“เจ้าแต่งกายให้เรียบร้อย มิต้องรีบร้อน ข้าจะออกไปดูเอง” ฟู่เฉินหวนปล่อยนาง แล้วเดินออกจากห้องอย่างสงบนิ่งลั่วชิงยวนรีบแต่งกาย เมื่อพบหน้ากากบนเตียงก็รีบสวมใส่แล้วจัดแจงอย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงค่อย ๆ ก้าวออกไปอย่างใจเย็นเมื่อออกมาก็พบกับใต้เท้าเหอและเหล่าองครักษ์แต่มิพบศพของเหยียนผิงเซียวใต้เท้าเหอมองนางด้วยความสงสัย “เมื่อคืนท่านเซียนฉู่ไปที่ใดหรือขอรับ ข้าเคาะประตูเรียกก็ไร้ผู้ตอบรับ ท่านเซียนฉู่ทราบหรือไม่ว่าเมื่อคืนมีคนตายอยู่หน้าประตูบ้านของท่าน?”ลั่วชิงยวนใจหาย พวกใต้เท้าเหอมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วศพก็ถูกพวกเขาเอาไปแล้วด้วยเคาะประตูแล้วไม่มีคนตอบหรือ?นางมิได้ยินเสียงเคาะประตูจริง ๆนางสบตากับฟู่เฉินหวนแล้วจึงตอบว่า “ข้าดื่มสุราอยู่กับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ”ฟู่เฉินหวนยืนกอดอก มุมปากมีรอยยิ้มจางแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็บอกแล้วว่าข้ากับท่านเซียนฉู่ดื่มสุราอยู่ที่หอฝูเสวี่ย เพิ่งกลับมาเมื่อเช้า ใต้เท้าเหอยังมิเชื่ออีกหรือ?”ใต้เท้าเหอรีบขออภัย “มิได้มีเจตนาดังนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ผู้ตายคือบุตรชายคนโตของตระกูลเหยียน เหยียนผิงเซียว ท่านอ๋องก็ทรงทราบว่าเขามีฐานะพิเศษ บ
ลั่วชิงยวนนิ่งงันไปหลังจากออกจากศาล ลั่วชิงยวนก็เปลี่ยนอาภรณ์แล้วกลับตำหนักอ๋องเมื่อกลับถึงตำหนักก็เห็นฟู่เฉินหวนนั่งจิบชาอยู่ที่ศาลาที่อยู่ในสวนนางเดินเข้าไปนั่งจึงพบว่ามีถ้วยชาถูกเตรียมไว้ตรงหน้าแล้ว“เรื่องการตายของเหยียนผิงเซียวจะจบลงเพียงเท่านี้หรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนตอบ “มิน่าจะมีปัญหาอะไร ข้าได้สั่งการใต้เท้าเหอแล้ว จะให้คนในหอฝูเสวี่ยมาเป็นพยานยืนยันว่าเมื่อคืนเราดื่มสุราอยู่ที่นั่นจริง”“บัดนี้ตระกูลเหยียนไม่มีผู้ใดหนุนหลังเหยียนผิงเซียวแล้ว คงจะมิสืบสาวลงลึก”“ยิ่งกว่านั้น ครั้งก่อนเหยียนผิงเซียวถูกหล่างมู่ทำร้ายปางตาย จะมีชีวิตอยู่ได้กี่วันก็ยากจะคาดเดา”ลั่วชิงยวนพยักหน้าฟังดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใหญ่ แต่ในใจนางกลับรู้สึกมิสงบ“เมื่อคืนลั่วฉิงเห็นหน้าหม่อมฉันแล้ว แม้หม่อมฉันจะทำให้นางบาดเจ็บสาหัส แต่นางคงมิยอมจบง่าย ๆ” ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างกังวลฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “อะไรนะ? ลั่วฉิงคือผู้ใด?”“สตรีลึกลับนางนั้นหรือ? นางชื่อลั่วฉิงหรือ? เจ้ารู้ได้อย่างไร?” ฟู่เฉินหวนถามด้วยความงุนงงลั่วชิงยวนสะดุ้ง ตระหนักได้ว่าตนเผลอพูดสิ่งที่มิควรออกไปแล้วตอนนี้นอกจากคนในตระก
“ช่างน่าเวทนา เหยียนผิงเซียวช่างเป็นคนมีใจมั่นคงยิ่งนัก...”ลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปากแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เขามิได้น่าสงสารหรอก”“ครั้งหนึ่งเขาก็หลอกลวงความรู้สึกของลั่วเยวี่ยอิงเช่นนี้ ใช้ลั่วเยวี่ยอิงมาทำร้ายข้า สุดท้ายก็ถูกสตรีที่รักหลอกลวงจนตายอย่างน่าอนาถ นับว่าเป็นเวรกรรม”ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ช่างเป็นการเอาคืนอย่างสาสม”“แต่คราวนี้ลั่วฉิงหนีรอดไปได้ คงจับนางได้ยากแล้ว”“ยิ่งกว่านั้น นางยังเห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านและรู้ตัวตนของท่านแล้วด้วย คงต้องนำเรื่องนี้มาสร้างความวุ่นวายแน่นอน!”ลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก “ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน”“ลั่วฉิงคงมิปล่อยข้าไว้แน่ ข้ามิไปหานาง นางก็ต้องมาหาข้าอยู่ดี”ซ่งเชียนฉู่ถามอย่างเป็นห่วง “แล้วท่านมีแผนการอะไรหรือไม่?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “วิธีที่ลั่วฉิงจะเล่นงานข้าได้ก็คือการเปิดเผยตัวตนของข้า แต่ตัวตนของนางเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้นมาก”“กองคาราวานของสมาคมการค้าเฟิงตู สามารถเดินทางตรงไปยังชายแดนที่ติดกับแคว้นหลีได้ก็น่าจะสืบหาเบาะแสที่เป็นประโยชน์ได้”ซ่งเชียนฉู่ตาเป็นประกาย “ข้าจะช่วยท่านเอง”“บ้านข้าอยู่มิไกลจากที่น
เกิดความโกลาหลขึ้นในตำหนักอ๋องลั่วอวิ๋นสี่ในชุดดำถูกองครักษ์ล้อมจับเพราะคิดว่าเป็นมือสังหารดังนั้นการลอบสังหารครั้งนี้จึง...ล้มเหลว!มินานฟู่เฉินหวนก็กลับมา ลั่วเยวี่ยอิงรีบเข้าไปเกาะแขนร้องไห้ฟูมฟายมิหยุดโชคดีที่ลั่วเยวี่ยอิงมิรู้ว่าใครคิดฆ่านางจึงมิได้โวยวาย ฟู่เฉินหวนก็มิต้องปวดหัวลั่วชิงยวนได้ยินจือเฉารายงานแล้วจึงมิได้เข้าไปดูลั่วอวิ๋นสี่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ขออภัย ข้าพลาดท่า”“เหตุใดจึงล้มเหลว?” ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ ด้วยฝีมือของลั่วอวิ๋นสี่แล้วก็มิน่าจะพลาดลั่วอวิ๋นสี่ตอบ “ข้าใช้ผงมอมเมาเพิ่มเป็นสองเท่า ปริมาณนี้มากพอจะทำให้วัวหลายตัวสลบ ข้าคิดว่านางคงหลับสนิทแล้ว”“จึงตั้งใจจะลักพาตัวนางไปลงมือข้างนอก”“แต่นางกลับตื่นขึ้นมา”“แปลกมาก นางสูดดมผงมอมเมาเข้มข้นถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงมิสลบ”ลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกงุนงงลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงลั่วอวิ๋นสี่ไม่มีวิชาแพทย์ที่จะป้องกันผงมอมเมาที่เพิ่มความเข้มข้นได้หรือเป็นเพราะสรรพคุณของโอสถจตุรธาตุ?ลั่วเยวี่ยอิงกินโอสถจตุรธาตุไปหนึ่งเม็ด ลั่วชิงยวนใช้โอสถจตุรธาตุขนาดเล็กควบคุมหล่างชิ่นไปเล็กน้อย ในมือเหลือเพียง
