“เชิญแม่นางจิ่วมากับข้า” ต่งคังรีบลุกขึ้นและนำจั๋วซือหรานไปที่ค่ายทหารบางแห่งและเขาก็จงใจรักษาระยะห่างกับจั๋วซือหรานเพียงไม่กี่ก้าว “ข้าอาจจะติดเชื้อโรคเช่นกัน เพื่อความปลอดภัย แม่นางจิ่วอยู่ห่าง ๆ กับข้าดีกว่า”จั๋วซือหรานสังเกตเห็นว่าดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ในค่ายลาดตระเวนแห่งนี้ดูเหมือนต่งคังทราบความคิดในใจของจั๋วซือหราน ต่งคัง จึงกล่าวว่า "ข้ากังวลว่ามันจะกลายเป็นความวุ่นวายใหญ่ ดังนั้นข้าจึงสั่งทุกคนห้ามขยับตัวไปที่อื่น หากไม่ได้รับอนุญาต ห้ามมีคนฝ่าฝืนคำสั่งของข้า จะลงโทษตามกฎหมายทหาร"จั๋วซือหรานเหลือบมองต่งคังด้วยการชื่นชม "ด้วยการตัดสินใจของใต้เท้าต่ง โรคระบาดจะต้องได้รับการควบคุมอย่างดี"เมื่อมาถึงที่พักของยิงส้าว จั๋วซือหรานก็เดินเข้าไป เฟิงเหยียนไม่ได้ติดตาม แต่เขายืนอยู่นอกประตูเพราะเขาสวมหน้ากากและแต่งกายด้วยชุดสีดำที่เรียบง่าย ไม่มีใครคิดมากว่าเขาเป็นใคร พวกเขาแค่คิดว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์ที่ติดตามจั๋วซือหรานไม่มีใครสนใจเขา แต่ภายใต้หน้ากากของเขา ดวงตาที่แหลมคมของเขาราวกับเหยี่ยวกำลังสังเกตสถานการณ์รอบ ๆ ที่พักของยิงส้าวหลังจากจั๋วซือหรานเดินเข้าไปในค่ายทหาร เนื่
ทันทีที่เฟิงเหยียนพูดคำเหล่านี้ สีหน้าของต่งคังและยิงส้าวก็ดูเคร่งขรึมเช่นกัน และพวกเขาก็มองคนที่เฟิงเหยียน จับอยู่ในมือของเขาอย่างเข้มงวดพวกเขามองจากเสื้อผ้าบนตัวของทหารคนนั้น พวกเขาทราบเลยว่า นั่นเป็นทหารธรรมดา“เจ้าเป็นทหารของใคร”“ไม่ได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่ ทำไมเดินเล่นในค่ายทหาร”เฟิงเหยียนโยนชายคนนั้นลงบนพื้นและไม่รั้งเขาไว้อีกต่อไป ดังนั้นทหารคนนี้สามารถพูดได้จริง ๆแต่เขากัดฟันและไม่พูดอะไร ทำตัวเหมือนไม่มีใครสามารถเอาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ออกจากปากของเขาได้“ดูเหมือนต้องลงโทษ” ต่งคังพูดและเหลือบมองยิงส้าวยิงส้าวพยักหน้าแม้ว่าพวกเขาสองคนมีคนหนึ่งมาจากหน่วยลาดตระเวนและอีกคนมาจากกรมสอบสวนคดีอาญา แต่พวกเขาต่างเป็นผู้นำทั้งคู่ พวกเขาไม่ต้องลงโทษด้วยตัวเอง ดังนั้นพวกเขาไม่ทราบวิธีการลงโทษใด ๆดูเหมือนว่าเฟิงเหยียนและจั๋วซือหรานจะมองออกว่า สองคนนี้ไม่ถนัดกับการใช้วิธีการทรมานเฟิงเหยียนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวต่งคังและยิงส้าวมองออกเขาจะทำอะไร พวกเขาถึงหลบตัวไปด้านข้างแต่เฟิงเหยียนยังไม่ทันลงมือเลยพวกเขาเห็นแม่นางจั๋วจิ่วยืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้าของนางมืดมนเล็กน้อย และดวงตา
เขามองออกทันทีเลยว่า หนอนในมือนางคือตัวอะไรมีเสียงหอบรุนแรงในลำคอของเขา เพราะเสียงนั้นรุนแรงและรวดเร็วจนฟังดูเหมือนเสียงหอนเขาสามารถมองเห็นเส้นเล็ก ๆ ในตัวหนอนพิษกู่ร้อยไหม อย่างชัดเจน และเขาสามารถเห็นได้ว่าหนวดบนตัวของมันเริ่มคมและแหลมคม ราวกับว่ามันเพียงแค่ต้องเข้าไปใกล้อีกนิดหนึ่ง จะเจาะเข้าไปในลูกตาของเขา“ข้าจะบอก ข้าจะบอก ข้าจะบอกทุกเรื่อง ไว้ชีวิตข้า ขอเจ้าไว้ชีวิตข้า”ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาพูดอย่างเร่งรีบ "ข้าจะบอกทุกเรื่อง บอกทุกเรื่องเลยขอรับ เอามันออกไป เอามันออกไปเร็ว ๆ นี้"เขาเห็นว่าสีหน้าเย็นชาบนใบหน้าของหญิงสาวไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ หลังจากเขาพูดเช่นนี้ เหมือนนางไม่สนใจกับการประนีประนอมของเขา“ข้าไม่อยากรู้อะไรเลย” จั๋วซือหรานบีบคางของเขาให้แน่นขึ้น และดึงหนอนพิษกู่ร้อยไหมเข้ามาใกล้ลูกตาของเขาอีกเล็กน้อยไหมกู่นั้นเกือบจะแตะลูกตาของเขา เขาพยายามกระพริบตาอย่างสิ้นหวัง และเปลือกตาของเขาถูกไหมกู่ที่แหลมคมนั้นขีดข่วน และมีเส้นเลือดของน้ำตาไหลบนแก้มของเขาต่งคังและยิงส้าวมองไปที่หญิงสาวสวยที่ไร้อารมณ์ใด ๆ บนใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา นางดูเหมือนนักฆ
“ ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลเฟิง ท่านอ๋องไม่ควรออกมาตามหาข้า”จั๋วซือหรานกล่าวดวงตาของนางสว่างและชัดเจน สีหน้าและน้ำเสียงของนางก็แสดงถึงความคิดเห็นของนางได้ชัดเจนมาก "แต่ ท่านอ๋องยังมาหาข้า แม้ว่าข้าไม่ได้พูดหรือถาม แต่ข้าก็ทราบดี สุดท้ายตระกูลเฟิงต้องรู้ตัว... "นางเงยหน้าขึ้นและมองเข้าไปในดวงตาของเฟิงเหยียน "ข้ากำลังขโมยพลังของพวกเขา"เฟิงเหยียนก็มองเข้าไปในดวงตาของนางโดยไม่พูดอไร เขาไม่ปฏิเสธกับคำพูดของนาง เขาแค่มองอย่างเงียบ ๆจั๋วซือหรานกล่าวต่อ "ดูเหมือนว่าเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลและฐานะของตระกูล พวกเขาสามารถเพิกเฉยต่อชีวิตของเด็ก ๆ ในตระกูลได้ คราวนี้ข้าช่วยตระกูลเฟิงพ้นจากวิกฤติ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ของตระกูลเฟิง การกรำทำของข้าไร้คุณค่าอย่างมาก”“ดังนั้นแม้ว่าข้าช่วยชีวิตของพวกเขาก็จริง ช่วยพวกเขาพ้นจากอาคมหนอนพิษกู่ และช่วยตระกูลเฟิงไม่ถูกพิษกู่ทำลาย แต่สำหรับพวกเขา เมื่อเทียบกับเรื่องที่ข้าขโมยพลังของตระกูลแล้ว การกระทำของข้าไร้คุณค่าจริง ๆ ”เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร เขายังคงมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ยกมือขึ้นและแตะศีรษะของนางเบา ๆเขาเงียบไปสองสามว
จั๋วซือหรานส่งเสียง 'เชอะ' ในขณะที่นางพูด สีหน้าของจงแย่มาก "... เพียงแต่ว่าเรามาถึงจุดนี้และล้มเหลวแล้ว ให้คนที่อยู่เบื้องหลังทำสำเร็จ เขาโยนความผิดมาใส่ร้ายข้า ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ข้าก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย”จั๋วซือหรานคิดว่าหากเจาหมิ่นรู้เรื่องนี้ นางจะไม่ปรากฏตัวแล้ว นางโยนความผิดใส่ร้ายนาง จั๋วซือหราน นางจั๋วซือหราน ไม่กลัวการถูกใส่ร้ายหรอก...แต่อีกฝ่ายอาจยังคิดว่าตัวเองฉลาดกว่านาง และเก่งกว่านางซึ่งทำให้จั๋วซือหรานไม่สบายใจอย่างมาก ข้าฉลาดเหลือเกิน ข้าฉลาดกว่าเจ้าอีกจั๋วซือหรานคิดเช่นนั้น จากนั้นนางส่งเสียง 'เชอะ' และดึง' ขนมชาม ' อ้วน ๆ ออกมาจากแขนเสื้อของนาง“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…” จั๋วซือหรานหรี่ตาลงและกระพริบตา......ที่อีกด้านหนึ่ง รถม้าที่เรียบง่ายและไม่สะดุดตาขับออกจากพระราชวังและมุ่งหน้าไปยังจวนเฟิง เห็นได้ชัดว่า รถม้าคันนี้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้วคนที่นั่งอยู่ในรถม้ามีใบหน้าที่เย็นชาและน่ารักนางสั่งคนขับหยุดรถม้า“องค์หญิง” คนขับรถม้าเปิดประตู “สถานที่แห่งนี้ยังอยู่ห่างจากจวนเฟิงระยะหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่เป็นไร ข้าจะเดินไปเอง” เสียงของเจาหมิ่นสงบและไร้
นี่เป็นเพราะบัดนี้คือเวลาที่ดีที่สุดจนกระทั่งเจาหมิ่นเร่งคนนั้นด้วยความไม่อดทน "เร็วเข้า อย่าทำให้แผนของข้าล่าช้า"ชายคนนั้นทำได้เพียงหายใจเข้าไม่กี่ลมหายใจแล้วพูดว่า "องค์หญิง แม่นาง... จั๋วจิ่ว รักษาฉีฮ่าว... หายแล้ว กระหม่อมเห็นกับตาของตัวเอง...! หลังจากที่นางเข้าไปรักษา...ฉีฮ่าว ฉีฮ่าวฟื้นจากอาการบ้าคลั่งของเขาได้แล้ว”หลังจากเจาหมิ่นได้ยินคำพูดนี้ นางก็ไม่มีการกระทำใด ๆ อีกเลย นางแค่ยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆหลังจากที่สีหน้าของนางหายไปครู่หนึ่ง นางก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า "เป็นไปไม่ได้"เสียงของนางแหลมคม และแม้แต่ใบหน้าที่เย็นชาของนนางก็แสดงความโกรธอย่างสุดซึ้ง“อย่าพูดเรื่องไร้สาระ” เจาหมิ่นจ้องไปที่ผู้ชายคนนี้ชายผู้นี้ถูกจ้องด้วยสายตาที่ดุร้ายคู่นี้ เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่รู้ตัว "องค์ องค์หญิง... กระหม่อมพูดเรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ"เจาหมิ่นหายใจเข้าลึก ๆ และสีหน้าของนางกลับมาเป็นสีหน้าเย็นชาและสงบตามปกติของนาง นางจ้องมองไปที่ดวงตาของชายคนนั้น "ดังนั้นเข้ากำลังบอกว่า จั๋วจิ่ว รักษาฉีฮ่าวให้หายขาดหรือ""ใช่พ่ะย่ะค่ะ"“รักษาให้หายขาดหรือ” เจาหมิ่นถามอีกครั้ง
ดวงตาของเจาหมิ่นเคร่งขรึมมากขึ้นเล็กน้อยผู้รับใช้ที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง และเสียงของเขาก็ต่ำลง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่ต้องยกระดับเสียงขึ้น เนื่องจากพวกเขาตกใจอย่างมาก ซึ่งทำให้เสียงเหมือนไก่ขัน“เป็นไปได้อย่างไร” เขากรีดร้อง “นางเป็นเพียงคนโง่ ๆ ที่เกิดและเติบโตในตระกูลที่ทำค้าขายของแคว้นชางเอง นางอาจเป็นเพียงคนโง่ที่ไม่ทราบเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับเสน่ห์ เป็นไปได้... นั่นคือหนอนแม่กู่ที่เจ้าหุบเขากลั่นเองนะ"“นางมีความสามารถขนาดนั้นได้อย่างไร ลบสัญลักษณ์ของเจ้าหุบเขาออกแล้ว เป็นไปได้อย่างไร”เจาหมิ่นไม่ได้โกรธเพราะทัศนคติอันดุร้ายของเขา นางเข้าใจความตกใจของผู้รับใช้ได้อย่างสมบูรณ์ในขณะนี้เจาหมิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาของนางมืดมน "นางจั๋วซือหราน เจ้าเก่งจริง ๆ ... ข้าดูถูกนางเกินไป"“องค์หญิง ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี” ผู้รับใช้คนนี้เป็นคนไร้ประโยชน์ บัดนี้ เขาหวาดกลัวจนทำตัวไม่ถูก“เรากำลับไปก่อน” เจาหมิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อจั๋วซือหรานสามารถไปถึงหน่วยรักษาความปลอดภัยได้… แสดงว่าสองคนนั้นถูกควบคุมแล้ว และพวกเขาคงสารภาพทุกอย่างแล้ว สองคนนั้นมันไม่ได้เรื่อง ส่วนคนที่อย
หลังจากนางพูดเช่นนี้ ก่อนที่ยามสองคนนั้นรู้ตัว นางก็ขยับตัวว่องไวเหมือนปลาชนิดหนึ่งและหลบหนีไปในทันทีพวกเขาพยายามจับนางและสอบปากคำนาง แต่ก็ทำไม่ได้ยามทั้งสองมองหน้ากันและพูดว่า "นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าจะเฝ้าที่นี่ เจ้ารีบไปรายงานผู้อาวุโส"ยามอีกคนหนึ่งรีบเดินเข้าไปในจวนเฟิงเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะเหตุการณ์ของพิษกู่ร้อยไหม ตระกูลนี้ต้องเสียลูกหลานที่โดดเด่นไปตั้งสี่คน ซึ่งเป็นเรื่องหนักใจไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังทราบว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลถูกผู้หญิงของตระกูลอื่นใช้...ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสและผู้ใหญ่ที่บ้านจึงนอนไม่หลับทั้งคืนหลังจากฟังเนื้อหาเหล่านี้ที่ยามรักษาความปลอดภัยที่รายงานในขณะนี้ บรรยากาศที่หนักหน่วงอยู่แล้วก็เริ่มเคร่งขรึมยิ่งขึ้นและเกือบจะมีน้ำหยด“ จั๋วจิ่ว ผู้กล้าหาญคนนี้ นางช่าง... ไม่เคารพตระกูลเราเลย”“นางคิดว่าไม่มีใครจัดการนางได้หรือ”“ นางกล้าเล่นงานของตระกูลเฟิงเช่นนี้ได้อย่างไร นางไม่กลัวทำให้ทั้งตระกูลเฟิงโกรธจริง ๆ หรือ”ในความเป็นจริง ยามยืนฟังข้าง ๆ เขารู้สึกว่าพูดเช่นนี้ไม่เหมาะสมเพราะแม้ว่
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด