ฉู่จิ้งคลี่ยิ้ม รอยยิ้มนั้นแสนอ่อนโยน......เฉินชีลงเขาไปสามวันแล้วบอกว่าจะไปฆ่าลั่วฉิง ลั่วชิงยวนก็มิรู้ว่าเขาจะฆ่าลั่วฉิงจริงหรือไม่ได้แต่รอผลลัพธ์นางอยู่ในห้องสามวัน มิออกไปไหน แค่เปิดประตู นอนมองทิวทัศน์นอกประตูอยู่บนเก้าอี้กินยามาหลายวัน ในที่สุดร่างกายก็มีแรงขึ้นบ้างแล้วคืนหนึ่งลั่วชิงยวนลุกขึ้นไปเดินยืดเส้นยืดสายที่ลานและฝึกฝนด้วยเข็มทิศทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากในป่าแต่มิใช่เสียงฝีเท้าของเฉินชีลั่วชิงยวนจ้องมองไปที่ป่าสายตาพลันเห็นหญิงสาวชุดฟ้าเดินเข้ามาด้วยท่าทางดุดัน สีหน้ามิเป็นมิตรเมื่อเห็นผู้มาเยือน ลั่วชิงยวนก็ตกใจเล็กน้อยเกาเหมียวเหมี่ยว!นางมาที่นี่ได้อย่างไรในตอนนี้เกาเหมียวเหมี่ยวก็กำลังจ้องมองหญิงสาวในลานอยู่ นางสวมชุดขาว สวมผ้าคลุมสีดำ ใบหน้างามราวกับหยกซีดเซียวท่ามกลางแสงจันทร์เหมือนคนตายใช่แล้ว! เฉินชีชอบแบบนี้!“เจ้าคือพระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการที่เฉินชีลักพาตัวมาจากแคว้นเทียนเชวียใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนตอบอย่างใจเย็น “เขียนหนังสือหย่าแล้ว มิใช่พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการแล้ว”“ข้ามิสนว่าเจ้าจะเป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการหร
ลั่วชิงยวนขยี้ยันต์จนแหลกละเอียด เตี่ยฉุยถูกดูดเข้าไปในร่างของลั่วชิงยวนในจังหวะที่แส้ฟาดมา ลั่วชิงยวนรีบยื่นมือออกไปรับพลันคว้าแส้ไว้แล้วดึงอย่างแรง ก่อนจะเหวี่ยงเกาเหมียวเหมี่ยวกระเด็นออกไปเกาเหมียวเหมี่ยวตกใจ แต่ยังรีบกระโจนเข้ามา ลั่วชิงยวนถือโอกาสต่อยเข้าที่ท้องของเกาเหมียวเหมี่ยวอย่างแรงซัดนางกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ ล้มลงกับพื้นแล้วกระอักเลือด“เจ้า! เจ้าเป็นใครกันแน่!” เกาเหมียวเหมี่ยวมองหญิงสาวที่อ่อนแอและซีดเซียวตรงหน้าด้วยความตกใจมิอยากจะเชื่อว่านางจะสามารถควบคุมวิญญาณให้เข้าสิงร่างได้หากคนที่ถูกสิงไม่มีพลังและจิตใจที่แข็งแกร่งย่อมถูกกลืนกินได้ทุกเมื่อโดยเฉพาะวิญญาณเร่ร่อนที่ไปเกิดใหม่มิได้นั้นก็อยากจะมีร่างอยู่แล้วเห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้อ่อนแอและมิน่าจะสามารถควบคุมวิญญาณได้ ทว่านางมิเพียงแต่ควบคุมได้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้พลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ด้วย“ลั่วชิงยวน” นางเอ่ยชื่อสามพยางค์น้ำเสียงเย็นชาไร้ซึ่งความอบอุ่นเจือปนแต่พลังที่แผ่ซ่านออกมากลับทำให้น่าหวาดกลัวอย่างบอกมิถูกแต่ในตอนนั้น ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก เลือดเอ่อล้นขึ
ลั่วชิงยวนมิเคยได้ยินน้ำเสียงและคำพูดแบบนี้จากเฉินชีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเกาเหมียวเหมี่ยวจริง ๆแต่เกาเหมียวเหมี่ยวชอบเขามาตั้งแต่เด็ก อาจจะเพราะนิสัยคล้ายกัน คนเหี้ยมโหดอย่างเฉินชีจึงมีเสน่ห์ดึงดูดเกาเหมียวเหมี่ยวเป็นพิเศษเกาเหมียวเหมี่ยวจากไปด้วยความโกรธ ก่อนไปนางยังมองลั่วชิงยวนด้วยแววตาอาฆาตในแววตานั้นยังเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาด้วยแท้จริงแล้วเกาเหมียวเหมี่ยวมิได้อ้วน แต่มีรูปร่างอวบอิ่ม เป็นแบบที่บุรุษเห็นแล้วชื่นชอบ สตรีเห็นแล้วอิจฉาแต่เฉินชีกลับด่านางว่าอ้วนลั่วชิงยวนคิดในใจว่า หากนางมิได้ผอมลง เฉินชีคงจะมิสนใจนางน่าเสียดาย คงจะอ้วนขึ้นมามิได้ในเวลาอันสั้นเมื่อภัยอันตรายผ่านพ้นไป เตี่ยฉุยก็กลับเข้าไปในหยกแต่ในจังหวะที่เขาออกจากร่าง กลับทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกอ่อนแรงจนเกือบจะล้มลง จึงรีบยันต้นไม้ไว้ดูเหมือนว่าต่อไปหากมิใช่สถานการณ์คับขันก็มิสามารถให้เตี่ยฉุยเข้าสิงร่างได้แล้ว เพราะเป็นการสิ้นเปลืองพลังของนางมากเฉินชีรีบเข้ามาพยุงนาง “เป็นอะไรหรือไม่?”ลั่วชิงยวนผลักเขาออกอย่างเย็นชานางกล่าวเสียงเย็น “เจ้ากับหญิงบ้าคนนั้นช่างเหมาะสมกันนัก”เฉินชีเลิ
แคว้นเทียนเชวียฟู่เฉินหวนป่วยหนัก นอนอยู่บนเตียงหลายวัน เมื่อฟื้นขึ้นจึงรีบออกเดินทางกลับเมืองหลวงโดยมิสนใจคำทัดทาน ไม่มีใครห้ามปรามได้เขาเร่งเดินทางกลับสู่เมืองหลวงฟู่เฉินหวนรีบเข้าวังรายงานภัยคุกคามที่ซีหลิงสิ้นสุดลง ขุนนางในราชสำนักต่างก็ดีใจ“ครั้งนี้ท่านมหาปราชญ์ทำนายถูก เพราะท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการออกรบจึงสามารถยุติสงครามได้!”ผู้คนจึงมองลั่วฉิงในแง่ดีขึ้น“ครั้งนี้ท่านอ๋องสร้างคุณงามความดีอีกแล้ว มิรู้ว่าจักรพรรดิจะประทานรางวัลอะไรให้”...ในห้องทรงพระอักษรฟู่อวิ๋นโจวมิได้ดีใจที่สงครามซีหลิงยุติแต่กลับโมโหมาก เขาถามเสียงดัง “ข้าได้ยินว่ามีคนเห็นลั่วชิงยวนในสนามรบ?! เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”น้ำเสียงเย็นยะเยือกนั้นเต็มไปด้วยความโกรธฟู่เฉินหวนมิตอบ ความเงียบก็คือคำตอบฟู่อวิ๋นโจวเดินเข้ามา “เช่นนั้นเจ้าแอบวางแผนให้ลั่วชิงยวนแกล้งตาย แล้วแอบพานางไปชายแดนซีหลิง เพื่อใช้นางเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนยุติสงครามหรือ?”ฟู่เฉินหวนยังคงมิตอบแต่ฟู่อวิ๋นโจวก็เห็นคำตอบจากความเงียบแล้ว เขาจึงต่อยเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนด้วยความโกรธ ต่อยแรงจนฟู่เฉินหวนล้มลงกับพื้นฟู่เฉินหวนลุ
“การอยู่เคียงข้างกันในช่วงเวลาสุดท้าย อย่างน้อยก็ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน”“จะได้มิเสียใจภายหลัง”จักรพรรดิสูงสุดกล่าวอย่างลึกซึ้งฟู่เฉินหวนกำมือแน่น กล่าวว่า “เสด็จพ่อ ระหว่างลูกกับนางมีความแค้นต่อกัน ย่อมทำเช่นนั้นมิได้ เจ็บแต่จบดีกว่าเจ็บเรื้อรัง...”จักรพรรดิสูงสุดได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “ว่ากระไรนะ? ความแค้นอันใด?”ฟู่เฉินหวนรู้สึกหนักใจ ในเมื่อลาออกจากตำแหน่งแล้ว ตอนนี้ก็ถือว่าจักรพรรดิสูงสุดเป็นเสมือนพ่อ เขามิอยากปิดบังความในใจอีกต่อไป“มารดาของนางเคยหลอกลวงเสด็จแม่ของลูก ใช้เสด็จแม่ให้ลูกกินอะไรบางอย่าง ตอนนี้ลูกถูกสิ่งนั้นทรมานจนทนมิไหว”จักรพรรดิสูงสุดขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่า ฮูหยินของอัครเสนาบดีลั่วหลอกลวงเสด็จแม่ของเจ้างั้นหรือ?”“เจ้าไปฟังใครพูดมา? ฮูหยินลั่วกับเสด็จแม่ของเจ้าสนิทกันราวกับพี่น้อง!”ฟู่เฉินหวนตกใจเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “นางจึงหลอกลวงเสด็จแม่ของลูก นี่เป็นสิ่งที่เสด็จแม่เขียนไว้ในจดหมายพ่ะย่ะค่ะ”จักรพรรดิสูงสุดได้ฟังก็ส่ายหน้า “ไม่มีทาง! ใครในใต้หล้านี้ก็อาจจะทำร้ายเสด็จแม่ของเจ้าได้ แต่ฮูหยินลั่วจะมิทำ นางสามารถสละชีวิตเพื่อเสด็จแม่ของเจ้าได้”“พ่
จากนั้นเขาก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ดวงตาแดงก่ำ มือที่บีบคอของลั่วฉิงออกแรงมากขึ้น เสียงของเขาแหบพร่าด้วยความโกรธ “คืออะไร! วิธีนั้นคืออะไร!”ลั่วฉิงถูกบีบคอจนหายใจมิออก แต่กลับมิตื่นตระหนกและยังคงแสยะยิ้ม“ท่านอ๋อง อย่าทนอีกเลย ท่านฆ่าข้ามิได้หรอก”“ตอนนี้ท่านคงจะทรมานมาก อยากฆ่าข้าแต่ฆ่ามิได้”“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า หากท่านฆ่าข้า บนใต้หล้านี้ก็จะไม่มีใครรู้วิธีแก้ไขการควบคุมของน้ำศักดิ์สิทธิ์อีก”“ท่านอ๋อง ท่านแน่ใจหรือว่าจะใช้กำลังกับข้า?”ลั่วฉิงมิกลัวแม้แต่น้อย ในดวงตายังมีแววท้าทายในที่สุดฟู่เฉินหวนก็ปล่อยมือ ถอยหลังไปหลายก้าว แล้วกระอักเลือดออกมา รู้สึกเจ็บปวดจนเส้นเลือดที่หน้าผากปูดขึ้นมาความโกรธในใจทำให้เขาเกิดความคิดต่อต้านอย่างรุนแรงลั่วฉิงเห็นดังนั้นจึงยกยิ้มอย่างเย็นชา ค่อย ๆ เดินเข้าไปหา “น่าเสียดาย ตอนนี้ท่านรู้ความจริงก็สายไปแล้ว เฉินชีพาลั่วชิงยวนไปแล้ว”“ส่วนจะโดนอะไรบ้าง ข้าเองก็มิรู้”“คนที่ตายด้วยน้ำมือของเฉินชีมีมากมายมิต่างจากลั่วชิงยวนหรอก แค่กระบวนการทรมานอาจจะโหดร้ายหน่อย”คำพูดเหล่านี้ยิ่งทำให้ฟู่เฉินหวนโกรธจัดแต่เขาก็ได้แต่กำมือแน่นอดทน เขาทำอะไรลั่วฉ
“เจ้าครอบครองนาง แต่กลับทำร้ายนาง ข้าอยากครอบครองนาง แต่กลับมิเคยได้ครอบครอง”ฟู่อวิ๋นโจวถอนหายใจ ความโศกเศร้าแวบขึ้นมาในดวงตาของเขาฟู่เฉินหวนหัวเราะ “ที่แท้เจ้าอดทนมานานตั้งแต่แรกก็เพื่อลั่วชิงยวนงั้นหรือ?”“เจ้าหวังบัลลังก์มาตั้งแต่แรกแล้ว”“ตอนนี้ได้บัลลังก์มาแล้ว ยังมิพอใจอีกหรือ?”กล่าวจบ ฟู่เฉินหวนก็หันหลังเดินจากไปอย่างเย็นชาหัวใจของฟู่อวิ๋นโจวสั่นไหวใช่ เขาหวังบัลลังก์มาตั้งแต่แรก และเขาไม่มีโอกาสเลือก......ลั่วชิงยวนพักฟื้นบนเขานานหลายวัน เมื่อร่างกายดีขึ้นบ้างก็จะไปฝึกกระบี่ในป่าเมื่ออากาศหนาวเย็นผ่านพ้นไป อากาศจะค่อย ๆ อบอุ่นขึ้นลั่วชิงยวนจึงตัดสินใจลงเขาไปกับเฉินชี นางทำให้เฉินชีรอนาน แต่เขาก็อดทน มิกล้าทำให้นางโกรธวันนี้พวกเขาออกเดินทางลงเขาหลังจากลงเขาแล้วก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงของแคว้นหลีเมื่อได้เห็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ ลั่วชิงยวนก็รู้สึกซับซ้อน มีความรู้สึกคุ้นเคยที่มิได้สัมผัสมานานนางเติบโตที่นี่มาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ตายที่นี่ด้วยจนถึงตอนนี้นางก็ยังมิรู้ว่าใครเป็นคนฆ่านางอาจจะเป็นเกาเหมียวเหมี่ยว เพราะเฉินชีแสดงออกอย่างชัดเจนว่าชอบนาง เกาเหมียวเห
“ข้ารู้มากกว่าเฉินชีเยอะ”ฉินอี้ใจกระตุก สตรีผู้นี้ดูอ่อนแอ แต่กลับพูดจาโอหัง“ข้าเห็นใต้ตาขององค์ชายเป็นสีเขียวคล้ำ แก้มก็ตอบ คงจะกำลังกังวลเรื่องฝึกฝนวรยุทธ์กระมัง” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงใส ๆ นั้นกลับทำให้ทุกคนตกใจฉินอี้รู้สึกเสียหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แค่ติดขัดเท่านั้น!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ “ทุกคนย่อมพบเจออุปสรรค แต่คนที่เจออุปสรรคห้าปีนั้นหาได้ยาก”คำพูดที่เชื่องช้านั้นทิ่มแทงจุดอ่อนของฉินอี้พูดต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ฉินอี้โกรธมาก“หุบปาก!”ในใจของฉินอี้ก็ตกใจ เหตุใดสตรีผู้นี้จึงรู้เรื่องนี้ แม้แต่เฉินชียังมิรู้เลยเฉินชีได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจ แล้วหัวเราะเยาะ “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า... ห้าปีเลยรึ? องค์ชายช่างสมกับคำว่าไร้ความสามารถเสียจริง!”ฉินอี้หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย เขามองเฉินชีด้วยความโมโหเฉินชียกยิ้มท้าทาย “องค์ชาย คนที่ข้าพามามิใช่คนไร้ค่า ความสามารถของนางเหนือกว่านักบวชหญิงทุกคนในแคว้นหลี!”คำพูดที่โอหังเช่นนี้ มีเพียงเฉินชีเท่านั้นที่พูดได้แต่คำพูดนี้กลับสร้างศัตรูให้ลั่วชิงยวนมากมายฉินอี้หัวเราะอย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า “เฉินช
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้