จั๋วซือหรานหลังได้ยินคำนี้ ก็เพียงแค่ยิ้มบางๆ "ทุกคนไม่ใช่เด็กกันแล้ว ใครทำเรื่องอะไรไม่มีสาเหตุกันบ้าง""เพียงแต่สาเหตุของท่าน ผลของมันข้ากลับต้องมาแบกรับ ตอนนี้ใครเมืองหลวงใครไม่รู้บ้าง ว่าจั๋วซือหรานอย่างข้าถูกท่านอ๋องทอดทิ้งไปแล้ว" เนื้อหาในคำพูดของจั๋วซือหรานแม้จะเป็นเช่นนี้แต่ในน้ำเสียงอันที่จริงก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไร นางเหมือนจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล แข็งแกร่งเหมือนต้นกก"ข้าโดนบังคับให้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยไม่รู้สาเหตุ แล้วยังไม่ยอมให้ข้าได้คิดหาวิธีเองเลยหรือ?"ตอนที่นางพูดกับเฟิงเหยียน ใบหน้ายังมีรอยยิ้มจางๆ อยู่ด้วย ราวกับว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยนางเอ่ยต่อ "นี่มันเหตุผลอะไรกัน?"เฟิงเหยียนนิ่งงัน ไม่พูดอะไรไปพักหนึ่งจั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้น ไม่คิดจะรอให้เขาเอ่ยปากด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรสมองก็ไปหมดแล้วนี่ ในปากเองก็คงไม่มีคำพูดอะไรดีดีนักพอหมุนตัวจะเดินไป ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของชายหนุ่ม ดังลอดเข้ามาด้านหลัง "ปันอวิ๋นเป็นคนรู้จักเก่าของข้า"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ก็เดาได้อยู่"เฟิงเหยียนเม้มปาก คิ้วขมวด "ข้ากับเขามีบุญคุณความแค้นกัน ถ้าเขามาหาเรื่องเจ
หานกวงฟังฟังไม่ออกถึงอารมณ์ใดจากในน้ำเสียงเขา แต่ฟังออกว่า นายท่านไม่ค่อยเบิกบานนัก......จั๋วซือหรานให้ความสำคัญกับแม่และน้องชายมาโดยตลอด ดังนั้นตอนที่เซี่ยอวิ๋นเหนียงกลับเมืองหลวง จั๋วซือหรานจึงออกไปรับที่ประตูเมืองด้วยตนเองคนคุ้มกันที่เฝ้าประตูเมืองก็ล้วนเปลี่ยนผลัดกันมาจากค่ายป้องกันลาดตระเวน พอเห็นจั๋วซือหรานเข้ามา จึงกระตือรือร้นกันอย่างกับอะไรดีถ้าไม่ใช่จั๋วซือหรานปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก พวกเขาคงจะเอาเก้าอี้มาให้นางนั่งที่ประตูเมืองแล้ว...มานั่งเหมือนคนแก่ที่ประตูเมือง มันคงไม่ค่อยน่าดูนักแต่พวกเขากังวลว่าจั๋วซือหรานจะเหนื่อย ถึงแม้ในใจพวกเขาไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ ว่านี่คือจอมโฉดรับมือกับพวกโจรพรมแดนใต้มานะจอมโฉดอะไร? จอมโฉดก็ยังเป็นหญิงสาวนะ แล้วสองวันนี้อากาศก็เป็นช่วงที่อากาศเย็นลงด้วย ประตูเมืองเองก็มีลมผ่านรอบด้าน คนมารอที่นั่นนานๆ คงได้ถูกลมพัดจนตัวชาดังนั้นหัวหน้าหน่วยคุมกันประตูเมือง จึงมาเตือนอย่างหวังดี ให้จั๋วซือหรานไปนั่งรอที่แผงน้ำชาข้างทางดีกว่า"ถ้ารถม้าของฮูหยินมาถึง ข้าจะมาแจ้งแม่นางทันทีเลย ไม่ต้องกังวล คอยหลบลมอยู่ตรงนี้เถิด วันนี้ลมแรงมากจริงๆ"อีกฝ่า
จั๋วซือหรานอันที่จริงก็สังเกตเห็นตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว ว่าครั้งนี้ท่านแม่ไม่ได้กลับมาคนเดียวแต่นางเองก็ไม่ได้รู้สึกเกินคาดนัก เพราะครั้งนี้ที่ให้ท่านแม่กลับไปบ้านตายาย หนึ่งก็คือกลับไปเยี่ยมญาติ สองคือคิดจะให้บ้านของตายายเข้าไปอยู่ในตลาดวัตถุดิบยาของเมืองหลวงดังนั้น ถ้าหากบ้านตายายจะให้คนกลับมาเมืองหลวงด้วยกัน มาหารือเรื่องการค้า จั๋วซือหรานก็ไม่รู้สึกมีปัญหาอะไรตอนนี้พอเห็นหญิงสาวคนนี้เดินมา แล้วยังตัดบทสนทนาของนางกับท่านแม่ด้วย จั๋วซือหรานจึงถามว่า "คนผู้นี้คือ?"เซี่ยอวิ๋นเหนียงเอ่ยขึ้นข้างๆ "นี่คือป้ารองของเจ้า"จั๋วซือหรานพยักหน้าเล็กน้อย "ท่านป้ารอง"นางหยวนเองก็พยักหน้าให้จั๋วซือหราน"ป้ารองเมื่อครู่พูดถึงน้องชายข้า" เสียงของจั๋วซือหรานมั่นคงมาก "เสี่ยวหวายเขาทำไมหรือ?"นางหยวนเดิมทีรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้น่าจะจัดการได้ไม่ยาก ถึงอย่างไรก็เป็นแค่หญิงสาวเท่านั้นแต่พอได้เห็นกับตา แล้วยังเห็นหัวหน้าหน่วยคุ้มกันของค่ายป้องกันลาดตระเวน มีท่าทีเกรงอกเกรงใจกับจั๋วซือหรานนางหยวนจึงไม่กล้าเล่นใหญ๋ แค่รู้สึกว่าหลานสาวคนนี้ ไม่ใช่แค่คนธรรมดาง่ายๆ อย่างที่พวกเขาคิดเสียแล้วน่าจะเ
นางหยวนแน่นอนไม่คิดจะผิดใจกับหลานสาวคนนี้ แม้จะบอกว่าไม่รู้ว่าที่ลือกันเป็นจริงอยู่กี่ส่วน แต่คนผู้นี้ เป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง แล้วยังเป็นโหวหญิงอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีตำแหน่งขุนนางในตัวแน่นอนต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษนางหยวนหยุดไปครู่หนึ่ง จึงพูดว่า "หรานหราน เจ้าเข้าใจบ้านพวกเราผิดแล้ว เสี่ยวหวายไม่ได้ถูกขังไว้ในอวิ๋นหลิวไม่ให้กลับเมืองหลวง แต่หลังจากเขาไปที่อวิ๋นหลิว อาจจะเพราะการกินอยู่ไม่สบายหรืออะไรสักอย่าง ร่างกายก็ไม่ค่อยดีมาโดยตลอด เส้นทางกลับมาก็ไกลแล้วยังขรุขระด้วย ดังนั้นจึงให้เขาอยู่ที่อวิ๋นหลิว รอให้ร่างกายดีแล้วค่อยกลับมาเมืองหลวง"เดิมทีขณะที่พวกนางพูดกันก็กำลังเดินไปด้านในเมืองหลวงแต่พอนางหยวนพูดคำนี้ เท้าของจั๋วซือหรานก็หยุดลงทันทีนางหันมามองนางหยวนนิ่งๆนางหยวนถูกสายตาของนางมองจนลนลาน "หรานหราน เจ้า เจ้า...ทำไมมองข้าแบบนั้น?"จากนั้นนางจึงเห็นรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจบนใบหน้าจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานก็ถามนางเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มมาคำหนึ่ง "ท่านป้า ไม่รู้ว่าครั้งนี้มีแค่ท่านป้าที่มากับท่านแม่ใช่ไหม?"นางหยวนแม้จะถูกนางจ้องจนรู้สึกลนลาน แต่พอได้ยินคำถามท
การก่อเรื่องกะทันหันของจั๋วซือหราน บวกกับท่าทางของคนของหน่วยคุ้มกันกับองครักษ์เงาที่พุ่งเข้าไปควบคุมขบวนรถอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าทำให้คนอื่นๆ ในรถม้าตกใจลุงใหญ่ของจั๋วซือหราน หรือก็คือเซี่ยหมิงอี้พี่ชายคนโตของเซี่ยอวิ๋นเหนียง เดินลงมาจากรถม้าหน้าขรึม"อวิ๋นซี นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" เซี่ยหมิงอี้มองไปทางเซี่ยอวิ๋นเหนียง ถามเสียงขรึมจากนั้นสายตาก็เหลือบไปทางจั๋วซือหรานผาดหนึ่ง ถามขึ้นว่า "เข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า?"คอของนางหยวนยังคงถูกบีบอยู่ในมือจั๋วซือหราน ท่าทางนั้น เหมือนหิ้วไก่ตัวหนึ่งอยู่ไม่ผิดเพี้ยนเพียงแต่ว่า ยังพอส่งเสียงอะไรออกมาได้ เสียงของนางหยวนกับสายตานั้นพรั่นพรึงเหมือนกัน "พี่ พี่ใหญ่! ช่วยข้าด้วย!"เซี่ยหมิงอี้เอ่ยกับจั๋วซือหรานเสียงขรึม "หรานหราน นี่ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ เจ้าปล่อยป้ารองเจ้าลงก่อนเถอะ ครอบครัวเดียวกันอย่าทำร้ายกันให้ชาวเมืองเขาหัวเราะเยาะเลย"คำพูดนี้พูดไว้ถูกต้อง ถ้าหากเป็นเรื่องสำคัญของภาพรวม จั๋วซือหรานจะทำตามที่เซี่ยหมิงอี้ว่าแน่นอนแต่ว่านางไม่ใช่คนที่จะต้องเห็นภาพรวมเป็นเรื่องสำคัญเสียทุกเรื่องคนที่นางใส่ใจเดิมทีก็มีไม่เยอะอยู่แล้ว แม่แ
เซี่ยหมิงอี้คิดๆ ยังเอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า "เดิมทีเรื่องงานแต่งงานของลูกต้องมีพ่อแม่เป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่พี่สายมาตัดสินนะ เจ้ากับเสี่ยวหวายถูกตระกูลจั๋วขับไล่ออกมา ไม่มีตระกูลจั๋วมาจัดการให้พวกเจ้า พวกเราในฐานะผู้อาวุโส จัดการเรื่องนี้ให้เสี่ยวหวายมันก็สมเหตุสมผลดี เจ้าทำไมถึงต้องโมโหเพราะเรื่องนี้..."จั๋วซือหรานหัวเราะเย็นชา "ความหมายก็คือ พวกท่านแค่จัดการให้เสี่ยวหวายยังไม่พอ แต่หลังจากนี้ยังคิดจะวางท่าทางเป็นผู้อาวุโสในตระกูล แล้วมาจัดแจงให้ข้าด้วยว่างั้น"เซี่ยหมิงอี้หน้าแข็งไปจั๋วซือหรานเอ่ยต่อ "ยิ่งไปกว่านั้นข้าเป็นพี่สาวคนโต ข้าตัดสินใจได้อยู่แล้ว ข้าตอนนี้ไม่ใช่แค่พี่สาวของจั๋วหวาย ลูกสาวของเซี่ยอวิ๋นซี ข้ายังเป็นผู้อาวุโสของตระกูลจั๋วอีกด้วย สามข้อนี้ ข้าจัดการงานแต่งงานที่ดีให้กับน้องชายข้าในอนาคตได้เหลือๆ ไม่ต้องลำบากพวกท่านแล้ว!"มือของจั๋วซือหรานออกแรงเพิ่มขึ้น!ดวงตาของเซี่ยหมิงอี้เบิกกว้างขึ้น ในสายตามีความตกตะลึงขึ้นมา!เพราะ...เขาพบว่า นางหยวนแม้จะถูกบีบคอไว้แต่ตอนที่จั๋วซือหรานออกแรงเพิ่ม คอของเขาก็ถูกรัดแน่นขึ้น เจ็บปวดตามขึ้นมาแล้ว!เซี่ยหมิงอี้กระทั่งในดวงต
จั๋วซือหรานเองก็พาแม่ไปนั่งบนรถม้าคันหนึ่งระหว่างทางที่รถม้าแล่นตรงไปยังจวน เซี่ยอวิ๋นเหนียงก็รีบถามขึ้นว่า "หรานหราน นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เสี่ยวหวายมีตรงไหนแย่ไหม?"เสียงของนางมีความร้อนรน "แม่ไม่ดีเอง แม่คิดไม่ถึงว่าบ้านตายายเจ้าจะแอบทำแบบนี้ เสี่ยวหวายมีอะไรไม่ดีกันแน่? แม่ได้ยินความหมายเจ้าก่อนหน้านี้ อาการป่วยของเสี่ยวหวาย มันไม่ถูกต้องใช่ไหม?"จั๋วซือหรานครุ่นคิดพักหนึ่ง นางเดิมทีไม่อยากให้แม่ตกใจแต่ก็เข้าใจดี ยิ่งตอนนี้พูดไม่ชัดเจน แม่ก็จะยิ่งถูกทำให้ตกใจง่ายขึ้นดังนั้นจั๋วซือหรนพอคิดไปครู่หนึ่ง จึงกลั่นกรองคำพูดแล้วเอ่ยว่า "ท่านแม่ยังไม่ต้องร้อนใจกังวล เป็นแค่การคาดการณ์ของข้าเท่านั้น ท่านตอบคำถามส่วนหนึ่งข้ามาก่อน ข้าจึงจะพิจารณาได้ว่าตอนนี้คือสถานการณ์แบบไหน"เซี่ยอวิ๋นเหนียงรู้ว่าลูกสาวเป็นคนฉลาด เรื่องทุกเรื่องอยู่ในการควบคุมหมด จึงรีบพยักหน้ารับ "เจ้าแค่ถามมา ถ้าแม่รู้ แม้จะบอกเจ้าให้หมด!""ตอนนี้ตระกูลเซี่ย...ยังเป็นท่านตาที่ดูแลหรือเปล่า?" จั๋วซือหรานถามขึ้นมาเซี่ยอวิ๋นเหนียงถอนหายใจเบาๆ "ข้าเองกลับไปถึงเพิ่งรู้ ว่าสุขภาพตาของเจ้าแย่ลงทุกปี ไม่กี่ปีน
"แต่พวกของลุงเจ้าบอกว่า ตระกูลของแม่นางทางนั้น เหมือนจะค่อนข้างกระตือรือร้นกับเรื่องนี้ บอกว่าถึงอย่างไรก็เป็นคุณหนูจากสำนัก เรื่องนี้ถ้ากำหนดแล้ว จะเป็นประโยชน์กับเสี่ยวหวาย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นประโยชน์กับเจ้าด้วย เจ้าเองก็รู้ ว่าน้องชายเจ้า..."เซี่ยอวิ๋นเหนียงส่ายหัวเอ่ยต่อว่า "ถ้าบอกว่าเพื่อตัวเขาเอง เขาก็จะไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่ถ้าบอกว่าเป็นประโยชน์กับเจ้า เขาก็จะไม่มีความเห็นอื่นอีก"พอฟังถึงตรงนี้ จั๋วซือหรานก็เม้มปาก นิ้วมือกำแน่นขึ้นมา กดเสียงต่ำลงถามว่า "จากนั้นล่ะ?""จากนั้นเด็กคนนี้เดิมทีคิดจะกลับมา เพื่อถามการตัดสินใจจากเจ้าด้วยตัวเอง เขาบอกว่าจะฟังเจ้า เขาไม่มีความเห็นอะไร" เซี่ยอวิ๋นเหนียงคิดๆ แล้วก็พูดคำพูดของจั๋วหวายตอนนั้นออกมาคำพูดเดิมของจั๋วหวายตอนนั้นคือ: 'ข้าเองไม่ใช่ว่าจะตัดสินใจหรือเลือกเองไม่ได้ แต่พี่สาวข้าฉลาดกว่าข้า สายตากว้างไกลกว่าข้า ดังนั้นต่อให้นางบอกว่าได้ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเหมาะกับข้า แต่ถ้านางบอกว่าไม่ เช่นนั้นก็คือไม่ ข้าจะฟังท่านพี่'จั๋วซือหรานสูดหายใจลึก ถามต่อว่า "ท่านแม่ เสี่ยวหวายเริ่มไม่สบายตั้งแต่ตอนไหน?"เซี่ยอวิ๋นเหนียงคิดอย่างละเอียด
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด
จะเหมือนว่าตบหน้าใส่ตนเองอย่างแรง ทั้งที่เดิมทีก็อยู่บนโชคชะตาที่ขมขื่นอยู่แล้ว กระทั่งยังเป็นการตบหน้าตนเองในตอนนั้นอีกด้วยแบบนั้น...มันขมขื่นเกินไป พวกเขาเดิมทีก็ยากลำบากอยู่แล้วปันอวิ๋นนิ่งงันไปพักหนึ่ง อันที่จริงรู้สึกเหมือนไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดีอยู่หน่อยๆความเงียบงันดำเนินต่อไประยะหนึ่งยังคงเป็นเฟิงเหยียนที่เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมาก่อน "ขอบคุณมาก"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ ก็รู้สึกแปลกประหลาด อารมณ์เองก็ไม่ค่อยมั่นคงทั้งที่มั่นคงมาตลอดแท้ๆหลังผ่านไปพักหนึ่ง ปันอวิ๋นจึงเอ่ยตอบว่า "เรื่องเล็กน้อย"ตอนที่ได้ยินคำนี้ สายตาของเฟิงเหยียนก็เหมือนขยับนิดๆยังจำได้ว่า ตอนยังเด็กถ้าปันอวิ๋นช่วยเขาทำอะไร ขอแค่เขาขอบคุณ ปันอวิ๋นก็จะพูดคำว่า 'เรื่องเล็กน้อย' ออกมาเสมอต่อให้บางครั้ง จะไม่ใช่เรื่องเล็กเลยก็ตาม แต่ก็ยังทำให้เขารู้สึกว่า ไม่ต้องเกรงใจ ยังมีพี่น้องคนนี้ช่วยแบกอยู่เฟิงเหยียนหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า "ก่อนหน้านี้ ข้าเจอกับหลงเฉินมา"พอได้ยินชื่อนี้ที่คุ้นเคย ม่านตาปันอวิ๋นก็หดลงเล็กน้อยเฟิงเหยียนเอ่ยต่อว่า "เขามีชีวิตไม่ค่อยดีนัก เหมือนตอนนั้นหลังจากที่เขาท
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั