหมือนจะไม่มีขอบเขตกว้างเกินไป ทำให้มิอาจสืบหาสิ่งใดได้ลั่วชิงยวนตรวจสอบไปรอบ ๆ หอเทียนฉีเวินซินถงถามนาง “ท่านกำลังทำอะไรหรือเจ้าคะ?”“ข้าอยากดูว่าที่นี่จะมีกลไกหรือห้องลับหรือไม่ บางทีศพอาจจะถูกซ่อนไว้ที่นี่ในตอนนั้น แล้วฆาตกรค่อยย้ายศพออกไปในภายหลัง”เวินซินถงตกใจเล็กน้อย “ก็มีความเป็นไปได้เจ้าค่ะ”สายตาของเวินซินถงล้ำลึก “แต่ท่านกับข้าก็รู้ว่าหอเทียนฉีไม่มีห้องลับ และไม่มีกลไกใดนี่เจ้าคะ”“ท่านคุ้นเคยกับที่นี่ที่สุด”อย่างไรก็ตาม ลั่วชิงยวนมิทันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในสายตาของเวินซินถง นางเพียงแต่ตรวจสอบผนัง โต๊ะและตู้ อย่างตั้งใจ“ก่อนที่เราจะเป็นนักบวชระดับสูงก็มีหอเทียนฉีอยู่แล้ว”“บางทีอาจจะมีกลไก เพียงแต่พวกเรามิเคยเห็น”ลั่วชิงยวนยังคงต้องการตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะต้องการหาเบาะแสบางอย่างเวินซินถงตอบอย่างจนใจ “ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านหาที่นี่ ส่วนข้าจะไปค้นหาในห้องข้าง ๆ”ลั่วชิงยวนตรวจสอบอย่างตั้งใจ มิได้หันกลับไปมอง“ดี”จากนั้นเวินซินถงก็ออกจากห้องและปิด
นางค่อย ๆ ทรุดตัวลงพิงประตูอย่างอ่อนแรง รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก“อาถง...”ลั่วชิงยวนเรียกด้วยน้ำเสียงกลั้นสะอื้นเสียงเย็นชาของเวินซินถงดังขึ้นอีกด้านของประตู “อย่ามาเรียกแบบสนิทสนม”“เจ้าไม่มีสิทธิ์”ลั่วชิงยวนถามนางอย่างมิยอมแพ้ “เหตุใด?!”เวินซินถงหัวเราะเยาะ “เหตุใดรึ? เจ้าถามคำถามนี้แล้วมิรู้สึกขบขันบ้างรึไร?”“เป็นเจ้าเองที่มาถึงที่นี่ หากวันนี้ข้าจะสังหารเจ้าที่นี่ก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน”ลั่วชิงยวนเจ็บแปลบที่หน้าอก หมอกสีขาวที่แผ่ซ่านเข้ามาทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัด และหายใจมิออกในใจก็ยิ่งเจ็บปวดแสนสาหัสนางมิอยากจะเชื่อเลยว่าเป็นเวินซินถง!ในตอนที่นำเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมา ลั่วชิงยวนก็เคยนึกสงสัยอยู่ครู่หนึ่งหรือว่าจะเป็นเวินซินถงที่สังหารนางด้วยว่าหากนางต้องการตำแหน่งนักบวชระดับสูง การสังหารลั่วเหลาก็เป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดแต่นางก็ยังเลือกที่จะเชื่อในสายสัมพันธ์ของศิษย์พี่ศิษย์น้องเลือกที่จะเชื่อเวินซินถงแต่คาดมิถึงว่าเมื่อกลับมายังหอเทียนฉีอีกครั้ง กลับต้องเผชิญกับเหตุการณ์ในตอนที่นางตายในชาติที่แล้ว“อาถง... เหตุใดเจ้าจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้? เจ้าต้องกา
นางรีบวิ่งเข้าไปซ่อนอย่างรวดเร็ว ที่นี่เป็นห้องลับจริง ๆ หลังประตูมีกลไกอยู่เมื่อหมุนกลไก ประตูหินก็ค่อย ๆ ปิดลงลั่วชิงยวนสังเกตเห็นว่า หมอกวิญญาณสามารถลอยเข้ามาได้ผ่านช่องว่างใต้ประตูหิน แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่นี่น่าจะปลอดภัยจากนั้นนางก็หันกลับมา ปรากฏว่าไฟในห้องลับสว่างไสวอยู่แล้วเมื่อนางหันไปเห็นภาพเบื้องหลัง ก็ต้องตกตะลึงเนื่องจากในห้องลับที่ว่างเปล่านี้มีเพียงพรมบนพื้นเท่านั้นนอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดทว่าบนพื้นยังมีรอยเลือดสีเข้มลั่วชิงยวนใจหายวาบ พลันรีบเข้าไปตรวจสอบดูพบว่าบนพื้นนี้มีรอยเลือดหลงเหลืออยู่ มีร่องรอยการลาก และบริเวณที่มีรอยเลือดมากที่สุดนั้นเห็นได้ชัดว่าเคยมีศพวางอยู่...ลั่วชิงยวนหายใจสะดุดนางตระหนักได้ในทันทีว่าการคาดเดาของนางนั้นถูกต้องแล้วหลังจากนางถูกสังหาร ศพก็ถูกลากเข้ามาในห้องลับ ดังนั้นเมื่อมีคนมาพบจึงไม่มีผู้ใดพบศพของนางรอจนคลื่นลมสงบ ศพของนางจึงถูกย้ายออกจากที่นี่มิรู้ว่าห้องลับของหอเทียนฉีแห่งนี้มีมาตั้งแต่เมื่อใดแต่ผู้ที่สามารถค้นพบสถานที่แห่งนี้ได้จะต้องเป็นคนของสำนักนักบวช!ก่อนหน้านี้นางมิอยากสงสัย แต่ถึงตอนนี้กลั
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้