รู้สึกแค่หวงเจี้ยนถังไม่รู้พูดจาประชดประชันอะไรอยู่จั๋วเฮ่ออิงขมวดคิ้ว จ้องหวงเจี้ยนถังเย็นชา "ถ้าจะฉีกหน้ากันจริง เจ้าจะเป็นคนแรกที่ถูกเอาไปบูชายัญ รีบๆ หุบปากซะ"หวงเจี้ยนถังถูกคำนี้ของเขาขัดจังหวะ เดิมทียังคิดจะอาละวาด แต่พอคิดถึงสิ่งที่หญิงบ้าคนนี้พูดไว้ก่อนหน้า ว่าพอถึงเวลา จะโบกดาบมาทางเขาเป็นคนแรก...หวงเจี้ยนถังจึงนิ่งเงียบไปจั๋วเฮ่ออิงไม่พูดอะไรอีก แค่จ้องมองจั๋วซือหรานต่อ ในสายตาแฝงแฝงไว้ด้วยการไถ่ถามเห็นได้ชัดว่าความคิดก่อนหน้านี้ยังไม่หายไป ยังคิดอยากจะคุยกับจั๋วซือหรานก่อนจั๋วซือหรานครุ่นคิด เลิกคิ้วขึ้น "ก็ไม่ใช่จะไม่ได้""เช่นนั้นเชิญ" จั๋วเฮ่ออิงทำสัญญาณมือเชื้อเชิญ นำจั๋วซือหรานเข้าไปในตำหนักหน้าจั๋วซือหรานเดินเข้าไปยังตำหนักหน้า พิจารณาฉากด้านในสำนักเมฆาวารีไม่ถือเป็นสำนักที่ใหญ่เป็นพิเศษอะไร แต่ดูจากตำหนักหน้าและลานกว้างหน้าประตูตำหนักแล้ว ดูโอ่อ่าเอาการอยู่พวกสำนักใหญ่ๆ เหล่านั้นจะมีขนาดโอ่อ่าแค่ไหน ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ"ดื่มชาไหม?" เสียงชายหนุ่มที่ดูหนักแน่นแต่อ่อนโยน ดังลอดเข้ามาจากด้านหน้าน่าจะเพราะ เสียงนี้ในความทรงจำ อันที่จริงก็คุ้นเคยอยู่แล้
เพราะ ถ้าหากอีกฝ่ายรู้จักชีพจร รู้ว่ามีจุดสำคัญของโรคอะไรอยู่ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นแพทย์ยาพิษที่เก่งล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะใช้ยาพิษบางอย่างมาจี้จุดสำคัญของโรคนี้เข้าก็ได้ยังไม่ต้องพูดถึงใคร เอาแค่จั๋วซือหรานที่ถูกซือคงอวี้เล่นงานในวังสวนตอนนั้น ตามหลักแล้วด้วยฝีมือของนาง ไม่มีทางจะถูกวางยาเล่นงานได้แน่นอนแต่เพราะนางตอนนั้นร่างกายรับภาระจากพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงอยู่ จึงทำให้นางถูกยาเฉพาะทางเล่นงานเข้าประมาณนี้นั่นล่ะจั๋วเฮ่ออิงต้องเข้าใจเรื่องนี้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวตรงหน้ายังเป็นศัตรูของสำนักอีกด้วยตามหลักแล้วไม่ควรจะปล่อยวางความระมัดระวังได้แบบนี้แต่จั๋วเฮ่ออิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยกมือไปทางนาง ยื่นข้อมือส่งไปใต้นิ้วขาวนวลของนางดูเหมือน...ไม่มีการป้องกันใดๆ เลยจั๋วซือหรานที่สงบนิ่งอยู่ตลอด กระทั่งสีตายังดูเย็นชาอยู่หน่อยๆพริบตานี้ก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมานิ้วของนางแตะเบาๆ ลงไปบนชีพจรของจั๋วเฮ่ออิง..."บังอาจนัก! ปล่อยเขานะ!"ปลายนิ้วของจั๋วซือหรานแตกลงไปไม่เท่าไร นอกประตูก็มีร่างหนึ่งแฉลบพุ่งเข้ามา!เขาถลึงตาจ้องจั๋วซือหรานด้วยความโกรธ "กำเริบเสิบสานในเ
ยิ่งไปกว่านั้นระดับหุ่นเชิดความมืดของสุ่ยจิ้งหลาน ยังแตกต่างกับระดับหุ่นเชิดความมืดที่จั๋วซือหรานเคยเห็นมาก่อนหน้านี้เสียอีกหวงเจี้ยนถังตามหลักการแล้วน่าจะเป็นคนที่หลอมหุ่นเชิดความมืดได้ดีมากของสำนักเมฆาวารีแล้วแต่หุ่นเชิดความมืดเหล่านั้นของเขา หลังจากจั๋วซือหรานเก็บกลับมาก็ถูกค้นคว้าจนหมดแล้วตอนนี้พอได้เห็นหุ่นเชิดความมืดของสุ่ยจิ้งหลานเหล่านี้ จั๋วซือหรานก็รู้เลยว่ามันเทียบกันไม่ได้สุ่ยจิ้งหลานคุ้นเคยกับการควบคุมหุ่นเชิดความมืดมากจั๋วซือหรานค้นพบอย่างรวดเร็ว แทนที่จะบอกว่าเป็นความยอดเยี่ยมของวิชาหุ่นเชิด สู้บอกว่าเป็นความยอดเยี่ยมของการควบคุมหุ่นเชิดเข้าต่อสู้ของนางจะดีกว่านางควบคุมหุ่นเชิดหลายตัวพร้อมกัน แบ่งงานกันไปแต่ละตัว แล้วยังมีรูปแบบขบวนทัพอีกด้วยเทียบกับสถานการณ์ที่หุ่นเชิดทั้งหมดพุ่งเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่งแล้ว การแบ่งงานกันตามหน้าที่ของแต่ละตัวตอนนี้ ดูจะตึงมือเสียกว่าจั๋วซือหรานแววตาเย็นลง ไม่มีรีรอเดิมทีนางก็ไม่ใช่คนที่จะดูถูกศัตรูอยู่แล้ว ปฏิบัติตามแนวทางที่นักยุทธศาสตร์ยิ่งใหญ่ที่สุดในชาติที่แล้วชี้แนะมาโดยตลอด บนเชิงยุทธศาสตร์ให้ดูถูกศัตรูไว้ แต่ในเชิง
พอได้ยินสุ่ยจิ้งหลานโต้แย้งกลับมา จั๋วซือหรานก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไรนางเอ่ยต่อเสียงเรียบว่า "ข้าอาจจะพูดไร้สาระก็ได้...แต่ว่าเจ้าสำนักสุ่ยเป็นถึงเจ้าสำนักเมฆาวารีแท้ๆ แต่ดูไม่ค่อยจะพิถีพิถันเท่าไรเลยนะ"จั๋วซือหรานมองนางสายตาเย็นชา "เก็บชายสมองพังกลับมาเป็นสามีแบบนี้ ไม่สนว่าเขาจะแต่งงานแล้วหรือยัง มีครอบครัวแล้วหรือยัง ในบ้านมีภรรยายังรอให้เขากลับไปหรือเปล่า?"จั๋วซือหรานยิ่งพูด สีหน้าสุ่ยจิ้งหลานก็ยิ่งขาวซีด"พอเก็บกลับมาก็แต่งงานทันที ถ้าไม่รู้คงได้คิดว่าเจ้าสำนักสุ่ยขาดผู้ชายเป็นแน่ เอาจริงๆ ถ้าหากเขามีภรรยาอยู่แล้วล่ะ? ดังนั้นข้าถึงบอกว่าเจ้าสำนักสุ่ยนี่ไม่พิถีพิถันเอาซะเลย"จั๋วซือหรานมองนางอย่างเย็นชา "เป็นถึงเจ้าสำนักเมฆาวารี แต่ดันทำตัวเป็นอนุภรรยาเสียอย่างนั้น?"คำพูดเหล่านี้ของจั๋วซือหราน ในที่สุดก็ทำให้อารมณ์ของสุ่ยจิ้งหลานพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงหญิงสาวที่บุกมาบนเนินเขาเมฆาวารีคนนี้ ดูเหมือนแค่พูดไม่กี่คำ ก็ฉีกหน้ากากภาพลักษณ์ครอบครัวที่นางพยายามสร้างมาอย่างยาวนานลงได้ง่ายๆ เลยดวงตาสุ่ยจิ้งหลานแดงก่ำ นางเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาว่า"ไม่มี! เขาไม่มีบ้าน! บ้านของเขาคื
จั๋วซือหรานกระทั่งตั้งตัวไม่ทันว่าจั๋วเฮ่ออิงเข้ามาอยู่ตรงหน้าตนเองเมื่อไรเขาจับคมแหลมที่สุ่ยจิ้งหลานโบกเข้ามาเมื่อครู่เอาไว้การโจมตีนี้สุ่ยจิ้งหลานซัดมาหาจั๋วซือหราน ดังนั้นพูดได้ว่าตรงไปตรงมาสุดๆฝ่ามือของจั๋วเฮ่ออิง รู้สึกเหมือนถูกเฉือนออกไปอย่างไรอย่างนั้นแต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือเลยจั๋วเฮ่ออิงมองภรรยาตรงหน้า ในสายตาเขาไม่มีความโกรธแค้นใด ยังคงสงบนิ่งพูดแค่ว่า "ให้นางพูดให้จบ"ดวงตาสุ่ยจิ้งหลานเบิกโพลงเลื่อนลอย ริมฝีปากสั่นระริก เหมือนต้องการจะเรียกเขาอีกสักครั้ง แต่กลับไม่อาจเปล่งเสียงอะไรออกมาได้เลยครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า "นาง...พูดแต่เรื่องไร้สาระนะ...""ไม่เป็นไร ให้นางพูดให้จบ" จั๋วเฮ่ออิงเสียงเรียบ "ต่อให้จะไร้สาระ แต่ให้นางพูดให้จบก่อนก็ยังไม่สาย"จั๋วซือหรานมองร่างสูงใหญ่ตรงหน้า อันที่จริงในใจก็ค่อนข้างสงบอยู่ก่อนหน้านี้เพราะเรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน และรู้สึกประหลาดใจที่จู่ๆ จั๋วเฮ่ออิงก็กระโจนตัวออกมา แต่ตอนนี้หลังจากตั้งสติได้ ในใจก็ค่อนข้างสงบพอควรเพียงแต่ตอนนี้ ในสมองกลับค่อยๆ มีภาพร่างสูงใหญ่นั้นในความทรงจำเจ้าของร่างเดิมแล่นออกมาร่าง
หลังจากหมอกลวงตาที่พันล้อมอยู่ในสมองมาตลอดนี้ ถูกพลังใสสะอาดอบอุ่นวูบหนึ่งถูกปัดออกไปดวงตาของจั๋วเฮ่ออิงก็เบิกโพลงขึ้นมาในดวงตามีประกายไม่อยากเชื่อปรากฏขึ้น ริมฝีปากเองก็เริ่มสั่นระริกขึ้นมาอันที่จริงการฟื้นคืนความทรงจำ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในพริบตาอย่างตอนที่จั๋วซือหรานข้ามภพมาตอนนั้น ชิ้นส่วนความทรงจำเจ้าของร่างเดิมมากมาย ก็ค่อยๆ เก็บกลับมาได้ทีละเล็กทีละน้อยตอนนี้จั๋วเฮ่ออิงเองก็ใกล้เคียง ความทรงจำไม่ใช่ว่าหลั่งทะลักเข้ามาในพริบตาแต่เป็นชิ้นส่วนความทรงจำบางส่วน ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในสมองหลังจากหมอกลวงตาเหล่านั้นถูกกวาดออกไป ภาพที่ปรากฏขึ้นในชิ้นส่วนความทรงจำในสมองอันดับแรกในภาพนั้น คือใบหน้าสวยงามอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่ง รอยยิ้มหวาดพร้มกับใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอายหน้าแดงก่ำพูดกับเขาว่า "ข้าไม่เรียนกท่านว่าเฮ่ออิงแล้วจะให้ข้าเรียกว่าอะไรล่ะ...สา สามีดีไหม?"และเขาก็ลูบหน้านางเบาๆ "ภรรยาที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามกฏหมายของข้า เรียกว่าสามีก็ถูกแล้วนี่? ทำไมต้องหน้าแดงกัน?""..." หญิงสาวที่ใบหน้าเล็กแดงก่ำ น่าจะเพราะหน้าบางมาแต่ไหนแต่ไร ตามหลักแล้วพอถูกหยอกแบบนี้บางท
สุ่ยจิ้งหลานที่ระวังนาง เดิมทีก็คือระวังเรื่องสถานะนี้ของนางนั่นเองตอนที่จั๋วซือหรานออกไป หางตาก็เหลือบไปเห็นร่างบางร่างหนึ่งหลบเข้าไปในมุมกำแพงจั๋วซือหรานเหลือบมองไป ดูจากชุดแล้วก็มองออกไม่ยากถึงความสูงส่งของฐานะในสำนักเมฆาวารีไหนจะสองตาที่คล้ายกับตนเองนั่นอีก...ไม่สิ บางทีควรจะพูดว่า แค่เห็นก็รู้ว่าคิ้วตาคล้ายกับจั๋วเฮ่ออิงจั๋วซือหรานเดาตัวตนฐานะของนางได้แล้ว น่าจะเป็นคุณหนูสำนักเมฆาวารี สุ่ยเชียนโยวลูกสาวคนเดียวของสุ่ยจิ้งหลานจั๋วซือหรานไม่ใช่พระโพธิสัตว์ สุ่ยเชียนโยวคนนี้หลอกน้องชายนาง แล้วยังจับน้องชายนางมาที่สำนักอีก สำหรับจั๋วซือหราน ถือว่าเป็นศัตรูคู่แค้นแต่ตอนนี้ จั๋วซือหรานก็ยังมองดวงตาสุ่ยเชียนโยวเงียบๆดวงตาของคนไม่โกหกใครจั๋วซือหรานมองไม่เห็นแววตาของผู้บริสุทธิ์จากดวงตาที่คล้ายกับตนเองคู่นี้เลยสุ่ยเชียนโยวคนนี้ แม้ร่างกายจะไม่ดี แต่ในดวงตาของนาง กลับไม่มีความใสสะอาดอยู่เลย ดวงตาค่อนข้างซับซ้อนดูท่า นางไม่เพียงแต่รู้เรื่องผู้ทดลองยาเท่านั้น แต่น่าจะค่อนข้างเข้าใจเป็นอย่างดีด้วยจั๋วซือหรานยกมุมปากเดินออกไปยังลานตำหนักหน้าเหล่าเชลยพวกนั้นพอเห็นนางออกม
ขนมชาเขียวพอได้ยินคำชมก็ดีใจ เอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจเล็กๆ ว่า "นายท่าน ไหมกู่ที่ข้าวางไว้บนตัวพวกเขา ควบคุมได้แค่วันเดียว หลังจากผ่านไปหนึ่งวันพวกเขาก็ฟื้นแล้ว""ไม่เป็นไร หนึ่งวันก็พอ" จั๋วซือหรานตอบหนึ่งวันก็เพียงพอที่จะปั่นป่วนทิศทางของสำนักเมฆาวารีแล้ว และหนึ่งวันก็เีพยงพอที่จะแพร่กระจายเรื่องเหล่านี้ออกไปด้วยจั๋วซือหรานแม้จะไม่หาเรื่องใครก่อน แต่ก็ไม่ใช่คนที่ใครจะมารังแกได้แล้วก็ไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าด้วยถ้าจะให้นางต้องฆ่าคนมากขนาดนี้จริง ดาบมือในต้องยกขึ้นยกลงเสียเวลาตาย นางขี้เกียจสั่งสอนสักหน่อยก็พอแล้วเพียงแต่หลังจากที่พูดเรื่องนี้ไป เจ้าเจ็ดตัวก็ยังคงทะเลาะกันในมิติอยู่ดีไม่ใช่อะไรอื่น เป็นเพราะหุ่นเชิดความมืดที่จั๋วซือหรานรวบรวมมาให้เป็นภาชนะของพวกมัน...หน้าตาไม่เหมือนกันเป็นแบบที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ จั๋วซือหรานเข้าใจดี ครอบครัวฝาแฝดซื้ออะไรก็ต้องเหมือนกันให้ตายเถอะ แล้วนางทางนี้มีอยู่เจ็ดตัว จากนั้นหุ่นเชิดความมืดพวกนี้ก็แตกต่างกันอีกนี่จะฆ่านางให้ตายเลยใช่ไหมนะ?จั๋วซือหรานได้ยินเสียงทะเลาะกันของทั้งเจ็ดตัว เอาจริงๆ นะ...หนวกหูชมัดแต่จะว่าอย่า
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั