เสียงของฉุนจวินเย็นลงไปอีก "ข้าไม่อยากพูดไร้สาระกับพวกเจ้า หลีกไป นายท่านของข้าคือเฟิงเหยียน ถ้าหากนายท่านจะลงโทษอะไรพวกเรา พวกเราก็จะไม่ปริปากบ่น แต่ก่อนหน้านั้น พวกเราไม่ใช่ว่าใครจะมารังแกกันได้"ฉุนจวินบอก เสียงชิ้งดังขึ้น! ชักดาบยาวออกมาแล้ว องครักษ์เงาคนอื่นเองก็ทยอยกันชักอาวุธออกมาฉุนจวินมองกลุ่มลาดตระเวนห้าคนตรงหน้านี้อย่างเย็นชา บอกว่า "อย่างมากก็แค่เชือดพวกเจ้าทิ้ง แล้วค่อยมาดูว่าจะโดนโทษแบบไหน แค่ลงโทษพวกเราไม่กลัวหรอก ข้าจะคอยดูพวกเจ้า ถ้าไม่มีชีวิตแล้วยังจะทำอะไรได้อีก"พอได้ยินคำพูดของฉุนจวิน พวกของกลุ่มลาดตระเวนก็เริ่มมีอาการจะถอยให้อย่างชัดเจนเพียงแต่ดูเหมือนว่า ยังพยายามจะแสดงท่าทีแข็งกร้าวแต่ใจจริงอ่อนแอตอบมาว่า "พวกเจ้าต่อให้กลับมา! ก็ยังมีความผิดติดตัวอยู่! ยังกล้ามาพูดแบบนี้กับเราอีก! ไปเถอะ! พวกเจ้ามัดตัวเองไปหาซื่อจื่อโน่นเลย ข้าจะดู ว่าซื่อจื่อจะลงโทษอะไรพวกเจ้า..."พอสิ้นเสียงคนของกลุ่มลาดตระเวนเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง ก็ดังลอดเข้ามาจากข้างๆ ฟังแล้วไม่มีความอบอุ่นใด ไม่มีอารมณ์ใดด้วย"ฟังน้ำเสียงเจ้าแล้ว ถ้าข้าไม่ลงโทษพวกเขา พวกเจ้าเองก็ตั้งใจจะจัดการข้า
นิสัยของจ้านหลูเป็นพวกตลกอารมณ์ดี ดังนั้นพอได้ยินคำนี้ของเฟิงเหยียน ก็หัวเราะหึหึขึ้นมา "ไม่หรอกไม่หรอก ก่อนหน้านี้แม่นางจิ่วใช้กำลังของตนเองบุกสังหารเข้าจวนตระกูลเฟิงเพื่อช่วยพวกเราออกไป""นั่นก็เพราะตอนนั้นนายท่านไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง นางจึงรับพวกเรากลับไป" จ้านหลูเอ่ยต่อ "ตอนนี้นายท่านอยู่ในเมืองหลวงแล้ว แม่นางจิ่วเองก็ออกจากเมืองหลวงแล้วด้วย ก่อนนางจะออกไปก็เรียกให้พวกเรากลับมา ดังนั้นพอนางออกจากเมืองปั๊ป พวกเราก็กลับมาที่นี่ปุ๊ปเลย! นายท่านอย่าโกรธพวกเรานะ"พอได้ยินจ้านหลูบอกว่าแม่นางจิ่วออกจากเมือง บนหน้านายท่านจู่ๆ ก็แข็งขึ้นมาฉุนจวินคิดในใจ นายท่านต่อให้ไม่มีความทรงจำที่เคยอยู่ด้วยกันกับแม่นางจิ่วแล้ว แต่จากที่เห็นนายท่านเองก็ไม่ใช่จะไม่ใส่ใจแม่นางจิ่วนะ ไม่แน่ เหมือนจะใส่ใจอยู่มาเสียด้วยซ้ำจากนั้นฉุนจวินก็เหลือบมองใบหน้าตลกโปกฮาของจ้านหลู ในใจก็คิดว่ามิน่าหานกวงก่อนหน้านี้ให้เรียกเขากลับมาด้วย ส่วนนางจะอยู่ที่จวนแม่นางจิ่วเพื่อดูแลเองเดิมทีฉุนจวินยังคิดว่าหานกวงน่าจะรู้สึกว่านางเป็นหญิงสาว อยู่ที่นั่นคอยดูและคุ้มครองเซี่ยอวิ๋นเหนียงน่าจะเหมาะสมที่สุดแต่หานกวงกลับพูดอ
แทบจะทำให้เขาเจ็บปวดเจียนตาย และความทรมานี้ ก็แสดงขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในฝันร้ายของเขาดังนั้นตอนที่ฉุนจวินกับเฟิงเหยียนมาหาเขา จึงดึงเขาออกมาจากในความทรมานนี้เพียงแต่เพราะยังไม่ทันพักผ่อนดี แล้วยังมาเจอกับฝันร้ายมากขนาดนั้นอีก สีหน้าของเฟิงอวี้จึงไม่ค่อยสู้ดีนักนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งตัวแสดงให้เห็นถึงความเศร้าสร้อยสิ้นหวัง สีหน้าดูไม่ได้เลย"นี่เพิ่งจะเวลาไหนกัน" เสียงของเฟิงอวี้แหบพร่า "มาหาข้ามีเรื่องอะไรกัน?"เฟิงเหยียนมองสีหน้ากับสภาพเศร้าสร้อยของเฟิงอวี้แล้วรู้สึกประหลาดมาก ราวกับเดาได้ว่าเขาทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ฝันร้ายหรือ? เพราะ...ฝัถึงอะไรล่ะ? ฝันถึง...ภรรยาที่ตายไปแล้วหรือ?ตอนที่ตระหนักถึงความเป็นไปได้นี้ ในใจเฟิงเหยียน จู่ๆ ก็มีความตึงเครียดและพรั่นพรึงที่ยากจะมองข้ามยากจะระงับไว้ ซึ่งไม่รู้เล็ดลอดออกมาจากมุมไหนขึ้น!อย่างน้อย ตนเองก็ยังรู้ว่าแม่นางที่ห้าวหาญสวยงามคนนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหน หากคิดถึงล่ะก็ ก็ยังแอบดอดไปชำเลืองมองได้ไม่เหมือนกับท่านพ่อ เกรงว่าคงจะได้พบกับคนรักแค่ในฝันเท่านั้น แล้วก็...ไม่น่าจะเป็นฉากที่มีความสุขนัความคิดนี้ไม่รู้ว่าเผยมาจากร่องไหนมุมไหนในใ
พอได้ยินคำนี้ของเฟิงอวี้ คิ้วของเฟิงเหยียนก็ขมวดเขายกมือโบกกับฉุนจวิน เป็นสัญญาณให้ฉุนจวินถอยไปฉุนจวินประสานมือลาหลังจากฉุนจวินออกไป เฟิงเหยียนจึงมองเฟิงอวี้ เอ่ยขึ้นว่า "กินของคนอื่นก็จะติดค้างเขานะ หลังจากข้าออกจากเมืองหลวง แม่ของนาง ธุรกิจของนาง คนของนาง ท่านก็ดูแลเสียหน่อยเถอะ"เฟิงอวี้พอได้ยิน "ในเมื่อไม่วางใจขนาดนี้ ทำไมไม่ให้คนจัดการดูแลเสียเองล่ะ?"เฟิงเหยียนยกมุมปาก รอยยิ้มเย็นชา "ถ้าข้าให้คนของข้าดูแล เจ้าพวกตาแก่นั่นก็น่าจะไม่วางใจต่อนาง ตอนนี้มองนางเป็นนางมารร้ายทำลายชาติบ้านเมืองไปแล้ว ถึงตอนนั้นก็ยังไม่แน่ว่าจะรับมือกับนางอย่างไร"เฟิงอวี้ไม่พูดอะไร แค่มองเขาเงียบๆเฟิงเหยียนชะงัก แต่ยังคงพูดต่อไปว่า "ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ข้าต้องการ มันก็แบบนี้ไม่ใช่หรือ"คำพูดนี้ฟังแล้วเหมือนไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่เฟิงอวี้กลับเข้าใจความหมายเขาสิ่งที่ข้าต้องการ...เกรงว่าจะหมายถึงตนเองที่รักจั๋วซือหรานอย่างลึกซึ้งตอนที่ยังไม่ถูกลบความทรงจำกระมังเฟิงเหยียนหลังจากพูดเหล่านี้จบ ก็ไม่คิดจะพูดอะไรกับพ่อมากนัก หมุนตัวจะเดินออกไปแต่เฟิงอวี้ก็เรียกเขาไว้ "ไหนๆ ก็มาแล้ว มากินมาดื่มก
สายตานางยังคงจับจ้องไปเบื้องหน้า กระทั่งเสียงกับท่าทางก็ยังคงดูไม่ใส่ใจเหมือนเดิมเนื้อหาในคำพูดทำให้คนขับรถขนหัวลุกขึ้นมาทันที"อย่างเช่นตอนแรกสุดก็มีคนไล่ตามเข้ามาติดๆ หรือข้างหน้ามีคนดักซุ่มโจมตีอะไรแบบนี้" จั๋วซือหรานตอบสีหน้าคนขับรถเปลี่ยนไป คำพูดเริ่มติดขัดขึ้นมา "ซุ่ม ซุ่มโจมตีหรือ? มีการซุ่มโจมตีหรือ?"เขาไม่รู้ตัวเลย เขาก็แค่คนขับรถม้าธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นจั๋วซือหรานพยักหน้า "อืม เป็นเรื่องที่คาดไว้แล้ว แต่ไม่ต้องห่วง ข้าเองก็จงใจเดินทางแบบสัมภาระน้อยๆ ถ้าเอาขบวนรถม้าใหญ่ๆ มาข้าเองก็รับประกันไม่ได้ว่าจะคุ้มครองได้หมดไหม แต่ถ้าเจ้าแค่คนเดียวไม่ใช่ปัญหาเลย"คนขับรถเป็นคนขับรถในเรือนนาง ถึงแม้จะรู้ว่าการซุ่มโจมตีเป็นเรื่องน่ากลัว แต่สำหรับฝีมือคุณหนูของตนเองแล้วตนเองก็เชื่อมั่นอย่างยิ่งพอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน เส้นประสาทที่ยังตึงก่อนหน้านี้ ก็ผ่อนคลายลงมาไม่น้อย "แม่นางพูดชเ่นนี้ ข้า ข้าก็วางใจแล้ว""อืม เจ้าขับรถไปก็พอ อีกเดี๋ยวไม่ว่าเกิดเรื่องอะไร..." ดวงตาพญาหงส์ใสกระจ่างของจั๋วซือหราน หรี่ลงมาเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า "...ไม่ต้องหยุด นี่เป็นสิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำ""ร
คนขับรถเห็นทั้งหมดกับตา!นั่นก็เพราะ เขาต้องตั้งใจพยายามขับรถม้าอยู่ตลอด ดังนั้นไม่ว่าการเคลื่อนไหวอะไร เขาจึงจ้องมองเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ ดังนั้นจึงเห็นสาเหตุขั้นตอนทั้งหมดได้อย่างชัดเจนดังนั้นในสมองเขา จึงค่อยๆ ทำเรื่องราวทั้งหมดชัดเจนขึ้นอีกฝ่ายแค่ทดลองโจมตีใส่นางครั้งหนึ่ง ก็ถูกแม่นางจิ่วสกัดไว้ ขณะเดียวกันก็ยังพบร่องรอยของคนที่ลอบโจมตี จากนั้นก็สวนกลับทันที แล้วยังโต้กลับสำเร็จด้วย!คนขับรถอดคิดในใจไม่ได้ ถ้าหากพวกลอบโจมตีเหล่านี้ คิดจะลองเชิงพลังของแม่นางจิ่วก่อนล่ะก็ ผลลัพธ์การลองเชิงพวกเขาคงไม่ค่อยดีนักแน่ๆและระยะห่างของที่นี่กับช่องภูเขา คนขับรถคะเนจากการขับของตนเอง อย่างมากก็ประมาณหนึ่งเค่อครึ่งเท่านั้น ก็จะทะลวงผ่านช่องเขานี้ไปได้!ดังนั้น แม่นางจิ่วแค่ยืนหยัดในช่วงหนึ่งเค่อครึ่งให้ได้และคนที่ลอบโจมตีพวกนั้นก็มีเวลาแค่หนึ่งเค่อครึ่งความเป็นความตาย! อยู่ในเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งเค่อครึ่งนี้!คนที่ลอบโจมตีก็เหมือนจะตระหนักได้แล้ว ว่าลอบโจมตีคนเดียวไม่ได้ ไม่ใช่แค่จะล่อลวงจั๋วซือหรานไม่ได้ แต่ยังถูกนางเด็ดหัวทิ้งไปด้วย!ดังนั้นเพียงไม่นาน การโจมตีจึงเปลี่ยนเป็บแบบกลุ่
พอได้ยินคำนี้ของนายท่านผู้เยี่ยมยุทธ์ คนขับรถก็ตึงเครียดขึ้นมาหน่อยๆ "แม่ แม่นาง เป็นอะไรหรือเปล่า?"จั๋วซือหรานตอนแรกที่เข้ามายังเขตแดนนี้ ก็กางพลังวิญญาณของตนเองออกมาเพื่อสัมผัสการลอบโจมตีของศัตรูแล้วความเข้ากันได้กับธรรมชาติของพลังวิญญาณธาตุไม้แข็งแกร่งมาก ตอนที่ฝึกจนถึงระดับสูงๆ แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็ยังอยู่ในสายตาและการได้ยินจั๋วซือหรานเองก็มีความสามารถเช่นนี้ แม้ขณะที่กำลังดำเนินการ ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ขยับล่ะก็ ก็จะถือว่าแย่ไปหน่อยแต่ถ้าหากอีกฝ่ายขยับตัวอย่างให้ความร่วมมือ ปัญหาก็ไม่ยากแล้วดังนั้นเมื่อครู่จึงยิงได้อย่างไม่เสียเปล่า และตอนนี้นางสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เกินจากคาดการณ์ไว้แล้ว...การเคลื่อนไหวนั้น เสียงนั้น นั้นไม่ใช่เสียงรั้งสายธนู และไม่ใช่เสียงสั่นสะเทือนของสายธนูนั่นเป็น...เสียงของเครื่องยิงธนู"รถยิงธนู" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นคนขับรถหน้าซีดไปทันที เขาไม่เคยไปสนามรบแต่ก็เคยได้ยินถึงความร้ายกาจของรถยิงธนู เจ้าสิ่งนี้พลานุภาพใหญ๋โตมาก สามารถยิงได้ระยะไกลโข! กระทั่งแทงทะลุรถม้าได้เลย!มีรถยิงธนูที่ร้ายกาจหน่อย กระทั่งสามารถยิงทะลุประตูเมืองขนาดเล็กที่ความหนาไม่ได้มา
"เกิด...อะไรขึ้น?" คนลอบโจมตียังคิดว่ายิงโดนแล้วแน่ๆต่อให้ยิงไม่โดนจั๋วซือหราน แต่อย่างน้อยก็ต้องยิงไปโดนรถนาง นี่เป็นเป้าหมายแต่เดิมของพวกเขาขอแค่นางไม่มีรถ ทิ้งนางไว้ที่นี่ แต่นอนว่าจะรับมือกับนางได้ดีกว่าแต่ว่า การโจมตีเมื่อครู่ ไม่ใช่แค่ไม่โดนนางนะ แต่กระทั่งรถม้าของนางก็ยังไม่โดนลูกธนูหนาหนักขนาดนั้นดอกหนึ่ง หายวับไปกับตา ไม่เหลือแม้เงานี่มันประหลาดจริงๆ แต่ด้วยเวลาตอนนี้ ปฏิกิริยาที่พวกเขาสามารถทำออกมาได้เหมาะที่สุดก็คือ..."ยิงอีกรอบ!"เสียงเครื่องยิงธนูดังขึ้นอีกครั้ง!จั๋วซือหรานไม่ประมาทเลยแม้แต่น้อย นางร่อนลงมาบนตัวรถ เพื่อทำการเตรียมตัวรับมือการโจมตีครั้งต่อไปขณะที่คนขับถอนใจโล่ง ดวงตาก็เป็นประกาย พอเหลือบมองด้วยหางตาจึงมองเห็น ที่แท้คุณหนูก็หยิบยืมพลังของสัตว์อสูรปีกตัวหนึ่งดังนั้นเมื่อครู่จึงบินขึ้นไป!"อย่ามองข้า มองทางไป" ความระมัดระวังในเสียงจั๋วซือหรานยังไม่หายไป ฟังออกว่า นางไม่ได้ผ่อนความระแวดระวังลงเลยคนขับรถเองก็จริงจัง ตั้งใจขึ้นมา"มาอีกแล้ว" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "เจ้าทำตามที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ก็พอ"คนขับรถพยักหน้าเงียบๆ เรื่องอื่นเขาไม่ค่อยไ
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั