“เจ้าโตจนป่านนี้แล้ว ตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง จะไม่รู้แก่ใจเชียวหรือ?”สีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนย่ำแย่อย่างมาก เขาทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่เฟิ่งชูอิ่งพูดก่อนที่เขาจะได้อ้าปากว่า “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว พูดต่อเดี๋ยวข้าด่าเอานะ”“ถึงแม้ว่าเราจะมองหน้ากันไม่ติดแล้ว ไม่จำเป็นต้องไว้หน้ากันอีกแล้ว”“แต่ถ้าเจ้าคิดว่าจะเถียงชนะข้าได้ ก็ไม่เป็นไร ข้าจะเถียงด้วย”“บอกตามตรง ข้ายังมีคำด่าอีกเยอะ ถ้าไม่รังเกียจ ข้าสามารถด่าแบบรวดเดียวไม่พักได้ รับรองไม่ซ้ำ”ไม่เห็นจะยากตรงไหน นางแค่ทวนคำด่าที่น้องสาวนางเคยด่าเขาเอาไว้ก็พอ ไม่ต้องคิดเองด้วยซ้ำจิ่งสือเยี่ยน “......”เดิมทีเขาคิดว่าคำด่าของนางเมื่อครู่นี้ก็แย่มากแล้วแต่ฟังจากน้ำเสียงของนาง คำพูดเหล่านั้นดูเหมือนจะยังสุภาพอยู่ นางยังไม่ได้เริ่มด่าจริงจังจิ่งสือเยี่ยนเติบโตมาในราชวงศ์ ปกติได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีการพูดแบบเอาหลักเหตุผลเข้าสู้เขาทำได้ แต่คำด่าเขาก็ไม่ค่อยเชี่ยวชาญนักประเด็นคือ ถึงแม้เขาจะรู้คำด่าเยอะจริงๆ เขาก็ไม่สามารถทิ้งภาพลักษณ์ขององค์ชายมายืนด่ากับนางตรงนี้ได้สถานการณ์แบบนี้ ถึงด่าชนะก็ขายหน้า ด่าแพ้ก็ขายหน
จิ่งโม่เยี่ยพูดถึงตรงนี้ก็หันกลับมามองจิ่งสือเยี่ยน แล้วพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “ต่อให้สรรหาเหตุผลมากแค่ไหน ก็ไม่สู้ความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า”พูดจบเขาก็ไม่สนใจจิ่งสือเยี่ยนอีก เดินไปอยู่ข้างๆ เฟิ่งชูอิ่งแล้วถามว่า “เย็นนี้อยากกินอะไร”เฟิ่งชูอิ่งมองจิ่งสือเยี่ยนที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น แล้วมองไปที่ปู๋เยี่ยโหว นางไอเบาๆ แล้วพูดว่า “อากาศหนาวแบบนี้ เหมาะกับการกินหม้อไฟนะ”ช่วงนี้อากาศกลับมาหนาวเย็นอีกครั้ง ท้องฟ้าก็เริ่มมีหิมะโปรยปรายลงมาแล้วดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยอ่อนโยนลง “งั้นก็กินหม้อไฟกัน”ปู๋เยี่ยโหวพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะให้พ่อครัวเตรียมเนื้อวัว การลวกเนื้อวัวพร้อมกับเนื้อแกะในหม้อไฟนี่มันสุดยอดจริงๆ”เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อ “ข้าไม่เอาแบบน้ำแกงใส ข้าอยากกินแบบเผ็ด!”ปู๋เยี่ยโหวเริ่มน้ำลายสอ “เจ้าจะผัดเครื่องปรุงเองหรือ ครั้งที่แล้วที่เจ้าปรุงออกมาอร่อยมากเลย!”จิ่งโม่เยี่ยถาม “พวกเจ้ากินหม้อไฟกันตอนไหน”ปู๋เยี่ยโหวแค่นเสียงในลำคอ “ไม่บอกหรอก!”เขาพูดเสริมอีกประโยค “ชูชูชอบข้าที่สุด!”จิ่งโม่เยี่ยขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเขา เดินเข้าไปขนาบข้างเฟิ่งชูอิ่งแล้วพูดว่า “ถ้าเจ้าจะท
จิ่งสือเยี่ยนถามว่า “ปกติพวกเขาเป็นแบบนี้กันหรือ?”ผู้ดูแลหัวเราะแล้วตอบว่า “ท่านหมายถึงท่านโหวและท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการหรือ? พวกเขาอยู่ร่วมกันแบบนี้มาโดยตลอดพ่ะย่ะค่ะ”แท้จริงแล้วจิ่งสือเยี่ยนถามออกไปก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง เพราะเขารู้ดีว่าเขาคงไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรจากผู้ดูแลของจวนปู๋เยี่ยโหวเขาออกจากจวนปู๋เยี่ยโหวไปด้วยอารมณ์ที่สับสนอย่างมากเขายืนอยู่บนถนนหน้าประตูจวน พอลมหนาวพัดมา เขาก็พลันได้สติเขาค้นพบเรื่องแปลกอย่างหนึ่ง เดิมทีเขาเป็นคนที่สนิทสนมกับบรรดาพี่น้องมากที่สุด แต่ตอนนี้บรรดาพี่น้องของเขา กลับไม่มีใครเลือกยืนอยู่ข้างเขาเลยทั้งจิ่งสือเยว่และจิ่งสืออวิ๋นก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเขายืนอยู่ข้างจิ่งโม่เยี่ย ส่วนองค์ชายคนอื่นๆ ก็ไม่สนใจเขาเดิมทีที่พึ่งพาใหญ่ที่สุดของเขาคือจวนซู หลังจากซูโหย่วเลี่ยงเกิดเรื่อง จวนซูก็ล่มสลายอย่างเปิดเผย อำนาจของจวนซูก็ตกไปอยู่ในมือของคนของเขาทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่คนเหล่านั้นต่างก็เกรงกลัวเขามากกว่าที่จะสนิทสนมในทางกลับกัน จิ่งโม่เยี่ยที่ก่อนหน้านี้ในเมืองหลวง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นที่รังเกียจของทุกคนในบรรด
ถัดมา เสียงร้องโหยหวนอย่างน่าอนาถก็ดังระเบิดขึ้นทั่วทั้งจวนปู๋เยี่ยโหวผู้ดูแลยกมือปิดตา ไม่กล้ามองน่าเวทนายิ่งนัก ท่านโหวของเขาน่าสงสารเหลือเกิน!แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับอยากหัวเราะผู้ดูแลคิดว่าตนต้องอดทนไว้ มิเช่นนั้น หากปู๋เยี่ยโหวรู้ว่าเขาน่าสมเพชขนาดนี้แล้วยังมีคนหัวเราะเยาะอีก ท่านโหวคงจะโกรธแน่เฟิ่งชูอิ่งถึงกับตะลึงเมื่อเห็นปู๋เยี่ยโหวเพราะดวงตาของเขาแดงก่ำ จมูกก็แดงก่ำ ปากบวมเต่ง และเสียงก็แหบแห้งเฟิ่งชูอิ่งอดถามไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นอะไรไป?”ปู๋เยี่ยโหวร้องไห้กระซิกๆเรื่องนี้น่าอายเกินไป เขาจะไม่พูดต่อหน้าเฟิ่งชูอิ่งเด็ดขาดผู้ดูแลอยากจะพูด แต่ถูกปู๋เยี่ยโหวจ้องเขม็ง จึงต้องกลืนคำพูดลงคอไปจิ่งโม่เยี่ยทำหน้ารังเกียจพลางพูดว่า “โตจนป่านนี้แล้วยังร้องไห้อยู่อีก ไม่รู้จักอายบ้างหรือ?”ปู๋เยี่ยโหวสูดน้ำมูกแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าอยากร้องไห้หรือ? ข้าก็ไม่อยากเช่นเดียวกัน แต่มันทรมานเหลือเกิน ข้าช่างน่าสงสารนัก!”จิ่งโม่เยี่ยถามว่า “เช่นนั้นเล่ามาสิ เจ้าเป็นอะไรกันแน่?”เขาและปู๋เยี่ยโหวเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก รู้ดีว่าปู๋เยี่ยโหวเป็นคนเช่นไรที่ปู๋เยี่ยโหวทำสีหน้า
ตอนแรกเขายังเกร็งๆ ไม่กล้าทำเกินไปนัก แค่หลอกขอข้าวได้วันละมื้อก็พอใจแล้วพอหลอกหลายครั้งเข้า แถมยังไม่โดนลงโทษ เขาก็เริ่มทำเกินขอบเขตมากขึ้นเรื่อยๆตอนนี้เขาสามารถใช้ความสามารถหลอกขอข้าวได้วันละสามถึงห้ามื้อปกติแล้วร่างวิญญาณหากกินมากๆ ก็สามารถอิ่มได้ แต่จิ่งสือเยี่ยนกลับเหมือนผีหิวโหย กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มสักทีดังนั้นเขาจึงกินข้าวที่หลอกมาได้จนหมดเกลี้ยงโดยปกติแล้ววิญญาณหลังความตาย รูปร่างและหน้าตาจะคงที่เหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่อ้วนขึ้นหรือผอมลงแต่จิ่งสือเยี่ยนกลับทำให้อ้วนขึ้นได้ตอนที่เขาตาย เขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่เขากลับทำให้อ้วนขึ้นจนพุงป่องและตอนนี้เขาก็ยิ่งไม่มีความละอายใจ เขารู้ว่าเขาไม่สามารถหลอกขออาหารจากเฟิ่งชูอิ่งได้ จึงได้แต่ยืนกลืนน้ำลายอยู่ข้างๆถึงแม้คนที่ตายไปแล้วจะไม่มีน้ำลายก็ตามทีแต่การกระทำของเขามันดูหื่นกามเกินไป เฟิ่งชูอิ่งเห็นแล้วก็ปวดหัวนางจ้องเขาแล้วพูดว่า "เจ้าอ้วนขนาดนี้แล้วยังจะกินอีก!"จิ่งสือเยี่ยนตอบ "ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าเอาแต่คิดเรื่องอำนาจ ไม่เคยได้กินของอร่อยๆ เลย""ตอนนี้ข้าไม่ต้องสนใจเรื่องอำนาจแล้ว แน่นอนว่าต้องกิ
จิ่งโม่เยี่ยคิดคำนวณในใจ เมื่อฮ่องเต้สวรรคต เมืองหลวงจะต้องเกิดกลียุคอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น เขาและจิ่งสือเยี่ยนต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือดหากนางไปตอนนั้น เขาเกรงว่าแม้แต่เวลาไปส่งนางก็ยังหาไม่ได้เขาจึงถามว่า "เลื่อนออกไปได้ไหม"เฟิ่งชูอิ่งมองสีหน้าของเขาแล้วหัวเราะ "ข้ายังพูดไม่จบ""นั่นเป็นแผนเดิมของข้า แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนกำหนดการใหม่แล้ว""ข้าอยากรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน ค่อยไปที่แคว้นซีฉู่ ครั้งที่เกิดกบฏในวัง ข้าไม่เชื่อใจเจ้าจึงฉวยโอกาสหนีไป""ตอนนี้ข้าอยากจะเชื่อเจ้าสักครั้ง ช่วยเจ้าขึ้นครองราชย์ก่อนแล้วค่อยไป""ถึงตอนนั้น เจ้าอย่าหาข้ออ้างหรือเหตุผลมาควบคุมข้าไว้ไม่ให้ไป ข้าสัญญากับเจ้าแล้วว่าจะกลับมา ก็ย่อมต้องกลับมา"จิ่งโม่เยี่ยไม่อยากให้นางไปจริงๆ แต่นางพูดชัดเจนขนาดนี้ หากครั้งนี้เขายังรั้งนางไว้ ทั้งสองคนคงต้องจบกันจริงๆความเชื่อใจระหว่างพวกเขามีน้อยมาก ตอนนี้อยากจะให้ทั้งสองฝ่ายได้ไว้เนื้อเชื่อใจกันมากขึ้นความเชื่อใจนี้ได้มายากและมีค่า ไม่สามารถสูญเสียหรือสิ้นเปลืองได้จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่านางเต็มใจอยู่ช่วยเขา นางกำลังบอกเขาว่านางเต็มใจร่วมเป็นร่วมตายกับ
นางยังคงเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดและไม่ยอมเสียเปรียบเหมือนเดิมช่วงนี้เขารู้สึกกังวลและกดดัน กลัวว่าแม้พวกเขาจะเริ่มต้นใหม่ แต่ก็ไม่สามารถย้อนกลับไปเหมือนเดิมได้จนถึงตอนนี้ เขายังคิดอยู่เลยว่าการที่พวกเขาจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับเฟิ่งชูอิ่งถ้านางเต็มใจ พวกเขาก็สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ทันทีตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งก็ดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว และเต็มใจที่จะเริ่มต้นใหม่กับเขาหลังจากทานหม้อไฟเสร็จ จิ่งโม่เยี่ยก็รู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่างกาย หัวใจของเขาก็อบอุ่นเช่นกันเฟิ่งชูอิ่งพูดกับจิ่งโม่เยี่ยว่า "ช่วงนี้ท่านคงยุ่ง ไม่ต้องแวะมาหาข้าเป็นพิเศษหรอก""ข้าบอกแล้วว่าจะเริ่มต้นใหม่กับท่าน ก็จะเริ่มต้นใหม่ ไม่เบี้ยวหรอก"มุมปากของจิ่งโม่เยี่ยยกขึ้นเล็กน้อย "ข้ารู้"เขาพูดจบก็จับมือนาง "เรื่องของข้า ข้าจัดการเองได้ แต่ข้าดีใจมากที่เจ้าช่วยข้า""ถึงเจ้าไม่ช่วยอะไร ขอแค่ยังอยู่ที่เมืองหลวง ข้าก็ดีใจเหมือนกัน"เฟิ่งชูอิ่งเบะปากเล็กน้อยแล้วดึงมือกลับ "อย่ามาลวนลามกันนะ ข้ายังไม่สนิทกับท่านเสียหน่อย"จิ่งโม่เยี่ยยิ้มบางๆ ขณะมองนาง "เราเริ่มต้นใหม่ ไม่
เฟิ่งชูอิ่ง “......”เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ่งโม่เยี่ยเดินจากไปสักพักแล้ว เฟิ่งชูอิ่งถึงได้สติกลับมาที่เขาทำเมื่อครู่นี้ ไม่ใช่แสดงท่าทางตื้นตันใจที่ได้รับความรัก แต่เป็นการฉวยโอกาสกับนางต่างหากเพียงแต่ตอนที่เขาจูบนางเมื่อครู่ เขาทำเร็วมาก พอจูบเสร็จก็ผละออกไปเร็วเช่นกัน ทำให้นางไม่ทันได้ตั้งตัวตอนนี้นางเพิ่งรู้สึกตัวว่า จิ่งโม่เยี่ยก็ยังคงเป็นจิ่งโม่เยี่ยคนเดิม ในเรื่องการฉวยโอกาสกับนางนั้นไม่เคยปล่อยผ่านไปเลยนางอดไม่ได้ที่จะด่าออกมาว่า “เจ้าคนชั่ว!”ปู๋เยี่ยโหวโผล่พรวดออกมาจากมุมไหนสักแห่ง เอ่ยด้วยสีหน้าตัดพ้อ “ตอนนี้เจ้าด่าไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว!”“ตอนที่เขาจูบเจ้าเมื่อครู่นี้ เจ้าน่าจะตบหน้าเขาสักฉาด!”เฟิ่งชูอิ่ง “......”แปลว่าไอ้หมอนี่ก็อยู่ดูตลอดเลยงั้นสิ?นางหันไปมองเขา เห็นว่าตอนนี้ปากของเขาบวมเป่งเหมือนไส้กรอก ดูแล้วน่าสงสารสุดๆนางจ้องเขาเขม็ง “เจ้าเป็นแบบนี้แล้ว ยังจะมาแอบดูเรื่องของชาวบ้านอีกหรือ?”ปู๋เยี่ยโหวแค่นเสียงในลำคอเบาๆ “ก็เพราะว่าข้าเป็นแบบนี้ ข้าไม่มีอะไรทำ ถึงได้แวะมาดูเรื่องสนุกของผู้อื่นไง”เพราะสำหรับหนุ่มหล่อเหลาอย่างเขา หากมีใครเห็นสภาพแบ
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท