ดวงตาของเจาหมิ่นเคร่งขรึมมากขึ้นเล็กน้อยผู้รับใช้ที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง และเสียงของเขาก็ต่ำลง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่ต้องยกระดับเสียงขึ้น เนื่องจากพวกเขาตกใจอย่างมาก ซึ่งทำให้เสียงเหมือนไก่ขัน“เป็นไปได้อย่างไร” เขากรีดร้อง “นางเป็นเพียงคนโง่ ๆ ที่เกิดและเติบโตในตระกูลที่ทำค้าขายของแคว้นชางเอง นางอาจเป็นเพียงคนโง่ที่ไม่ทราบเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับเสน่ห์ เป็นไปได้... นั่นคือหนอนแม่กู่ที่เจ้าหุบเขากลั่นเองนะ"“นางมีความสามารถขนาดนั้นได้อย่างไร ลบสัญลักษณ์ของเจ้าหุบเขาออกแล้ว เป็นไปได้อย่างไร”เจาหมิ่นไม่ได้โกรธเพราะทัศนคติอันดุร้ายของเขา นางเข้าใจความตกใจของผู้รับใช้ได้อย่างสมบูรณ์ในขณะนี้เจาหมิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาของนางมืดมน "นางจั๋วซือหราน เจ้าเก่งจริง ๆ ... ข้าดูถูกนางเกินไป"“องค์หญิง ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี” ผู้รับใช้คนนี้เป็นคนไร้ประโยชน์ บัดนี้ เขาหวาดกลัวจนทำตัวไม่ถูก“เรากำลับไปก่อน” เจาหมิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อจั๋วซือหรานสามารถไปถึงหน่วยรักษาความปลอดภัยได้… แสดงว่าสองคนนั้นถูกควบคุมแล้ว และพวกเขาคงสารภาพทุกอย่างแล้ว สองคนนั้นมันไม่ได้เรื่อง ส่วนคนที่อย
หลังจากนางพูดเช่นนี้ ก่อนที่ยามสองคนนั้นรู้ตัว นางก็ขยับตัวว่องไวเหมือนปลาชนิดหนึ่งและหลบหนีไปในทันทีพวกเขาพยายามจับนางและสอบปากคำนาง แต่ก็ทำไม่ได้ยามทั้งสองมองหน้ากันและพูดว่า "นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าจะเฝ้าที่นี่ เจ้ารีบไปรายงานผู้อาวุโส"ยามอีกคนหนึ่งรีบเดินเข้าไปในจวนเฟิงเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะเหตุการณ์ของพิษกู่ร้อยไหม ตระกูลนี้ต้องเสียลูกหลานที่โดดเด่นไปตั้งสี่คน ซึ่งเป็นเรื่องหนักใจไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังทราบว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลถูกผู้หญิงของตระกูลอื่นใช้...ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสและผู้ใหญ่ที่บ้านจึงนอนไม่หลับทั้งคืนหลังจากฟังเนื้อหาเหล่านี้ที่ยามรักษาความปลอดภัยที่รายงานในขณะนี้ บรรยากาศที่หนักหน่วงอยู่แล้วก็เริ่มเคร่งขรึมยิ่งขึ้นและเกือบจะมีน้ำหยด“ จั๋วจิ่ว ผู้กล้าหาญคนนี้ นางช่าง... ไม่เคารพตระกูลเราเลย”“นางคิดว่าไม่มีใครจัดการนางได้หรือ”“ นางกล้าเล่นงานของตระกูลเฟิงเช่นนี้ได้อย่างไร นางไม่กลัวทำให้ทั้งตระกูลเฟิงโกรธจริง ๆ หรือ”ในความเป็นจริง ยามยืนฟังข้าง ๆ เขารู้สึกว่าพูดเช่นนี้ไม่เหมาะสมเพราะแม้ว่
“ผู้อาวุโสกำลังคุยกัน เจ้าพูดแทรกได้อย่างไร”“อย่าพูดไร้สาระรู้ เจ้ารู้อะไร”แม้ว่าในก่อนหน้านี้ เฟิงหร่านกล้าพูดเช่นนี้ แต่นางคาดไม่ถึงว่า คำพูดของนางทำให้ผู้ใหญ่ที่บ้านมีปฏิกิริยายิ่งใหญ่เข่นนี้ ดังนั้นนางจึงรู้สึกน้อยใจเล็กน้อยกับคำตำหนินี้ขณะที่นางรู้สึกน้อยใจ นางโกรธเล็กน้อยเช่นกันเหล่าผู้อาวุโสรีบไล่นางออกไป "ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามาที่นี่ ออกไปเดี๋ยวนี้"หลังจากเหล่าผู้อาวุโสไล่เฟิงหร่านออกไป พวกเขาก็มองหน้ากันจากนั้นก็มีคนเริ่มพูด“ในเมื่อเป็นเช่น นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่เหมาะสมพอดี เราจะปล่อยให้จั๋วจิ่วมีชื่อเสียงที่ว่าช่วยตระกูลเฟิงพ้นจากวิกฤตกาลเช่นนี้ไม่ได้หรอกนะ ”“ใช่ เดี๋ยวชาวบ้านนินทากันว่า ตระกูลเฟิงลืมบุญคุณและทรยศผู้หวังดีกับเรา คำพูดของคนผู้นี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมพอดี”“จะเหมาะสมหรือไม่ นั่นก็พูดได้ยาก จริงอย่างที่เฟิงสือพูดในเมื่อครู่นี้ คนผู้นั้นเป็นเพียงคนสัญจรที่แปลกหน้า และตอนนี้ไม่มีใครหาเขาเจอแล้ว และไม่มีใครเป็นพยานได้เลย”เมื่อมีสองสามคนแสดงความกังวลเหล่านี้ทันใดนั้นมีเสียงเย็นชาดังขึ้นและพูดอย่างเย็นชาว่า "เมื่อใดที่ตระกูลเฟิงต้องการพยานล่ะ หากข้า
เดิมที เฟิงเหยียน กังวลว่าเธอจะเศร้าและเสียใจเนื่องจากการตอบแทนความเมตตาแต่ไม่มีร่องรอยของความโศกเศร้าหรือความคับข้องใจบนใบหน้าของนางผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปอย่างสิ้นเชิง"อีกอย่าง..." จั๋วซือหรานยังคงยุ่งกับของในมือของนาง "แม้ว่าตอนแรก ๆ ข้าช่วยเหลือตระกูลเฟิง เพียงเพื่อป้องกันการสมรู้ร่วมคิดของผู้บงการไม่ประสบความสำเร็จ... "“สิ่งที่ข้าทำหลังจากนั้นไม่ใช่แค่นั้น ข้ากำลังรวบรวมของรางวัลของข้าด้วยนะ…” จั๋วซือหรานไม่อยู่การกระทำที่มือของนางเฟิงเหยียนสังเกตเห็นการกระทำของนางเสียนานแล้ว และเขาก็อดไม่ได้ที่ต้องมองดูการกระทำในมือของนาง “นางกำลังยุ่งอยู่กับอะไรกันแน่”จั๋วซือหรานหัวเราะเบา ๆ และหยิบ ' ขนมชาม ' ในมือของนางออกมา“ ท่านอ๋อง ต่อจากนี้ไปแม้ว่าตระกูลเฟิงจะหาเรื่องข้า แต่ใรเรื่องนี้ ข้าไม่ได้เสียเปรียบนะ”จั๋วซือหรานพูดไปและจัดเรียงหนอนในมือของนางให้เป็นแถวจากนั้นนางยื่นมือไปหาเฟิงเหยียน นางพูดกับเขาว่า " ท่านอ๋อง มาสิ ฉันแนะนำเจ้ารู้จักหน่อย นี่คือสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของข้า"เฟิงเหยียนมองนางนำแนะหนอนอ้วนหกตัวในมือของนางอย่างเป็นทางการเฟิงเหยียนมองนางชี้ไปที
เฟิงเหยียนเห็นนางลบสัญลักษณ์เหล่านั้น การกระทำและสีหน้าของนางทำให้เขามักรู้สึกว่า เรื่องนี้ทำได้ง่ายอย่างที่คนทั่วไปกินข้าวและตื่มน้ำ นางยังคงรู้สึกมหัศจรรย์อยู่เล็กน้อยอันที่จริง เฟิงเหยียนก็เคยเห็นนางทำเช่นนี้มาก่อนแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อจั๋วเสียวจิ่วตระหนักว่าแผนของนางถูกทำลายโดยสายลับในค่ายป้องกันเมือง ซึ่งนางไม่ทันสังเกตสายลับผู้นั้น และสายลับผู้นี้ต้องไปรายงานคนเบื้องหลังสีหน้าของนาง...ราวกับว่านางโกรธอย่างมากหลังจากนางแพ้ในการเล่นพ่าย เห็นได้ชัดว่ามีสีหน้าเช่นนี้อยู่บนใบหน้าของนางเฟิงเหยียนไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้อยู่บนใบหน้าของนางเลยเพราะที่ตลอดผ่านมา นางมักมีสีหน้าที่ดูสงบและเก็บตัวหรือเย่อหยิ่งนางไม่เคยมีสีหน้ามาก่อน แก้มของนางปูดด้วยความโกรธ และนางขมวดคิ้วให้แน่นราวกับว่าบนใบหน้าของนางได้เขียนว่า ข้าไม่สบายใจ ข้าไม่สบายใจ ข้าโกรธ ข้าโกรธเมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ เฟิงเหยียนรู้สึก... อยากหัวเราะเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูกจากนั้นนางก็นำหนอนทีละตัวด้วยออกมาด้วยความโกรธ นางไม่สนใจจะมีความเสี่ยงหรือไม่ และไม่สนใจนางจะถูกหนอนเหล่านั้นทำร้ายตัวเองหรือไม่ราวกับว่านางไม่ส
จั๋วซือหรานได้ยินคำพูดนี้ จากนั้นนางก็ยิ้มและพูดว่า "หากท่านอ๋องอยากชมข้า ท่านอ๋องพูดตรงได้เลยเจ้าค่ะ"เฟิงเหยียนมองเข้าไปในดวงตาที่มืดมนและเป็นประกายของนาง เขาเงียบสองสามวินาทีแล้วจึงเปิดริมฝีปากของเขาแล้วพูดว่า " จั๋วเสียวจิ่ว เจ้าเก่งเหลือเกิน"จั๋วซือหรานกระพริบตาใส่เขา " ท่านอ๋องอยากเห็นอะไรที่เก่งกว่านี้ไหมเจ้าคะ"เฟิงเหยียนยอมรับว่าเขาผ่านประสบการณ์มามากจนไม่สามารถแม้แต่จะไว้วางใจพ่อของเขา ซึ่งผู้มีความเกี่ยวข้องกับเขาทางสายเลือด และตระกูลที่เขาเติบโตมาด้วยเกียรติและความอับอาเช่นเดียวกันดังนั้นเขาจึงสงบสติอารมณ์ได้ดีมาก และดูเหมือนว่าหาได้น้อยมากที่มีอะไรที่สามารถทำให้เขามีอารมณ์ใด ๆดูเหมือนว่าเขาจะสูญเสียความอยากรู้อยากเห็นในทุกสิ่งไปแล้วหากผู้คนสูญเสียความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกและทุกสิ่ง คนเช่นนี้จะน่าสงสารมากแต่หลังจากเขาพบกับจั๋วซือหราน ดูเหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไป และเขาก็ไม่แน่ใจเขายังเป็นคนเช่นเดิมเพราะหญิงประหลาดคนนี้ดูเหมือนจะสามารถปลุกเร้าอารมณ์ของเขาได้อย่างง่ายดายเขาไม่สามารถสงบสติอารมณ์เหมือนเมื่อก่อนได้อีกต่อไป และเขาไม่เหมือนเมื่อก่อน ซึ่งไม่สนใจท
ส่วนหนอนพิษกู่ร้อยไหมที่นางจับได้จากนายพลฉีฮ่าว และนายพลยิงส้าว ขนมหยกขาวและขนมก้อนเมฆกลับไม่มีแสงสว่างเช่นนี้เฟิงเหยียนเงียบไปครู่หนึ่งอาจเป็นเพราะเขากำลังคิดถึงความเป็นไปได้ที่สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นและดูเหมือนว่าเขาจะตอบสนองอย่างรวดเร็วเฟิงเหยียนกระซิบ “พวกเขาดูดซับพลังของเฟิงช่าน เฟิงจู๋ และอีกสองคน…”จั๋วซือหรานเอื้อมมือไปจิ้ม 'ขนมมะม่วง' เบา ๆ แล้วพูดเบา ๆ ว่า "ไม่ใช่แค่นี้"อาจเป็นเพราะระยะของสองคนนี้อยู่ใกล้กัน จนพวกเขาไม่ต้องพูดเสียงดัง แม้ว่าพวกเขากระซิบกัน ก็สามารถให้ฝ่ายหนึ่งได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายเพียงแต่เสียงกระซิบทำให้คนคันหูเท่านั้นจากนั้นก็มีมืออันอ่อนโยนจับมือเขาไว้จั๋วซือหรานจับมือของเฟิงเหยียนเบา ๆ นางบีบนิ้วของเขาแล้ววางลงบน 'ขนมมะม่วง'เนื่องจากนางปราบหนอนพิษกู่ร้อยไหมเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ พวกมันจึงไม่เป็นศัตรูกับเขาเมื่อมีจั๋วซือหรานอยู่ข้าง ๆเฟิงเหยียนสัมผัสได้อย่างชัดเจนจากปลายนิ้วของเขา ซึ่งค่อนข้างนุ่มนวลทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่าทำไมจั๋วเสียวจิ่วถึงชอบหยิกพวกมัน ดูเหมือนนางชอบหยิกพวกมันมากจากนั้นเฟิงเหยียนก็รู้สึกถึงความร้อนที่ผิดปกติจ
เพียงแต่ตอนนี้จั๋วซือหรานมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องจัดการ“เอาล่ะ ไปตลาดมืดกันต่อเลย” จั๋วซือหรานกล่าวว่า “ขนมที่อยู่ที่ตลาดมืดนั้น พลาดไม่ได้นะ”บางทีอาจเป็นเพราะนางคิดว่ามีกล่องสุ่มกำลังรอนางที่ตลาดมืด จั๋วซือหรานจึงรอไม่ไหวตอนนี้เฟิงเหยียนเชื่ออย่างเต็มที่ว่านางไม่รู้สึกน้อยใจเลยสำหรับความไม่ยุติธรรมที่นางต้องทนมา นางจะชดเชยเองเมื่อเทียบกับเรื่องซุบซิบของคนนอก ดูเหมือนว่าหญิงสาวเจ้าเล่ห์คนนี้จะรู้สึกมาโดยตลอดว่าสิ่งที่นางถืออยู่ในมือนั้นสำคัญกว่าเมื่อพวกเขากำลังจะมาถึงตลาดมืด จู่ ๆ เงาสีดำก็ปรากฏขึ้นข้าง ๆ พวกเขาแม้ว่าคนที่มาจะแต่งกายด้วยชุดสีดำ แต่ดูจากรายละเอียด มองออกได้ง่ายเลยว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์เงาของเฟิงเหยียน“ท่านขอรับ” ผู้พิทักษ์เงาเรียกด้วยเสียงทุ้ม“มีอะไรหรือ” เฟิงเหยียนเหลือบมองเขาผู้พิทักษ์เงามองจั๋วซือหราน เขาอยากรายงานแแต่เห็นจั๋วซือหรานอยู่นี่นี่ เขาจึงลังเลที่จะพูดต่อ จั๋วซือหรานรู้เรื่องดี นางพูดกับเฟิงเหยียน"ท่านอ๋อง เช่นนั้นข้าไปรอที่อื่นละกัน"แต่เฟิงเหยียนขมวดคิ้วและพูดว่า "ไม่เป็นไร" เขาบอกผู้พิทักษ์เงาว่า "บอกได้เลย""ขอรับ" ผู้พิทักษ์เงารับค
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด