ถ้าไม่ยอมให้เขาออกมาล่ะก็..."ไม่ขอรับ เขาให้ข้าออกมา" เหลียนเจินเอ่ยขึ้น "เพียงแต่ว่า ด้านนอกโรงน้ำชามีคนซุ่มอยู่ พอข้าออกมาจากโรงน้ำชาครู่เดียว ก็มีคนลอบโจมตีเข้ามา ข้าน้อยไร้ความสามารถ สู้พวกเขาไม่ได้ ถูกทำบาดเจ็บสาหัส...ถ้าหากไม่ใช่เพราะวิธีการที่นายท่านใส่ไว้บนตัวข้าน้อย วันนี้ข้าน้อยคง...กลับมาไม่ได้แล้ว""ในกลุ่มพวกเขา มีปรมาจารย์วิชาเหยี่ยนอยู่หลายคน บกวกับหุ่นเชิดของพวกเขา คนก็มีมากกว่า ข้าน้อยหนีออกมาไม่ได้จริงๆ ยิ่งไปกว่นั้นหุ่นเชิดพวกเขายังฉาบยาพิษไว้อีก" เหลียนเจินเอ่ยขึ้น"หุ่นเชิดฉาบยาพิษก็ดูเป็นเรื่องปกติ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ถึงอย่างไรการจะเพิ่มพลังต่อสู้กับพลังสังหารของหุ่นเชิด ก็เป็นเรื่องที่ปรมาจารย์วิชาเหยี่ยนไม่มีทางพลาด"เหลียนเจินเข้าใจหลักการนี้อย่างเห็นได้ชัด พยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า "เพียงแต่ว่าเหมือนเพราะพิษนี้ ทำให้แมลงกู่ที่นายท่านทิ้งไว้บนตัวข้าก็ถูกปลุกขึ้นมา ตอนที่ข้าบาดเจ็บหนักจนเสียความสามารถการเคลื่อนไหว จู่ๆ ก็เข้าควบคุมข้า หนีการโจมตีเหล่านั้นออกมา..."ตอนที่เหลียนเจินพูดถึงตรงนี้ จั๋วซือหรานก็ได้ยินเสียงฟ่อๆ ของขนมชาเขียวขึ้นในมิตินาง "ไ
นายบ่าวไม่นานนักก็มาถึงโรงน้ำชาที่เหลียนเจินมาหาข่าวไว้ก่อนหน้านี้ด้านในโรงน้ำชามีสายตาจับจ้องอยู่ไม่น้อย พอเห็นว่าเหลียนเจินไปแล้วกลับมา จึงมีคนกระซิบกระซาบส่งข่าวอย่างรวดเร็วไม่นานนัก ก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังลอดมาจากด้านใน ใช้น้ำเสียงที่ดูเหนือกว่าเอ่ยขึ้นว่า "โย่ว? ไม่หลาบจำสินะ? นี่ยังกล้ามาอีก ดูท่าก่อนหน้านี้จะสั่งสอนไปไม่พอ!"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็เอียงตามองเหลียนเจินผาดหนึ่งเหลียนเจินสบสายตากับนายท่าน พยักหน้าเงียบๆ แสดงออกว่าเสียงนี้คือคุณชายฉินก่อนหน้านี้จั๋วซือหรานหรี่ตาลง มุมปากกลับยกขึ้นมา มองไปทางต้นกำเนิดเสียงประตูโรงน้ำชา ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น สวมชุดคลุมค่อนข้างหรูหรา ในดวงตามีความประชดประชันเล็กๆแต่ตอนที่สายตาเห็นใบหน้าจั๋วซือหราน ก็ตะลึงไปฉับพลันแต่ก็เป็นเรื่องปกติ ใครก็ตามตอนเห็นใบหน้านี้ของจั๋วซือหรานครั้งแรก ยากนักที่จะไม่มีปฏิกิริยาครู่หนึ่งนางถึงตั้งตัวกลับมาได้ หัวเราะเชอะขึ้นมา "ทำไม? หาคนมาช่วยแล้วรึ?"จั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นตาก็โค้งเผยรอยยิ้มสวยจริงๆทำเขาตะลึงงันไปในพริบตา "เจ้า..."จั๋วซือหรานยิ้มตาหยีถามเขา "เมื่อครู่ คนของ
คนหลายคนกรูกันเข้ามาจากรอบด้านทันที ล้อมจั๋วซือหรานเอาไว้คุณชายฉินทนความเจ็บปวดไว้ หัวเราะเย็นชาขึ้นมา "แม่นาง เจ้านี่ช่างกล้าเหลือเกิน ข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาสวยหรอกนะ ถึงไม่อยากจะทำอะไรเจ้า เจ้าคุกเข่าลงขอโทษข้า จากนั้นก็ออกไปเที่ยวเล่นกับคุณชายอย่างข้าซะ เรื่องนี้ก็จะแล้วกันไป ดีไหม?""ไม่ดี" จั๋วซือหรานหัวเราะเย็นชาขึ้นมา แหงนตามองเขา "แล้วกันไปหรือ? ไม่เห็นจะน่าสนใจ ข้าไม่คิดจะให้มันจบลงแค่นี้"พูดจบ นางก็เหลือบมองไปยังคนที่ล้อมอยู่รอบๆจากนั้นสายตาก็กลับมาอยู่บนหน้าคุณชายฉิน เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงให้คนพวกนี้ซุ่มโจมตีลูกน้องข้าอยู่ด้านนอกสินะ?"คุณชายฉินเลิกคิ้วขึ้น ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ถือว่ายอมรับแล้วจั๋วซือหรานรู้สึกพอใจกับเรื่องนี้อยู่ ในเมื่อมากันแล้ว เช่นนั้นก็พอดีเลย จัดการมันซะทีละคน ไม่ต้องหนีไปไหนกันทั้งหมดนั่นล่ะจั๋วซือหรานโบกมือหยิบป้ายตาโยนไปบนหน้าคุณชายฉิน พลางลากเขาเดินออกไปด้านนอกในโรงน้ำชาเดิมทียังคึกคักอยู่ มีคนไม่น้อยที่คอยดื่มชาฟังมหรสพตอนนี้พอมีอะไรให้ดู ก็ดึงดูดสายตาทั้งหมดไปทันทีคุณชายฉินรีบรับป้ายนั้นที่นางโยนเข้ามามือเป็นร
คุณชายฉินหลังจากด่าออกมาอย่างเคืองๆ เหมือนความโกรธแค้นในใจเมื่อครู่ได้ระบายออกมาบ้างแล้วเขาถลึงตามใส่จั๋วซือหรานอย่างมาดร้าย เหมือนกับยังคิดจะด่ากราดออกมาอีกแต่...กลับพบว่า สีหน้าของหญิงสาวคนนี้กลับไม่มีหวาดกลัวและลนลาน จากการปรากฏตัวของคนสำนักเมฆาวารีเลยแต่เหมือนจะ...คุณชายฉินเดิมทียังถอนใจโล่งในใจ แต่ตอนที่เห็นสีหน้ากับแววตาของจั๋วซือหรานก็ตกตะลึงขึ้นฉับพลันเพราะเขารู้สึกได้ว่า สีหน้าและแววตาของหญิงสาวคนนี้ ไม่ใช่แค่ไม่หวาดกลัวลนลาน แต่ยังดูเหมือสมใจอยาก...ทำสำเร็จแล้ว?ทำสำเร็จเหรือ?!จะทำสำเร็จอะไรได้ยังไง?!ยังไม่ทันที่คุณชายฉินได้คิดจนเข้าใจรายละเอียดด้านใน ก็ได้ยินเสียงใสเย็นของจั๋วซือหรานที่แฝงด้วยรอยยิ้มเย็นชา เอ่ยขึ้นว่า "ออกมาไวเสียจริง ข้ายังคิดว่าต้องฆ่าคนก่อนเสียอีก ถึงจะลากพวกเจ้าออกมาได้..."คนสำนักเมฆาวารีเหล่านี้ เดิมทีเตรียมตำหนิที่จั๋วซือหรานบ้าบิ่นเอาไว้แล้วแต่ก็ถูกประโยคนี้ของนางอัดแน่นในลำคอจนพูดไม่ออกนี่...หมายความว่าอย่างไร?พวกเขาเดิมทีคิดว่นางจะคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะลงมือ พวกเขาเดิมคิดว่าตนเองจะหยุดยั้งพฤติกรรมของนางได้แต่ไม่คิดเลย...ว่านี่
รู้สึกเหมือนถูกสัตว์ร้ายจับจ้องอยู่อย่างไรอย่างนั้น พอบวกกับ ที่จมูกตอนนี้ยังได้กลิ่นเลือดสดที่ทะลักออกมาจากคอของคุณชายฉินจนมีกลิ่นคาวเลือดจางๆและยังได้ยินเสียงอ่อคๆ ในคอของคุณชายฉินอีก ขนาดที่ความน่าเกรงขามที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แข็งแกร่งจนราวกับจะจับต้องมันได้ขึ้นมา!ดังนั้นพวกเขาที่เดิมทียังคิดจะบุกเข้าไป จึงยืนนิ่งตัวแข็งกันอยู่ที่เดิมพอเห็นท่าทางแข็งทื่อไปกะทันหันของพวกเขา จั๋วซือหรานก็เลิกคิ้วขึ้นเบาๆ ยกมุมปากเอ่ยขึ้นว่า "เป็นตัวเลือกที่ฉลาด"รอบๆ ไม่รู้ว่าใครที่ตะโกนขึ้นมา "ให้ตายเถอะ! ใยหุ่นเชิด...มากมายเต็มไปหมด!""ให้ตาย! เยอะมากจริงๆ! นางเองก็เป็นปรมาจารย์วิชาเหยี่ยนหรือ?!"พอได้ยินเสียงแบบนี้ขึ้นมารอบๆ พวกสำนักเมฆาวารีก็สังเกตเห็นขึ้นมา ว่าระว่างนางกับพวกเขา มีใยละเอียดอยู่มากมายจริงๆ...เพียงแต่มันโปร่งใสอยู่ตลอด ดังนั้น ถ้าหากไม่สังเกตอย่างละเอียดก็จะมองไม่เห็นและมีใยหุ่นเชิดในนี้ ที่ย้อมเลือดอยู่ด้วยไม่รู้ว่านางปล่อยใยหุ่นเชิดมากมายขนาดนี้มาตั้งแต่เมื่อไรคิดดูแล้วเมื่อครู่นี้คุณชายฉินน่าจะถูกปาดคอไปตอนที่นางใช้นิ้วปาดวาด ก็คงพราะเจ้าใยหุ่นเชิดพวกนี้สินะพลัง
นางไม่กลัวเลยจริงๆ! ยิ่งไปกว่านั้น ประทัดที่ว่ามันคืออะไร!คนสำนักเมฆาวารีมีปฏิกิริยาขึ้นมา สิ่งที่นางพูดน่าจะหมายถึงกระบอกเสียงของพวกเขาเมื่อครู่นี้ประทัดอะไรกันเล่า? ฟังแล้วดูตลกเสียจริงสีหน้าพวกเขาปั้นยากขึ้นมาแต่ว่ากลับไม่มีปฏิกิริยาใดกับคำพูดยโสของนาง เพราะว่า...ผู้อาวุโสยังไม่มาหญิงสาวคนนี้ลึกล้ำเกินหยั่งจริงๆนิ่งกันแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็ได้ยินเสียงนางที่เหมือนจะหมดความอดทน "หรือว่า ข้าต้องปาดคอพวกเจ้าทิ้งด้วย ผู้อาวุโสของพวกเจ้าถึงจะรู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญแล้วยอมเข้ามา?"พวกเข้าหน้าเขียวปี๋ สายตาพรั่นพรึงขึ้นมา"เอาเถอะ" สองมือที่กอดอกอยู่ของจั๋วซือหราน ยื่นออกมาข้างหนึ่งเหมือนกับที่จัดการคุณชายฉินเมื่อครู่ ชูนิ้วหนึ่งขึ้นมาสายตาคนสำนักเมฆาวารีถลึงตาโต พวกเขารู้จักท่านี้ของนง ดังนั้น พอเห็นท่าทางนี้ ก็เลยตึงเครียดกันขึ้นมาพวกเขาจ้องไปที่นิ้วเรียวขาวของนางอย่างตึงเครียด และเห็นว่านิ้วของนางกระดิกเบาๆ ขึ้นมาทันที!ตอนนี้เอง พวกเขาในที่สุดก็ได้ยินเสียงจากไกลๆ พุ่งเข้ามาเป็นเสียงกระดิ่ง กริ๊งๆๆ...!พวกเขาแทบน้ำตาคลอเบ้า! เพราะพวกเขารู้จัก
พอเข้าใจวิชาหุ่นเชิดบ้าง และล้วนรู้ว่า เพื่อหุ่นเชิดหนึ่งตัว ไม่ว่าจะเป็นหุ่นเชิดธรรมดาหรือหุ่นเชิดความมืด ปรมาจารย์วิชาเหยี่ยนต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งในการหลอมสกัดจึงจะนำมาใช้งานได้เหมือนกับนางแบบนี้เสียที่ไหน?! คิดจะใช้ก็เอามาใช้เลย?ยิ่งไปกว่านั้น! คุณชายฉินก็ยังไม่ตายด้วย!พวกเขาเห็นว่าเขายังหายใจอยู่!คนสำนักเมฆาวารีพวกนั้น ก็รู้สึกตกตะลึงอย่างมากกับฉากที่เห็นตรงหน้า!ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้พวกเขารู้สึกตกตะลึงกับการแสดงออกของจั๋วซือหราน พวกเขาในตอนนี้คืองงเป็นไก่ตาแตกไปแล้วไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ที่พวกเขารู้ กระทั่งเจ้าสำนักก็ยังไม่มีความสามารถแบบนี้!และตอนนีเ้อง คนสำนักเมฆาวารีก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น เย็นๆ ใสๆ เส้นเสียงทั้งที่น่าฟัง แต่ตอนนี้ในหูพวกเขา กลับราวกับเป็นเสียงที่ลอดมาจากขุมนรก"พวกเจ้า ลองหลบดูอีกสักครั้งไหม?"คนเหล่านี้รู้สึกเหมือน หัวใจจะหยุดเต้นไปแล้วในพริบตาอวัยวะสัมผัสหลายจุดแจ่มชัดขึ้นเป็นพิเศษในพริบตานี้ อย่างเช่นว่า พวกเขาสามารถมองเห็นอย่างชัดเจน ว่านิ้วมือของนางขยับอย่างไรภาพการกระดิกนิ้วเบาๆ นั่น...กลับสร้างความตกตะลึงได้ยิ่งกว่าโบกแกว่
"เจ้า...!" บนหน้าผอมแห้งของหวงเจี้ยนถัง ดวงตาเบิกโพลงฉับพลัน!ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากผอมเกินไป เดิมทีดวงตาที่โตอยู่แล้ว ตอนนี้พอถลึงตา ก็ยิ่งโตขึ้นจนแทบจะร่วงลงมาอย่างไรอย่างนั้นในดวงตาเขาตกตะลึงจนยากจะปิดบัง เพราะเนื่องจากตกใจมากเกินไป กระทั่งปากก็ยังอ้าค้าง มุมปากสั่นเล็กน้อย ราวกับได้รับผลกระทบมหาศาล"นี่...นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน..." เขางึมงำขึ้นคำหนึ่งในน้ำเสียงฟังแล้ว ก็เหมือนไม่มีความเย็นชาดุดันแบบก่อนหน้าแล้วหวงเจี้ยนถังเป็นปรมาจารย์วิชาเหยี่ยนมาแล้วหลายปี เข้าใจว่าวิชาหุ่นเชิดของตนเองไม่ธรรมดายิ่งไปกว่านั้นการค้นคว้าต่อวิชาเหยี่ยน ระดับการหลอมวัตถุของเขาเองก็ไม่ได้ต่ำเลยนี่เป็นพื้นฐานและความภาคภูมิใจของเขามาโดยตลอดโดยเฉพาะหุ่นเชิดความมืด กระทั่งในสำนักเมฆาวารี มีหุ่นเชิดความมืดไม่น้อยที่หลอมสกัดออกมาจากมือเขา อย่างหุ่นเชิดความมืดของผู้ดูแลชุยก่อนหน้านั้น อันที่จริงก็หลอมมาจากมือของหวงเจี้ยนถังกระทั่งเจ้าสำนักก็ยังมีหุ่นเชิดความมืดบางส่วน ที่หวงเจี้ยนถังหลอมสกัดออกมาให้อีกด้วย ถึงอย่างไรการหลอมสกัดหุ่นเชิดก็เป็นงานละเอียดอ่อน เปลืองทั้งเวลาเปลืองทั้งแรง ไม่ใช่อะไ
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั