แต่ ฃเฟิงเหยียนไม่ปล่อยมือของนางริมฝีปากอันบอบบางของเขาขยับเล็กน้อย อาจเป็นเพราะการได้ยินของเขาได้รับผลกระทบอย่างมากและเขาพูดเสียงดังเกินไป ดังนั้นเขาจึงลดเสียงลงเมื่อเขาพูดเขาบีบข้อมือนางแล้วกระซิบว่า "อย่าฝืนตัว" หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเสริมว่า "ดีขึ้นแล้วหรือ"ตอนแรกจั๋วซือหรานยังไม่เข้าใจทำไมเขาพูดอย่างนั้น แต่นางเงียบไปสองวินาทีและนางเข้าใจความหมายของเขาทันทีแม้ว่านางไม่รู้ว่าเขาหมายถึงนางไม่สบายตัวตอนที่นางรักษาเขาจนอาเจียนเป็นเลือดในเมื่อวานนี้หรือว่าความเจ็บปวดที่นางต้องทนทุกข์ทรมานจากเมื่อเช้านี้หลังจากรักษาเขาเมื่อวานนี้อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะหมายถึงข้อใด อย่างน้อย... เขายังคงมีมโนธรรมเพียงแต่ว่าเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงไม่ได้มีมโนธรรมมากนักพวกเขายืนอยู่อยู่ข้าง ๆ และพากันพูดว่า " เหยียนเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวล ทักษะทางการแพทย์ของจั๋วจิ่วนั้นยอดเยี่ยมมาก และนางจะรักษาเจ้าให้หายในเร็ว ๆ นี้... "“ใช่สิ จั๋วจิ่ว รีบรักษาเหยียนเอ๋อร์สิ มิฉะนั้น หากอาการบาดเจ็บเป็นเวลานานไป ไม่รู้ว่ามันจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขาหรือไม่”จั๋วซือหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ว่าน
จั๋วซือหรานมองไปที่ชายที่มีรอยแผลเต็มตัวตรงหน้าพูดตามตรง เมื่อก่อนนางรู้สึกชายคนนี้เหมือนทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งทำให้นางรู้สึกเขาอ่อนแอมากเขานั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ และมีรอยแผลเต็มตัว แม้แต่พลังรอบตัวของเขาก็ยังอ่อนแอเขาหน้าตาดี ราวกับว่าเขาเป็นผู้ชายหล่อเหลาที่มีร่างกายไม่แข็งแรง บาดแผลไหม้เกรียมหลายจุดบนใบหน้าของเขาไม่ได้ทำให้เขาดูน่าเกลียดหรือน่ากลัว แต่กลับทำให้เขามีความงามอันอ่อนแอที่เย้ายวนซึ่งน่าสงสารมากพูดตามตรง จั๋วซือหรานรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ นางยังรู้สึกว่า กาลเวลาไม่เคยทำให้คนสวยแก่ลง กาลเวลาไม่เคยเอาชนะใครเลย แต่พระเจ้าก็ไม่สงสารความงามเช่นกัน พระเจ้าจึงยอมให้เขาทนทุกข์ทรมานกับการลงโทษเช่นนี้จากนั้นนางก็เห็นเฟิงเหยียนโกรธเหล่าผู้อาวุโสเขาไม่แม้แต่ลงมือเลย...ผู้อาวุโสเหล่านี้อาเจียนเป็นเลือดจริง ๆ นี่คือตระกูลเฟิงนะ ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงก็ไม่น่าจะแย่มากเลยใช่ไหมเฟิงเหยียนมีพลังอันแข็งแกร่งมากแค่ไหนแล้วจั๋วซือหรานขจัดความสงสารในใจของนางอย่างรวดเร็ว เมื่อตัวไม่แข็งแกร่งเท่าคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่านางไม่มีปัญญาพอที่จะให้ความเมตตาต่อผู้อื่น
เฟิงเหยียนนั่งอยู่บนพื้น ดวงตาของเขายังคงมองไม่เห็น แต่เขายังคงรู้สึกถึงจุดสีแดงที่กะพริบ เขาไม่รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกทางการมองเห็นหรือประสาทสัมผัสมันมหัศจรรย์มาก มันไม่เหมือนทุกอย่างที่เคยเจอมาก่อน แต่เขารู้สึกได้และเขาก็พยายามเอื้อมมือไปจับจุดสีแดงในเมื่อสักครู่นี้ แล้วก็พบว่า...ที่เขาคว้าไว้คือมือของนางเดิมทีจั๋วซือหรานคิดว่าเขามามองเห็นได้แล้ว แต่เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ดูเหมือนว่าเขายังมองไม่เห็นแต่สภาพของเฟิงเหยียนในบัดนี้ ท่าที่สองคนนั่งอยู่บนพื้นในห้องโถงด้านหน้าของตระกูลเฟิง ดูเหมือน...อย่างมากจั๋วซือหรานพูดไม่ถูกและนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใช้คำใด ๆ มาบรรยาย นางใช้คิดนานมาก จึคงคิดคำบรรยายออก'รักใคร่กลมเกลียวกัน' แต่นางรู้สึกว่าไม่เพียงพอที่จะบรรยายฟิงเหยียนพูดอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้เสียพลังวิเศษกับพวกเขามากนัก”จั๋วซือหรานพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก " ท่านอ๋องเก่ง..."เฟิงเหยียนไม่โกรธเมื่อเห็นนางฝืนใจพูดเช่นนี้ เขาพูดต่อว่า "นางคงเคยได้ยินพลังของสายเลือดตระกูลใช่ไหม"จั๋วซือหรานตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ จากนั้นนางพยักหน้านางเคยได้ยินเรื่องนี้มาจริง ๆ แต่พลังสายเลือดแ
ดูเหมือนวิญญาณไม้โดยกำเนิดของตระกูลจั๋วหายไปแล้วคุณลักษณะไม้ในพลังวิเศษของคนในตระกูลค่อย ๆ หายไปแต่ลูกหลานของตระกูลเฟิงมีคุณลักษณะของพลังวิเศษแห่งไฟมาโดยตลอด ว่ากันว่านี่ค่อนข้างมมหัศจรรย์ แต่ที่ตลอดผ่านมา ไม่มีผู้ใดเกิดความสงสัยและไม่มีผู้ใดเคยถามเรื่องนี้พวกเขาอาจจะไม่ได้คิดเกี่ยวเรื่องนี้มาก หรือพวกเขาไม่กล้าถามเนื่องจากความแข็งแกร่งของตระกูลเฟิงจั๋วซือหรานไม่กลัว ยิ่งกว่านั้นเฟิงเหยียนเป็นผู้ที่เริ่มพูดถึงเรื่องนี้“วิธีอะไร” เมื่อจั๋วซือหรานถามคำถามนี้เฟิงเหยียนไม่พูด เขาเงียบเป็นครู่หนึ่ง เมื่อจั๋วซือหรานรู้สึกเฟิงเหยียนอาจจะไม่ตอบคำถามนี้ในที่สุดนางก็ได้ยินเสียงพูดอันลึกล้ำของของเฟิงเหยียน“หากไม่มีใครปลุกพลังแห่งสายเลือดตระกูลได้ คุณลักษณะวิญญาณโดยกำเนิดอันทรงพลังของตระกูลจะหายไป ตระกูลเฟิงแข็งแกร่งมาตลอด จึงไม่ยอมให้ตระกูลตกอยู่ในสภาพที่ไร้พลังวิเศษ ดังนั้นพวกเขาจึงหาทางแก้ไข้ นั่นก็คือนำพลังวิเศษของตระกูล…......”ก่อนที่เฟิงเหยียนพูดจบ เสียงทุ้มที่ดังมาจากประตูก็ขัดจังหวะคำพูดของเฟิงเหยียน“ เฟิงเหยียน ระวังคำพูดหน่อย!”เสียงนี้ฟังดูเคร่งขรึมและมีทรงพลังจั๋
นางหัวเราะเบา ๆ และเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ ชายวัยกลางคนก็ขมวดคิ้ว ในที่สุดเขนมองนาง“เจ้าหัวเราะอะไร” เขาถามจั๋วซือหรานทำสีหน้าประหลาดใจและพูดว่า "ว้าว ท่านเห็นข้าอยู่หรือ ข้ายังคิดอยู่ว่า ข้าได้ฝึกฝนทักษะการแอบซ่อนตัวหรือเปล่า จนท่านมองไม่เห็นข้า"ชายวัยกลางคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง อาจเป็นเพราะเขาไม่คาดคิดว่า จั๋วซือหรานจะพูดเช่นนั้น และเขาก็ไม่คิดว่าจั๋วซือหราน จะพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้จั๋วซือหรานเห็นเขาตกตะลึงเช่นนี้ นางคิดในใจว่า ชายคนนี้อาจไม่เคยถูกผู้อื่นพูดจาเหน็บแนมเช่นนี้มาก่อนชายวัยกลางคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงฟื้นคืนสติ ดวงตาของเขาเย็นชาและเฉียบคม เขาเยาะเย้ยว่า " ตระกูลจั๋วมีการสอนแค่นี้หรือ และลูกสาวที่พวกเขาสอนก็ไม่สุภาพจริง ๆ "“ท่านพ่อของข้าเสียชีวิตไปนานแล้ว ข้าอาจจะขาดการสั่งสอนทางบ้านไปหน่อย ขออภัย” จั๋วซือหรานกล่าวคำพูดเหล่านี้ดูเหมือนมีการถ่อมตัวเล็กน้อย ดังนั้นหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของชายวัยกลางคนก็ดูดีขึ้นแต่เขาไม่คาดคิดว่าคำพูดส่วนหลังของจั๋วซือหรานก่อนที่เขาจะพูดอะไรมากกว่านี้ จั๋วซือหรานกล่าวเสริมว่า "แต่ท่านพ่อของท่านคงจากไปตั้งนานแ
จนกระทั่งชายวัยกลางคนเดินออกจากห้องโถงด้านหน้า จั๋วซือหรานจึงเอื้อมมือออกไปและค่อย ๆ ดันดาบประจำตระกูลในมือของเฟิงเหยียนกลับเข้าไปในฝัก“เขาไปแล้ว” จั๋วซือหรานกล่าวว่า “อย่าโกรธเลย”จั๋วซือหรานดันดาบประจำตระกูลของเขากลับเข้าไปในฝัก และสังเกตพลังอันรุนแรงรอบตัวของเขา เมื่อดาบประจำตระกูลถูกดันใส่เข้ามฝัก นางพึมพำด้วย "...ดูเป็นคนเย็นชา แต่ทำไมเหมือนปลาปักเป้า โกรธง่ายจัง"เนื่องจากนางพูดเสียงเบามาก และการได้ยินของเขาได้รับผลกระทบจากอาการบาดเจ็บ เดิมทีจั๋วซือหรานคิดว่าเฟิงเหยียน อาจจะไม่ได้ยิน ดังนั้นนางจึงถือว่ามันเป็นแค่การพูดคุยกับตัวเองโดยไม่คาดคิด วินาทีต่อมานางได้ยินเฟิงเหยียนถามนาง "ปลาปักเป้าคืออะไร"จั๋วซือหราน ตกตะลึง “เจ้าได้ยินแล้วหรือ”“ข้าแค่ได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่หูหนวก” เฟิงเหยียนกล่าวจั๋วซือหรานยิ้ม "มันเป็นแค่ปลาชนิดหนึ่ง..." จริง ๆ แล้ว นางไม่รู้ว่าโลกใบนี้มีปลาปักเป้าอยู่หรือไม่ แต่นางยังพูดต่อ "เมื่อถูกคุกคาม ปลานี้จะพองตัวเพื่อทำให้ศัตรูหวาดกลัว "เฟิงเหยียน ”…“จั๋วซือหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริมว่า "มีพิษ"เฟิงเหยียน ”…“จั๋วซือหรานกล่าวเสริมอีก "แต
เช่นตระกูลจั๋ว แม้ว่าพวกเขาเคยให้ความสำคัญกับจั๋วซือหราน นางกก็ยังถูกละทิ้งอยู่ดีแต่การที่ตระกูลเฟิงให้ความสำคัญกับเฟิงเหยียนนั้นแตกต่างไปจากตระกูลอื่นอย่างสิ้นเชิงดังนั้นจึงไม่ยากที่จะอธิบายว่าทำไมพลังวิเศษของเฟิงเหยียนจึงสามารถข่มขู่เหล่าผู้อาวุโสได้ หากพลังของเขาเป็นไปตามที่เขากล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งพลังของเขาเกี่ยวข้องกับพลังศักดิ์สิทธิ์บางอย่างของตระกูลจริง ๆ ... นั่นก็สามารถอธิบายได้ง่ายดังนั้นจั๋วซือหรานจึงไม่อยากถามรายละเอียดเพิ่มเติมสิ่งเดียวที่นางยังคิดไม่เข้าใจเหตุใดพลังของเฟิงเหยียนสามารถข่มขู่ผู้อาวุโสทุกท่านในตระกูลเฟิงได้ แต่ทำไมจึงไม่สามารถขู่ชายวัยกลางคนในเมื่อครู่นี้ได้ - ท่านพ่อของเขา ทำให้ชัยคนนั้นกลัวล่ะแต่จั๋วซือหรานไม่รีบหาคำตอบ เพราะยังมีเวลาอีกยาว วันหลังน่าจะมีโอกาสรู้เองเนื่องจากเฟิงเหยียนไม่ยอมให้จั๋วซือหรานฝืนตัว ดังนั้นหลังจากนั้น จั๋วซือหรานรักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้ง่ายพลังของการแพทย์สายวิเศษของนางทำหน้าที่เป็นตัวช่วย เพื่อให้เฟิงเหยียนฟื้นตัวได้เร็วขึ้นนางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แม้ว่าเฟิงเหยียนไม่ให้นางฝืนตัว ให้นางเป็นผู้ช่วยในกา
จั๋วซือหรานไม่ได้ง่วงขนาดนั้น แต่นางไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ ซึ่งสภาพนี้ค่อนข้างมหัศจรรย์มันเหมือนกับว่านางรู้ชัดเจนว่า นางกำลังหลับอยู่ และนางรู้สึกว่านางตื่นขึ้นได้ทันทีเมื่อนางลืมตา แต่นางก็ไม่สามารถตื่นได้ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก และจั๋วซือหรานรู้สึกตัวเองกำลังถูกห่อหุ้มด้วยน้ำร้อน นางรู้สึกร้อนเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้สึกทุกข์ใจมากเมื่อเทียบกับความรู้สึกทุกข์ใจตอนพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า ๆ ความรู้สึก ณ ปัจจุบันนี้ดีกว่ามากในความเป็นจริง คราวนี้เมื่อนางรักษาเฟิงเหยียน จั๋วซือหราน รู้สึกอย่างชัดเจนว่า เมื่อเขารักษาเฟิงเหยียนในครั้งนี้ ดูเหมือนว่านางไม่ต้องใช้ความพยายามมากเท่ากับครั้งสุดท้ายที่นางได้รักษาชายผู้นี้ที่ศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนตอนแรกนางคิดอยู่ว่าเป็นเพราะคราวนี้ อาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างเบา แต่เขาสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้าอย่างเห็นได้ชัด เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บครั้งนี้รุนแรงกว่าจั๋วซือหรานจึงเดาได้ว่าความแข็งแกร่งของนางดีขึ้นบ้างหรือไม่ หากมีการปรับปรุง การปรับปรุงนี้เกี่ยวข้องกับอะไรบ้างเพียงแต่ก่อนหน้านี้นางตั้งใจรักษาเฟิงเหยียน และไม่มีเวลาคิดเกี่ยว
ไม่มีคนสังเกตเห็น ว่าที่ข้างเวที เจ้าสำนักหอจันทร์เงินที่หน้าตาอ่อนโยนหล่อเหลา เวลานี้มีสีหน้าปั้นยากมากตราประทับจันทร์เสี้ยวที่หน้าผากนั่น ขมวดเป็นก้อนจากการขมวดคิ้วแน่นของเขาแล้ว!คนอื่นอาจไม่รู้ แต่อินเจ๋ออันชัดเจนอย่างที่สุด!ผีเสื้อปีกระยับตัวเดียวของนางเผชิญหน้ากับราชาแมงมุมหน้าผีแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรกัน? ผีเสื้อปีกระยับตัวหนึ่งถ้าเผชิญหน้ากับแมงมุมหน้าผีมันไม่มีประโยชน์อยู่แล้ว!แต่ผีเสื้อปีกระยับนั่นไม่ใช่ของจั๋วซือหราน!อินเจ๋ออันเข้าใจเป็นอย่างดี ตั้งแต่ตอนแรกเขาก็รู้ถึงอันดับการออกสัตว์ประหลาดของซางถิงแล้ว ยกที่สามคือ...ผีเสื้อปีกระยับผีเสื้อปีกระยับที่ไม่มีประโยชน์! เป็นของซางถิง!ส่วนราชาแมงมุมหน้าผีที่พลังกับขนาดร่างกายสะกดไปทั้งเวทีนั่น เป็นของจั๋วซือหรานต่างหาก!อินเจ๋ออันดูถูกนางไปจริงๆ ตอนนี้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เสียใจอย่างมาก เสียใจอย่างมากจริงๆ แค่คิดขึ้นมาใจก็รวดร้าวแล้วตอนนี้เอง ในห้องหรูบนหอในห้องหรูของตระกูลซาง เสียงแหลมหนึ่งดังขึ้น “นี่เลย นี่เลย คุณหนูสี่ ราชาแมงมุมหน้าผีตัวนี้ เดิมทีเป็นสิ่งที่ข้ากับคนเหล่านั้นจะมอบให้เป็นของขวัญวันเก
พอสิ่งมหึมานี้ปรากฏขึ้น ทั่วทั้งลานก็เงียบกริบไปทันที!ทุกคนหวาดกลัวกันจนกระทั่งกลั้นหายใจ!หนึ่งคือเพราะมนุษย์นั้นจะเกิดความกลัวได้ง่ายต่อสิ่งของที่ใหญ่โตมหึมานี่น่าจะเป็นสัญชาตญาณที่ฝังอยู่ในยีนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอันตรายยิ่งไปกว่านั้น ตัวมนุษย์เองก็หวาดกลัวกับแมลงประเภทแมงมุมอยู่แล้วโดยเฉพาะแมงมุมที่ดูฉูดฉาดและร่างหายมหึมาขนาดนี้ตอนนี้เอง เจ้าตัวโตที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันบนลานประลองก็คุมสถานการณ์ไปทั้งหมดแล้ว!ใหญ่แล้วหรือ? นี่มันยังย่อไว้หน่อยแล้วด้วยนะ ไม่อย่างนั้นบนเวทีนี้ มันเดินไม่กี่ก้าวก็คงจะสุดทางแล้วแมงมุมหรือ? ขาขนปุกปุยทั้งแปดกับแขนเคียวนั่น แล้วยังมีปากที่แหลมคมอีก มองอย่างไรก็เป็นแมงมุม ไม่ใช่ปูอย่างแน่นอนฉูดฉาดหรือ? ลายดอกไม้บนหลังกับท้องของมัน เหมือนกับใบหน้าผีที่กำลังร้องไห้กำลังหัวเราะอยู่อย่างไรอย่างนั้นนี่คือที่มาของชื่อมัน“แมงมุมหน้าผี!”“นี่มันแมงมุมหน้าผี! น่ากลัวเหลือเกิน!”“ข้ากลัวแมงมุม ขนข้าลุกไปหมดแล้ว!”“ข้าก็ด้วย!”“แมงมุมหน้าผีที่ใหญ่โตขนาดนี้ ต้องเป็นระดับราชาแล้วกระมัง? ครั้งนี้จั๋วซือหรานแพ้แน่แล้ว!”เสียงดังขึ้นไม่ขาดสาย
ถึงอย่างไร ความจริงก็จะสอนให้เขาเป็นคนเอง ถึงอย่างไร คนเหล่านั้นที่ปากแข็งกับนางก่อนหน้า เจ้าพวกที่ควรตบฉาดก็ตบไปแล้วไม่มีเขาก็ไม่ได้น้อยลง หรือมีเขามาสักคนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไรตอนที่จั๋วซือหรานกลับมาถึงห้องพักผ่อน ก็เห็นเจี่ยงเทียนซิงรออยู่ที่นั่นแล้ว“ทำไมยังมาด้วยตัวเองอีกล่ะ?” จั๋วซือหรานรู้สึกประหลาดใจเจี่ยงเทียนซิงยิ้มๆ “ในเมื่อชนะแล้วนี่ ก็ต้องมาฉลองชัยชนะของเจ้าสักหน่อยไหม”จั๋วซือหรานหัวเราะเบาๆ “เพิ่งจะยกเดียวเอง ยกต่อไปต่างหากที่สำคัญ”เจี่ยงเทียนซิงคิดๆ ตอบมาว่า “ข้ารู้สึกว่าฉลองล่วงหน้าได้ เจ้าเป็นคนที่มีความคิดดีดีอยู่เสมอ ถ้ารู้สึกไม่มั่นใจพอต่อเรื่องนี้ เจ้าไม่มีทางบุ่มบามเห็นด้วยหรอก”จั๋วซือหรานยิ้มๆ ไม่พูดจา“แต่ก็คิดไม่ถึงว่ายกนี้เจ้าจะสู้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ” เจี่ยงเทียนซิงเดิมทีคิดว่าความหมายของจั๋วซือหรานคือรอยกต่อไปแล้วค่อยเริ่มต่อสู้ ยกนี้แค่สู้ให้ชนะอย่างหวุดหวิด แต่การแสดงออกเมื่อครู่ของจั๋วซือหราน แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าข่มกดดันไว้จนหมด แต่ก็ไม่ใช่ชนะอย่างหวุดหวิดแน่นอน ตอนท้ายยังดูค่อนข้างอหังการอีกด้วย จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “หลักๆ คือคิ
“ให้ตายเถอะ...”ทุกคนเห็นแค่ จั๋วซือหรานที่เดิมทีเต้นรำอยู่ท่ามกลางพายุห่าฝนแส้ที่หนาแน่นเวลานี้นั่งลงมาแล้ว...อยู่บนตัวซางถิง?พูดให้ถูกต้องคือ นางกดเขาอยู่บนเวทีหินต้องห้ามไปแล้วหัวเข่าข้างหนึ่งของนางยันไว้ที่หน้าอกเขา แต่การเคลื่อนไหวนี้ ไม่ใช่จุดสำคัญที่ควบคุมเขาไว้ หรือเป็นการเคลื่อนไหวสำคัญที่ทำให้คนอื่นต้องทึ่งการเคลื่อนไหวสำคัญ คือสองดาบที่พาดไขว้อยู่บนคอซางถิง ดาบสองเล่มสลับไขว้อยู่บนคอเขา คมดาบหันเข้าด้านใน ขังคอของเขาเอาไว้ที่ร่องตัดสลับของคมดาบราวกับว่าขอแค่เขาขยับตัว นางแค่ออกแรงเบาๆ ก็เด็ดหัวเขาออกมาได้แล้ว!เพียงแค่มอง ก็อยู่ในระดับที่ทำให้คนที่เห็นอดกลั้นหายใจขึ้นไม่ได้ขณะที่บนเวทีมีเสียงตกตะลึงดังขึ้น ในห้องหรู เฟิงหร่านก็ส่งเสียงตกตะลึงออกมา“เขา...คนนั้นตายหรือยัง?” เฟิงหร่านถามขึ้น เสียงดูตะกุกตะกักเล็กน้อย เพราะจากมุมมองของนาง มองเห็นแค่แผ่นหลังของจั๋วซือหราน คุกเข่ากดหน้าอกอีกฝ่ายเอาไว้สองมือกุมดาบไขว้กดลงไปมองแล้วเป็นการเคลื่อนไหวที่จะเอาชีวิต เป็นการเคลื่อนไหวแบบประหัตประหารแต่เพราะถูกแผ่นหลังของจั๋วซือหรานบังไว้ ดังนั้นอันที่จริงจึงไม่รู้ว่า
ถามขึ้นว่า “ตาข้าแล้วหรือยัง?”สายตาของซางถิงจ้องนางเขม็ง เขากุมมือในแส้แน่น สะบัดข้อมือแส้ยาวในมือดีดตึง ปลายแหลมสะบัดไปทางจั๋วซือหราน“วูม...!” เสียงผ่าอากาศดังขึ้นจากนั้นแส้ก็ส่งเสียงเผียะขึ้นกลางอากาศ ราวกับตัดอากาศจนขาดเป็นท่อนอย่างไรอย่างนั้นและร่างของจั๋วซือหรานก็ไหววูบ ดูแล้วไม่มีอาการซมซานหรือโซซัดโซเซตอนที่หลบหลีกก่อนหน้านี้เลยความเร็วการเคลื่อนไหวของนางสูงมาก แต่ในสายตาของทุกคน กลับดูเชื่องช้าความรู้สึกแตกต่างระหว่างความเร็วและช้าที่สลับไปมานี้ ทำให้คนรู้สึกเริ่มปวดตาขึ้นมาทุกคนเห็นเห็นว่านางอยู่ต่อหน้าต่อตาชัดๆ นางเพียงแค่ก้าวอย่างสงบไม่กี่ก้าวราวกับเดินเล่นในสวนหลังบ้านเท่านั้นกระทั่งความตึงเครียดสักนิดก็ไม่มีแต่การโจมตีของแส้ที่น่าตกตะลึงนั่น ก็ถูกนางเบี่ยงหลบไปได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ถูกกระทั่งชายเสื้อของนางด้วยซ้ำ!ส่วนการโจมตีจากแส้ของซางถิงก็ยังไม่หยุด กระหน่ำเข้ามาราวกับห่าฝน เหมือนไม่ต้องการให้มีเวลาหยุดพักทั้งที่ซัดแส้ออกไปแท้ๆ มันควรจะมีช่วงจังหวะที่ค้างกลางอากาศกับจังหวะดึงแส้กลับมารวมพลังตวัดออกไปอีกจึงจะถูกแต่นั่นแทบจะไม่มีเลยการโจมตีแส้ของซ
ฝูซูกับเฮยหลิงอยู่ระหว่างทางขึ้นไปห้องหรูบนหอ ก็ได้ยินเสียงโหร้องกึกก้องขึ้นมาจากอัฒจันทร์คนดูตอนที่พวกเขาเข้าไปในห้องหรู ก็เห็นเฟิงหร่านคุณหนูสิบตระกูลเฟิงเข้าสภาพในตอนนี้ ไม่สนใจว่าเป็นหญิงสาวชั้นสูง หรือว่าจะเป็นคุณหนู หรือกระทั่งเป็นสตรีอ่อนหวานอีกแล้วนางยืนอยู่บนเก้าอี้ สายตาจ้องมองเวทีประลองเป็นประกายสองมือกำหมัดแน่น ดูจดจ่อเอามากๆฝูซูรีบถามขึ้น “เป็นอย่างไรบ้างเป็นอย่างไรบ้าง? สู้เสร็จแล้วหรือยัง? คุณหนูชนะไหม?”ตาของเฟิงหร่านยังไม่ย้ายไปไหน ยังคงจับจ้องที่เบื้องล่างไม่วางตา แต่ตอบฝูซูกลับมาเสียงต่ำ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความทึ่ง “ยังไม่จบ แต่คุณหนูจั๋ว...นางร้ายกาจมาก!”ฝูซูรีบเดินไปมองสถานการณ์บนเวทีประลองสภาพของเจี่ยงเทียนซิงดูหนักแน่นกว่าเฟิงหร่านพอควร จึงเล่าสถานการณ์ที่พวกเขาพลาดไปตอนไปลงเดิมพันออกมารอบหนึ่งที่แท้ พวกเขาก็พุ่งกันไปลงเดิมพันจั๋วซือหรานพอส่งสัญญาณเสร็จ ก็ไม่คิดจะทำเป็นอ่อนแอในการต่อสู้แล้วภายใต้การจับตาของทุกคน บาดแผลเหล่านั้นบนตัวนาง ก็เริ่มฟื้นตัวกลับอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่าและการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าเหมือนนางโดนผลกระทบความเป็นพิษจากนาก
หนึ่งคือสัญลักษณ์ของตระกูลซาง อีกหนึ่งเป็นสัญลักษณ์รูปอีกา (เชวี่ย)แสดงถึงตัวตนฐานะของนาง ว่าคือซางเชวี่ยคุณหนูสี่แห่งตระกูลซางคนรับใช้ข้างๆ นอบน้อมกับนางอย่างมาก“คุณหนู ท่านว่าไหม?” คนรับใช้เอ่ยขึ้น “แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ แต่ว่าเป็นสายเลือดตระกูลซางจริงๆ ทว่า จากการควบคุมสัตว์ของเขา ดูไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย เสือเขี้ยวดาบแม้จะไม่ค่อยพบเห็นแต่ก็ไม่ได้มหัศจรรย์ขนาดนั้น นากเขาพิษยังกลับดูพิเศษขึ้นหน่อย”“ข้ารู้สึกว่า...” เสียงของหญิงสาวแจ่มชัดกังวาล แต่เส้นเสียงดูเย็นชาหน่อยๆ “สองคนนี้ยังไม่สู้กันจริงจังเลย”“ไม่จริงจัง?” คนรับใช้ไม่เข้าใจ “จั๋วซือหรานแม้ช่วงนี้จะถูกลือกันอย่างกับเป็นเทพเจ้า แต่จะอย่างไรก็ยังเป็นแค่แพทย์เท่านั้น แพทย์จะมีทักษะต่อสู้ได้แค่ไหนกัน...เมื่อครู่นางก็เอาแต่หนีนี่นา”หญิงสาวพอได้ยินก็หัวเราะขึ้นเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจ ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้แล้วจะหาเงินได้อย่างไรกัน?”คนรับใช้ไม่เข้าใจ “หาเงิน?”แต่ซางเชวี่ยกลับไม่คิดจะพูดอะไรมาก ทำเพียงจดจ้องสถานการณ์ที่เวทีด้านล่างเท่านั้นจั๋วจิ่วคนนั้นยังไม่สู้จริงจัง นางเองก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจ แค่จากการเปลี่ยนแปลงขอ
จั๋วซือหรานเดินไปทางเวทีแม้จะบอกว่าอยู่ในห้องเตรียมตัว ก็ญังสามารถได้ยินเสียงเอะอะภายนอกได้ตอนนี้พอเดินออกมา คลื่นเสียงที่โถมเข้ามาก็ยิ่งเพิ่มความสั่นสะเทือนขึ้นไปอีกเสียงโหร้อง เสียงก่นด่าของผู้คน เสียงตะโกนลงเดิมพัน และยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ล้วนดังขึ้นไม่หยุดหย่อนอินเจ๋ออันยืนอยู่ริมเวที สีหน้ายังคงปั้นยากอยู่สายตาของเขาจ้องมองจั๋วซือหรานอย่างสงสัยระแวดระวังสองมือจั๋วซือหรานยังกดอยู่ที่หน้าอก เส้นผมหลังหัวรวบสูงเป็นช่อ กลางหลังสะพายดาบคู่อินเจ๋ออันจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ในใจคิด ไม่ว่านางจะมีแผนร้ายอะไร ถึงอย่างไรก็มาถึงที่นี่แล้ว พอขี่หลังเสือแล้วมันลงยากก็คงต้องไปต่อยิ่งไปกว่านั้น ซางถิงเองก็ไม่ใช่พวกรับมือง่ายด้วยเสียงระฆังดังขึ้นทั้งสองคนขึ้นเวทีอีกครั้ง จั๋วซือหรานมองคู่มืออีกด้านของเวทีดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นของอีกฝ่าย ก็กระพริบปริบๆ มองนางการทดสอบยกที่สองเริ่มขึ้นซางถึงตอนนี้ไม่ได้ใช้เสือเขี้ยวดาบเมื่อครู่ต่อแล้วบนอัฒจันทร์คนดูมีแขกไม่น้อยไม่ค่อยเข้าใจ“เมื่อครู่ใช้เสือเขี้ยวดาบก็ไม่ใช่ว่าชนะมาได้หรือ? ทำไมไม่ใช้ต่อ?!”“นั่นสิ! เสื้อเขี้ยวดาบเมื่อ
การยั่วยุเช่นนี้ดูหยาบมาก แต่จั๋วซือหรานกระทั่งไม่คิดจะกลบเกลื่อนเลยสักนิด จนแทบจะเขียนคำว่าข้ากำลังยั่วเจ้าสี่คำนี้ไว้บนหน้าโต้งๆ เลยด้วยซ้ำสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าจะบอกว่าอินเจ๋ออันขึ้นหลังเสือจนลงมายากแล้วก็ไม่ได้เกินเลยอะไรพอได้ยินคำพูดจั๋วซือหราน เขากัดฟันเอ่ยขึ้น “พูดจาใหญ่โตเหลือเกิน! ยกนี้เจ้ายังไม่ชนะเลย แล้วทำไมข้าจะต้องกลัวด้วย?!”อินเจ๋ออันพูดจบ ก็เคาะระฆังทันที ประกาศชัยชนะของซางถิงและให้ทุกคนเฝ้ารอยกที่สองตามหลักการแล้วระหว่างยก จะต้องมีแพทย์เข้ามารักษาบาดแผลให้แต่จั๋วซือหรานตนเองก็เป็นแพทย์ ทำให้แพทย์ที่เจี่ยงเทียนซิงจัดมาจึงยืนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้น“แม่...แม่นางจิ่ว”จั๋วซือหรานหันไปมองเขา “แพทย์หรือ?”“ใช่ ใช่แล้ว เจ้าสำนักให้ข้าเข้ามา...” แพทย์ยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นว่าแผลบนตัวจั๋วซือหรานเหล่านั้นสมานเสร็จเรียบร้อยแล้วจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “เรื่องรักษาก็ไม่ต้องแล้วล่ะ เขายังมีอะไรจะมาบอกข้าอีกไหม?”“มี” แพทย์ถอนหายใจโล่ง เอ่ยต่อว่า “เจ้าสำนักให้ข้ามาบอกท่านว่า คนของตระกูลซางที่มา คือซางเชวี่ยคุณหนูสี่ที่ถูกคนในตระกูลให้ความสำคัญมากในปัจจุบันค