“แล้วเหยียนผิงเซียวเล่า ท่านก็เป็นคนฆ่าเขาด้วยเช่นกันสินะ!” ขุนนางในท้องพระโรงเอ่ยถามลั่วชิงยวนยังมิทันตอบก็มีขุนนางที่นางมิเคยเห็นมาก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีพยานและหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ!”องค์จักรพรรดิขมวดคิ้ว แม้จะมิเต็มใจ แต่เรื่องนี้มิอาจเพิกเฉยได้“นำตัวเข้ามา”ลั่วชิงยวนหันกลับไปมองก็เห็นลั่วฉิงเดินเข้ามาในท้องพระโรง“ฝ่าบาท หม่อมฉันลั่วฉิง เป็นนางรับใช้ข้างกายคุณชายเหยียน คืนที่เกิดเรื่องกับคุณชายเหยียน หม่อมฉันเห็นเขาไปที่ร้านของท่านเซียนฉู่และถูกท่านเซียนฉู่ฆ่าตายเพคะ”“ตอนที่คุณชายเหยียนต่อสู้กับท่านเซียนฉู่ หน้ากากของท่านเซียนฉู่หลุด หม่อมฉันเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ปรากฏว่าเขาคือพระชายาลั่วชิงยวนเพคะ!”“บาดแผลร้ายแรงถึงชีวิตของคุณชายเหยียน หมอตรวจสอบแล้วว่าเกิดจากกริชจันทร์เสี้ยว หลายคนย่อมเคยเห็นอาวุธป้องกันตัวที่พระชายาใช้เป็นประจำ ซึ่งก็คือกริชจันทร์เสี้ยว!”ลั่วฉิงนำหลักฐานมาแสดงแล้วกล่าวต่อไปว่า “หม่อมฉันพบจดหมายในห้องของคุณชายเหยียน เป็นจดหมายที่ท่านเซียนฉู่นัดเขาไปที่ร้านด้วยเพคะ”“ท่านเซียนฉู่หลอกลวงคุณชายเหยียนไปฆ่า!”เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ผ
“พวกเจ้าคิดจะประหารชายาของข้าโดยมิถามความเห็นข้าก่อนรึ?” ฟู่เฉินหวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันทั่วทั้งท้องพระโรงพลันเงียบสงัดไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจของเขาต่างพากันปิดปากเงียบฟู่เฉินหวนกล่าวเสียงเย็นชา “นางรับใช้บังอาจกล่าววาจาเหลวไหลในท้องพระโรง? เพียงแค่นางพูด พวกเจ้าก็เชื่อแล้วจริง ๆ”“หรือว่ามาประชุมราชสำนักเช้าเกินไป ยังมิตื่นเต็มที่ ก็เลยลืมเอาสมองมาด้วย?” ฟู่เฉินหวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบที่เต็มไปด้วยความโกรธจักรพรรดิรีบพูดทันที “แม้ลั่วชิงยวนจะเป็นท่านเซียนฉู่ แต่นางมิเคยกล่าววาจาหลอกลวง หรือใช้สถานะไปเบียดเบียนราษฎร การที่นางได้เข้าวังมาเป็นมหาปราชญ์ก็เป็นความคิดของข้าเอง”“พวกเจ้าคิดจะประหารนาง หรือว่าต้องลงโทษข้าก่อนล่ะ?”ขุนนางทั้งหลายรีบคุกเข่า “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!”ลั่วชิงยวนตอบอย่างองอาจ “เดิมทีข้ามิได้อยากเป็นมหาปราชญ์ มิต้องพูดถึงการกล่าววาจาหลอกลวงราษฎร”“แต่บัดนี้หากมิเป็นมหาปราชญ์ คงดูเหมือนข้าหวาดกลัวและมีพิรุธ”“ดังนั้นวันนี้ข้าจะใช้สถานะของลั่วชิงยวนรับตำแหน่งมหาปราชญ์”สิ้นคำของนาง ทุกคนก็ตกตะลึงลั่วชิงยวนช่างอวดดีนัก!จักรพรรดิได้ยินก็กำลังจ
ฟู่เฉินหวนมองไทเฮาด้วยสายตาคมกริบ “ไทเฮาทรงได้รับบาดเจ็บ ให้หมอหลวงมาตรวจดูเถิด”ไทเฮาเหลียวมองเขาอย่างเย็นชาแล้วหันหลังเดินออกไปจักรพรรดิจึงสั่งเลิกประชุมราชสำนัก ฟู่เฉินหวนก็เดินออกไปเช่นกันเมื่อมาถึงสวน ฟู่เฉินหวนก็พบกับไทเฮา“ไทเฮาทรงแสร้งประชวรได้เหมือนจริง แม้เหยียนผิงเซียวและมหาราชาจารย์เหยียนจะตายก็ยังทำให้ท่านล้มมิได้”ไทเฮาหัวเราะเย็นชา “ยังมิถึงตอนตัดสินเลย ตัวข้าจะล้มได้อย่างไร”“แม้ทั้งตระกูลเหยียนจะเหลือเพียงตัวข้าผู้เดียว ข้าก็จะมิยอมแพ้”“เพราะข้าคือไทเฮา!” ไทเฮาพูดด้วยสายตาแน่วแน่ เปี่ยมล้นด้วยความทะเยอทะยานฟู่เฉินหวนหรี่ตาลง “เช่นนั้นนี่ก็คือตอนตัดสิน ไทเฮาคิดว่าท่านจะชนะหรือ?”ไทเฮาตรัสอย่างมั่นใจ “ข้ามิเคยแพ้!”กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไปลั่วชิงยวนถูกคุมขัง ฟู่เฉินหวนก็รีบตามมา“ชิงยวน!”ฟู่เฉินหวนสั่งให้ผู้คุมออกไปเมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ด้วยแล้ว ฟู่เฉินหวนก็จับมือนาง “เจ้าคงลำบากใจที่ต้องอยู่ในคุกสองวัน ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ท่านอย่าใจร้อนเลยเพคะ”“แค่พยายามถ่วงเวลาไว้ หม่อมฉันกำลังรอข่าวอยู่”ฟู่เฉินหวนตกใจเล็กน้อย“ได้
ด้วยบัญชาของฟู่เฉินหวนจึงมิได้มีการทรมานหรือเบียดเบียนลั่วชิงยวนในคุกแต่อย่างใดนางกลับได้รับการดูแลอย่างดี มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์และยังได้รับอนุญาตให้ออกจากคุกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ครึ่งชั่วยามในยามเที่ยงทุกวันด้วย แต่ก็เป็นการปล่อยตัวออกไปอย่างเป็นความลับวันหนึ่งในยามเที่ยง ลั่วชิงยวนได้เห็นอาเสินกำลังบินวนอยู่บนท้องฟ้าเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ นางจึงยื่นแขนออกไปอาเสินจึงบินลงมาเกาะบนแขนของนาง พร้อมกับนำดอกชามาให้นางหนึ่งดอกลั่วชิงยวนดมกลิ่นดอกชานั้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าต้องการบอกข้าว่านางเดินทางมาแล้วใช่หรือไม่”อาเสินมิอาจพูดตอบได้จึงบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง บินวนเวียนอยู่สักพักก่อนจะบินจากไป ลั่วชิงยวนดมกลิ่นหอมของดอกชานั้นอีกครั้ง แล้วคำนวณตำแหน่งของซ่งเชียนฉู่ ปรากฏว่าอีกสามวันนางก็คงจะมาถึงเมืองหลวงแล้วแต่สิ่งที่ลั่วชิงยวนคาดมิถึงก็คือก่อนที่สามวันนั้นจะมาถึงไทเฮากลับเสด็จมา พร้อมกับพระราชโองการ“ลั่วชิงยวนเป็นนางปีศาจผู้ก่อความวุ่นวายให้แก่แผ่นดิน ให้ประหารชีวิตด้วยการตัดหัวในยามเที่ยงวันนี้!” “ให้รีบนำตัวไปยังลานประหารทันที”ลั่วชิง
เขามิอยากแตะต้องนางแม้เพียงปลายเล็บฟู่เฉินหวนรีบส่งคนออกไปตามล่าเฉินชี แล้วจึงกวาดสายตามองลั่วชิงยวนที่นอนอยู่บนพื้นหิมะอย่างเย็นชาก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “พากลับไป”องครักษ์สองนายเข้ามาพยุงลั่วชิงยวน แล้วพานางออกไปจากศาลาลั่วชิงยวนจ้องมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ เมื่อสบเข้ากับสายตาเย็นชาของเขา หัวใจนางก็พลันเหมือนถูกบีบขณะที่นางถูกพาตัวออกไป เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นทั่วศาลาเสียดแทงโสตประสาทยิ่งนักเมื่อกลับถึงตำหนัก ฟู่เฉินหวนก็รีบจัดการวางกำลังคนไปจับตัวเฉินชีลั่วชิงยวนยืนรออยู่ท่ามกลางหิมะ จนกระทั่งเขาจัดการทุกอย่างเสร็จจึงเดินเข้าไปหา“ฟู่เฉินหวน...”ทว่าฟู่เฉินหวนกลับมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องตำรา แล้วปิดประตูใส่หน้าเสียงปิดประตูดังสนั่น ทำให้ลั่วชิงยวนสะดุ้งตกใจนางมิยอมแพ้ เดินไปเคาะประตู “ฟู่เฉินหวน ท่านรังเกียจหม่อมฉันแล้วใช่หรือไม่!”“เฉินชีกับลั่วฉิงร่วมมือกัน! เหตุใดท่านจึงหลอกเอาเข็มทิศของหม่อมฉันไป! ทั้งหมดนี้เป็นแผนของพวกเขา!”นางทุบประตูเรียก “ฟู่เฉินหวน ท่านต้องอธิบายให้หม่อมฉันฟัง!”ประตูเปิดออกกะทันหันฟู่เฉินหวนก้าวออกมาด้วยความโกรธ
ลั่วชิงยวนเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองเขาด้วยความโกรธครั้นเห็นนางมิยอมอ้าปากแม้สักนิด เฉินชีจึงโน้มกายเข้าไปใกล้ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจ้าอยากให้ข้าทำเกินเลยกว่านี้รึ?”ลั่วชิงยวนขบฟันแน่นก่อนจะยอมอ้าปากรับสิ่งที่เฉินชีป้อนให้เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบด้าน“สวรรค์โปรด! สองคนนี้กำลังทำสิ่งใดกันอยู่”“พระชายาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกำลังลักลอบคบชู้ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้หรือ?”เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์ต่างส่งคนไปทูลท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการให้รีบมาโดยพลันเฉินชีนั่งอยู่ในศาลา ยังคงจงใจแสดงท่าทีคลอเคลียกับลั่วชิงยวน แล้วกระซิบเสียงเบา “หลังจากวันนี้ เจ้าคงมิอาจอยู่ในเมืองหลวงได้อีกแล้วกระมัง?”“เหตุใดจึงมิติดตามข้ากลับแคว้นหลีเล่า?”“เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นคนของแคว้นหลี”“ข้าสามารถส่งเจ้ากลับสู่ตำแหน่งเดิม ให้เป็นนักบวชหญิงผู้สูงส่งได้”“หากเจ้าเต็มใจ จงกะพริบตา แล้วข้าจะพาเจ้าไป”ช่างไร้ยางอาย!ลั่วชิงยวนเบิกตากว้างจนดวงตาแดงก่ำ มิยอมกะพริบตาแม้เพียงน้อยในใจนางก่นด่าเฉินชีนับร้อยครั้งครั้นเห็นนางดื้อรั้นเช่นนี้ เฉินชีกลับหัวเราะออกมา“ดูท่าว่าอาเหลายังคงรู้จักข้าดี”ทั
จนกระทั่งฟ้าสาง ผู้คนเริ่มทยอยออกมาตามถนนบรรยากาศบนท้องถนนเริ่มคึกคักขึ้น เฉินชียังคงโอบนางเดินไปข้างหน้าอย่างแช่มช้าในสายตาของคนภายนอก ทั้งสองดูสนิทสนมกันมากจนกระทั่งเดินผ่านร้านค้าแห่งหนึ่งก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจ “นั่นมิใช่พระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการหรือ? เหตุใดนางจึง...”ลั่วชิงยวนได้ยินดังนั้น หัวใจก็พลันกระตุกแต่เฉินชีกลับยกยิ้มอย่างสาแก่ใจ แล้วพาลั่วชิงยวนไปที่ร้านขนมร้านนั้นก่อนจะแสร้งถามลั่วชิงยวนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าชอบกินอันไหน?”ลั่วชิงยวนจ้องมองเขาด้วยความโกรธเฉินชีกลับยิ่งหัวเราะอย่างลำพองใจเขาโยนถุงเงินหนัก ๆ ลงบนแผงร้าน “ข้าเหมาทั้งหมด!”เถ้าแก่ตกตะลึงจากนั้นเฉินชีก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งมาป้อนที่ปากของลั่วชิงยวน “ลองชิมดูหรือไม่?”ลั่วชิงยวนจ้องมองเขา มิยอมอ้าปากแววตาของเฉินชีเย็นชา มือใหญ่เลื่อนไปที่ท้ายทอยของนางแล้วออกแรงบีบพลางยัดขนมเข้าไปในปากของนางด้วยรอยยิ้ม“กินสิ”ท้ายทอยของลั่วชิงยวนเจ็บปวด นางจำใจต้องอ้าปากกัดขนมชิ้นนั้นเฉินชีเห็นดังนั้นจึงพอใจมาก “ชอบหรือไม่?”เขามองนางด้วยสายตาคมกริบ ก่อนยกมือขึ้นเช็ดเศษขนมที่มุมปากของนางท่าทาง
สติเลือนรางลงทุกขณะ ในที่สุดก็ต้านฤทธิ์ยามิไหวจึงสลบไปเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ลั่วชิงยวนก็รู้สึกได้ถึงการเข้ามาใกล้ของใครบางคนพยายามลืมตาขึ้น แต่ก็ยังคงอ่อนแรงจนขยับร่างกายมิได้มีเงาร่างหนึ่งทรุดกายลงตรงหน้าในวินาทีต่อมา มือเย็นเฉียบก็คว้าปลายคางของนาง บังคับให้นางเงยหน้าขึ้นลั่วชิงยวนจึงเห็นใบหน้าที่ขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้ารอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลังโดยมิรู้ตัวเฉินชี!“เหตุใดจึงเป็นเจ้าอีก! เจ้ากล้ามาที่เมืองหลวงเลยหรือ!” ลั่วชิงยวนพูดอย่างอ่อนแรงเฉินชีดึงนางขึ้นจากพื้น แล้วบีบปลายคางของนาง “ฟู่เฉินหวนมิต้องการเจ้าแล้ว”“ไปกับข้าเถอะ”ลั่วชิงยวนสะบัดมือเขาออกอย่างแรง “เจ้าฝันไปเถิด!”“อาเหลา เหตุใดเจ้าจึงยังดื้อรั้นเช่นเดิม นิสัยเช่นนี้ทำให้เจ้าต้องพบเจอความยากลำบากอีกมาก” เฉินชียกยิ้มขณะจ้องมองใบหน้าของนางใบหน้าซีดเซียว อ่อนแรงราวกับจะแตกสลายได้เพียงแค่สัมผัส เขาชื่นชอบยิ่งนักทันใดนั้นลั่วชิงยวนที่มีแววตาเย็นชากัดมือที่บาดเจ็บของเขาอย่างแรงกัดจนเลือดไหลทะลักเข้ามาในปากเฉินชีร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดลั่วชิงยวนฉวยโอกาสวิ
ลั่วชิงยวนกล่าวจบก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดฟู่เฉินหวนหรี่ตาจ้องมองนางด้วยแววตาคมกล้า มิละสายตาไปแม้แต่น้อย แล้วค่อย ๆ ดื่มสุราในจอกจนหมด“ฟู่เฉินหวน ที่จริงมีอีกเรื่องหนึ่ง...” ลั่วชิงยวนตั้งใจจะบอกเรื่องการมีตัวตนของชีวิตน้อย ๆ ในครรภ์ทว่ายังพูดมิจบก็ถูกฟู่เฉินหวนขัดจังหวะ“เจ้านำเข็มทิศติดตัวมาหรือไม่”“ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยทำนาย”ลั่วชิงยวนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหยิบเข็มทิศในอกเสื้อออกมา“ท่านอยากจะให้ทำนายเรื่องใด?” ลั่วชิงยวนถามฟู่เฉินหวนจ้องมองนางด้วยแววตาคมกล้า สายตาเย็นชานั้นทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกแปลกประหลาด“เหตุใดท่านจึงมองหม่อมฉันเช่นนั้น?”ตอนนี้สายตาที่ฟู่เฉินหวนมองนางราวกับมองคนแปลกหน้าเฉียบคมและเย็นชาเสียงเย็นเยียบดังขึ้น “เจ้าเป็นใครกันแน่”ลั่วชิงยวนตกใจ มองเขาด้วยความมิเข้าใจ “ท่านเป็นอะไรไปเพคะ?”มองแววตาเย็นชาของฟู่เฉินหวนแล้ว ลั่วชิงยวนก็พลันรู้สึกใจคอมิดี จู่ ๆ เริ่มวิงเวียน ภาพตรงหน้าพร่าเลือนนางรีบกุมศีรษะ ตระหนักได้ว่าตอนนี้นางมีบางอย่างผิดปกติ นางเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างยากลำบาก “ท่านวางยาในสุราหรือ?”แต่ฟู่เฉินหวนกลับมิตอบในตอนนั้นเอง ประ
หากนางคาดเดามิผิด นั่นคือสมบัติล้ำค่าของแคว้นหลีก่อนหน้านี้เคยบังคับให้ลั่วชิงยวนมอบให้แล้วแต่ก็ล้มเหลวบัดนี้ฟู่อวิ๋นโจวได้ขึ้นครองราชย์ ฟู่เฉินหวนก็ถูกนางควบคุม นางจะต้องให้ลั่วชิงยวนมอบเข็มทิศนั้นให้นางให้ได้!สีหน้าของฟู่เฉินหวนเปลี่ยนไปลั่วฉิงกล่าวต่อ “เมื่อครู่ข้าอยู่ในห้องตำรา พบของบางอย่างที่ถูกไฟไหม้”“มีหีบใบหนึ่งอยู่ แม่กุญแจบนหีบนั้นเป็นแม่กุญแจสุริยันจันทราของแคว้นหลี”“คิดว่าคงเป็นของใช้ของหมู่เฟยของท่านอ๋องกระมัง”“หม่อมฉันช่วยท่านเปิดได้”“แลกเปลี่ยนกันดีหรือไม่?”......ล่วงเข้ายามดึก เตาไฟในห้องตำราถูกจุดขึ้น ภายในห้องอบอุ่นฟู่เฉินหวนหยิบของในหีบออกมาดูทีละชิ้น แววตาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นตกตะลึง ตามมาด้วยความโกรธที่เพิ่มมากขึ้นเขากำมือแน่น เส้นเลือดที่หลังมือปูดโปนขึ้นมาสีหน้าสงบนิ่ง แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความเดือดดาล......ในที่สุดก็มีวันฟ้าใสอีกครั้ง จักรพรรดิสูงสุดมิยอมให้พวกหลี่ว์โม่ทั้งสามคนออกไป ลั่วชิงยวนจึงคิดจะออกจากวังทุกวันบังเอิญว่าวันนี้เป็นวันที่มีแสงแดดอบอุ่นในเหมันตฤดู ลั่วชิงยวนจึงอ้างว่าจะออกไปอาบแดดและเดินเล่นไปทั่วในวัง ทำให้สา
“จะไม่มีฟู่จิ่งหานอีกต่อไปแล้วขอรับ”“คุณชายลองคิดดูเถิดขอรับว่าจะใช้นามว่าอะไรดี”ฟู่จิ่งหานตกตะลึงเมื่อได้ฟังดังนั้น เขารีบลงจากรถม้า กระโดดลงพื้นไปยืนชื่นชมทิวทัศน์หิมะอันกว้างใหญ่แล้วสูดอากาศที่หนาวเย็นแต่สดชื่นเขาหลับตาลง รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก“ดีจริง ๆ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากกรงขังนั้นได้แล้ว”“ข้า... ไม่สิ ข้าต้องคิดแล้วว่าจะใช้นามว่าอะไรดี”พูดจบ สีหน้าของฟู่จิ่งหานก็พลันเปลี่ยนไปขณะถามว่า “เสินหลี เจ้านำเงินติดตัวออกมาด้วยหรือไม่?”เขารีบค้นตัวเสินหลีกลับพบเพียงถุงเงินใบเล็กเทออกมาดูแล้ว ปรากฏว่ามีเงินมิกี่ตำลึง“เสินหลี เจ้ามินำเงินออกมาด้วย จะปล่อยให้ข้าอดตายหรือ?”เสินหลียิ้มกว้าง “คุณชายวางใจเถิดขอรับ เสินหลีจะมิปล่อยให้คุณชายต้องหิวโหยแน่ขอรับ”ฟู่จิ่งหานมองเขาด้วยสายตาสงสัย “จริงหรือ? แต่ข้า... แต่ข้าทำอะไรมิเป็นเลย”เขาเคยชินกับการมีคนปรนนิบัติ จู่ ๆ จากจักรพรรดิกลายเป็นสามัญชน การไม่มีเงินติดตัวเลยทำให้เขารู้สึกมิสบายใจ“ข้าน้อยทำเป็นขอรับ ข้าน้อยทำได้ทุกอย่าง จะดูแลคุณชายให้ดีที่สุด!”ฟู่จิ่งหานจึงมิคิดมาก อย่างไรเสียก็ออกจากวังมาแล้วเขานั่งบนรถม้
เมื่อลั่วชิงยวนมาถึงพระตำหนักโช่วสี่ ไทเฮากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าซีดเซียวเตาไฟในห้องดับลงแล้ว ไทเฮานั่งอยู่เพียงลำพัง ดูโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่งนักลั่วชิงยวนสังเกตเห็นขวดยาบนโต๊ะสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนนำมาให้จักรพรรดิสูงสุดมิคิดจะไว้ชีวิตไทเฮาแล้ว“ถึงตอนนี้แล้วก็ยังมิยอมแพ้ ยังหวังว่าเหยียนหน่ายซินจะช่วยตระกูลเหยียน มิเหมือนคนเพ้อฝันไปหน่อยหรือเพคะ”ลั่วชิงยวนนั่งลงตรงข้ามไทเฮาไทเฮามิได้โกรธแต่กลับยกยิ้มเศร้า “หากมิลองเสี่ยงดูจะยอมรับได้อย่างไร”“ครั้งนี้ข้าแพ้แล้ว”กล่าวจบ ไทเฮาก็เงยหน้าขึ้นมองลั่วชิงยวน “ก่อนตาย ข้าขอเจ้าเพียงสิ่งเดียว”“ขอหม่อมฉันหรือ? แปลกจริง” ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆไทเฮากล่าวอย่างมีเลศนัย “เจ้ารู้จักเจ๋อเฉิง ตอนที่เจ้าสังหารเจ๋อเฉิง เจ้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา เจ้าคงตกใจมาก”“เจ้าน่าจะเป็นคนแคว้นหลีเช่นกัน”“มิใช่ลั่วชิงยวน บุตรีของจวนอัครเสนาบดี”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองไทเฮาไทเฮากล่าวต่อ “ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ๋อเฉิงล้วนจริงแท้”“แม้ว่าจะมีเรื่องราวซับซ้อนมากมาย”“ข้ารู้ว่าข้าติดหนี้เขาตลอดชีวิต”“ข้าหวังเพียงว่า ชาติหน้า
ไทเฮาหรี่ตาลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถึงตอนนี้แล้วข้าจะทำสิ่งใดได้อีก ก็คงมีเพียงแต่หาทางออกให้กับชาติภพหน้าเท่านั้น”“เหยียนหน่ายซินมารายงานข้าอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ข้ายังหวังสิ่งใดได้อีก”น้ำเสียงของไทเฮาแฝงไปด้วยความสิ้นหวังฟู่เฉินหวนครุ่นคิด แล้วตอบว่า “ก็ได้”“มอบของให้กระหม่อม แล้วกระหม่อมจะให้ลั่วชิงยวนมาพบท่าน”ไทเฮาพยุงร่างตัวเองลงจากเตียงแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเปิดห้องลับฟู่เฉินหวนก้าวตามเข้าไป คบเพลิงในห้องลับถูกจุดขึ้น และส่องสว่างไปทั่วภายในห้องลับมีทรัพย์สมบัติมากมายไทเฮากล่าว “สิ่งเหล่านี้ เจ้าเอาไปได้ทั้งหมด”“อย่างไรเสีย ข้าก็ไม่มีบุญได้ใช้แล้ว”ไทเฮาพาฟู่เฉินหวนไปยังมุมห้องแล้วเปิดหีบใบใหญ่ ภายในมีสิ่งของสีดำมากมายทุกชิ้นล้วนมีร่องรอยของการถูกไฟไหม้สิ่งของเหล่านั้นล้วนเป็นข้าวของในวังหลัง“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเดียวที่มิได้ถูกไฟไหม้ สิ่งใดที่ขนย้ายได้ก็ขนย้ายมาทั้งหมด”ฟู่เฉินหวนมองร่องรอยการถูกไฟไหม้ ภาพเหตุการณ์อันน่าสยดสยองปรากฏขึ้นในมโนสำนึกเปลวไฟแผดเผาผู้คนมากมาย เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนและเสียงกรีดร้องนับมิถ้วนแต่พวกนางกลับหนีออกม