“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ถือสาหาความกับจิ่งโม่เยี่ยชั่วคราว”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเบะปาก นางรู้สึกว่าจิ่งโม่เยี่ยอาจจะมีความคิดเหมือนกับนางในเวลานี้ เฉี่ยวหลิงก็มาถึงพอดี “คุณหนู คุณหนู มีการค้นพบครั้งสำคัญ”เฉี่ยวหลิงช่วงนี้ก็เอาแต่ไปรังแกมหาราชครูทุกวัน มหาราชครูก็ทรมานจวนเจียนจะตายทุกวัน แต่เขาก็ยังทนได้อย่างน่าประหลาดจนถึงตอนนี้ ถึงสติของเขาจะบ้าๆ บอๆ แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้แต่ก็เพราะเฉี่ยวหลิงไปรังแกเขามากเกินไป ทำให้ตอนนี้สมองของเขาเริ่มมีปัญหาจริงๆเพราะสมองเขามีปัญหา บางครั้งเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ หรือแม้แต่ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกำแพงในใจของเขาถูกเฉี่ยวหลิงทำลายลงทีละน้อย และ เฉี่ยวหลิงก็ได้ข้อมูลจากเขามามากมายในตอนนี้ เฉี่ยวหลิงไม่ได้ไปรังแกมหาราชครู แต่กลับมาหาเฟิ่งชูอิ่ง นั่นแสดงว่าต้องมีการค้นพบอะไรที่สำคัญแน่ๆเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “มีการค้นพบครั้งสำคัญอะไร?”เฉี่ยวหลิงตอบว่า “ตอนที่มหาราชครูกับฮ่องเต้เจาหยวนฆ่าฮ่องเต้องค์ก่อน ตอนแรกพวกเขาต้องการแก้ไขราชโองการ แต่ตัวอักษรบนราชโองการนั้นแก้ไขได้ยาก”“ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาจึงไปหาค
เมื่อนางพูดประโยคนี้ขึ้นมา ทั้งปู๋เยี่ยโหวและเฉี่ยวหลิงก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่ก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่มหาราชครูสามารถเป็นที่เคารพนับถือในวงการบัณฑิตได้ นอกจากนิสัยส่วนตัวแล้ว ความสามารถของเขาก็ต้องไม่ธรรมดาเขาต้องผ่านการศึกษาตำรามามากมาย แน่นอนว่าลายมือก็ต้องสวยมากโดยทั่วไป ลายมือของคนเราจะได้รับอิทธิพลจากความเคยชิน มักจะมองออกได้บ้างแต่คนละคนเขียนตัวอักษรต่างกัน ลายมือก็จะดูแตกต่างกันและบางคนที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง การจงใจเปลี่ยนลายมือก็ไม่ใช่เรื่องยากในสถานการณ์เช่นนั้น รอบตัวฮ่องเต้เจาหยวนมีคนมากมาย แต่กลับเลือกมหาราชครู นอกจากพวกเขาจะมีผลประโยชน์ร่วมกันแล้ว อาจเป็นเพราะเขามีความสามารถพิเศษเฟิ่งชูอิ่งรู้สึกว่าคนอย่างมหาราชครูที่ยอมกินขี้เพื่อเอาชีวิตรอด ต่อให้เฉี่ยวหลิงจะทรมานเขาอย่างไร เขาก็ไม่น่าจะเป็นบ้าเสียสติได้เร็วขนาดนี้ดังนั้น นางจึงสรุปว่ามหาราชครูแกล้งบ้าเพียงแต่ช่วงนี้เขาโดนเฉี่ยวหลิงสั่งสอนบ่อยๆ ทักษะการแกล้งบ้าของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือการแสดงของเขา การหลอกเฉี่ยวหลิงที่คิดอะไรอย่างตรงไปตรงมานั้นไม่ใช่เรื่องยากปู๋เยี่ยโ
อยากจะยืมมือนางมาหลอกจิ่งโม่เยี่ยและปู๋เยี่ยโหวในขณะนั้น เฉี่ยวหลิงรู้สึกว่าการที่จะทำให้มหาราชครูได้ลิ้มรสความเจ็บปวดยิ่งกว่าตายนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายเฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน จะไม่ยอมให้เขารังแกเจ้าเด็ดขาด”เฉี่ยวหลิงพยักหน้าอย่างหนักแน่นปู๋เยี่ยโหวครุ่นคิด “ถ้าราชโองการนั้นมีปัญหา มหาราชครูวางแผนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “น่าจะเป็นตอนที่เขาถูกขังอยู่ในจวนมหาราชครู เขาก็เลยวางแผนแบบนี้ไว้”“คนเจ้าเล่ห์อย่างเขา ปกติถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็จะเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน”พูดถึงตรงนี้ เฟิ่งชูอิ่งก็ถามเฉี่ยวหลิง “เขาบอกเจ้าด้วยหรือไม่ ว่าราชโองการนั้นอยู่ในจวนมหาราชครู?”เฉี่ยวหลิงพยักหน้า “ใช่!”ปู๋เยี่ยโหวหัวเราะ “เรื่องนี้ พอคิดดูดีๆ ก็สมเหตุสมผล”“ของสำคัญที่สุดเก็บไว้ในที่ลับในบ้านตัวเอง เป็นเรื่องที่ทำให้คนหลงเชื่อได้ง่าย”เฟิ่งชูอิ่งกอดอก “ไป ไปดูราชโองการที่มหาราชครูตั้งใจให้เราดูกัน ว่าหน้าตามันจะเป็นอย่างไร”ปู๋เยี่ยโหวหัวเราะ “ได้เลย อย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำ ไปเดินเล่นที่บ้านเขากัน”เฟิ่งชูอิ่งเบ้
เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “เขาตายไปนานแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงวิญญาณร้าย คำว่าวิญญาณร้ายอาฆาตใช้บรรยายถึงเขาได้เหมาะสมที่สุดแล้ว”ปู๋เยี่ยโหวกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าสุนัขตัวนี้ดูเหมือนจะชั่วร้ายกว่าเมื่อก่อนอีกนะ?”ตอนนี้เทียนซือไม่มีท่าทีสงบนิ่งดุจเซียนเหมือนตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ วิญญาณทั้งหมดแผ่รังสีอำมหิตออกมาเด่นชัดช่วงนี้เหมยตงยวนตามหาเทียนซือไปทั่วเมืองหลวง แต่เขาก็หายตัวไปราวกับหมอกควันไม่รู้ว่าช่วงนี้เขาไปหลบอยู่ที่ไหนการที่เขากล้าปรากฏตัวที่นี่ในตอนนี้ คงเป็นเพราะเจ้าสุนัขตัวนี้ คงจะใช้วิธีการบางอย่างไล่เหมยตงยวนออกไปเจ้าสารเลวนี่คงเห็นว่าพวกเขารังแกง่าย เจาะจงเลือกเฉพาะคนที่อ่อนแอกว่าตัวเองเฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “เขาฝึกวิชาชั่วร้าย ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นแบบนี้”โดยพื้นฐานแล้ว ตอตที่นาง “ถูกเผาตาย” ครั้งที่แล้ว ก็เป็นเพราะเทียนซือนางกับเทียนซือเป็นศัตรูคู่แค้นกันอย่างแท้จริงหากวิญญาณของเทียนซือยังไม่สลายไป ความแค้นของพวกเขาก็จะไม่จบสิ้นเฟิ่งชูอิ่งยิ้มทักทายเทียนซือ “เจ้าคนขี้ขลาดที่เอาแต่ซุกหัวอยู่ในรู เราเจอกันอีกแล้ว”เมื่อเทียนซือได้ยินคำนี้ก็หัวเราะเยาะ “วันนี้ไม่มีใครช่ว
เขาครุ่นคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนหรือผีกันแน่แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงออกแม้แต่น้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “อืมๆ มีสาวงามอยู่เป็นเพื่อน ข้าจะต้องกลัวอะไรล่ะ?”พูดจบก็ถามหญิงสาวคนนั้นว่า “เจ้าชื่ออะไร?”สาวงามตอบว่า “พวกเขาเรียกข้าว่า จิ้งจอกสือซานเหนียง”พอได้ยินคำนี้ ปู๋เยี่ยโหวก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นปีศาจจิ้งจอก ไม่ใช่ผีเขาจึงพูดว่า “สือซานเหนียง? ชื่อนี้น่าสนใจดีนะ ที่บ้านเจ้าคงมีพี่น้องเยอะสินะ?”สมัยที่ปู๋เยี่ยโหวเที่ยวหอคณิกา เขาเป็นที่ถูกอกถูกใจของหญิงคณิกาอย่างมากเขามีประสบการณ์การพูดคุยกับผู้คนมากมาย หาจุดเริ่มต้นบทสนทนาได้ง่ายมากจิ้งจอกสือซานเหนียงยิ้มบางๆ “ใช่ บ้านข้ามีคนเยอะแยะเลย”“ถ้ามีโอกาส ข้าจะเชิญท่านไปเที่ยวที่บ้านข้า พี่น้องของข้าต้องชอบท่านแน่ๆ”ปู๋เยี่ยโหวยิ้มแย้ม “ดี ดี พี่น้องของเจ้าสวยเหมือนเจ้าไหม?”จิ้งจอกสือซานเหนียงพยักหน้า “แน่นอน”พูดจบนางก็เข้าไปแนบชิดปู๋เยี่ยโหว ดันร่างกายที่อ่อนนุ่มแนบชิดร่างกายของเขาในขณะเดียวกัน มือที่วางอยู่บนไหล่ของปู๋เยี่ยโหวก็มีเล็บที่แหลมคมงอกออกมาปู๋เยี่ยโหวดูเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย ดวงตาที่สวยงามของเขาจ้องมอง
เขาพูดพลางชักกระบี่ออกมา “ถ้าเจ้ายังไม่ตาย ข้าจะฟันซ้ำอีกสองสามครั้ง!”จิ้งจอกสือซานเหนียง “……”ใครบอกว่าปู๋เยี่ยโหวชอบผู้หญิง ไม่เคยลงมือกับสตรี?นางใช้พลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดปัดป้องกระบี่ของปู๋เยี่ยโหวปู๋เยี่ยโหวรู้สึกว่ากระบี่ของตนฟันลงไปเหมือนฟันโดนก้อนสำลีเขามั่นใจในเพลงกระบี่ของตนเองมาก ฟันไม่โดนครั้งหนึ่ง ก็ฟันอีกครั้งอย่างไรเสียปีศาจที่อยู่กับเทียนซือก็ไม่ใช่ปีศาจดีอะไรหรอกจิ้งจอกสือซานเหนียงร้องห้าม “เดี๋ยวก่อน!”ปู๋เยี่ยโหวไม่ฟังนาง ฟันกระบี่ลงมาทันทีจิ้งจอกสือซานเหนียงต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่นางยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน ก็ถูกใครบางคนเตะจนกระเด็นออกไปเฉี่ยวหลิงด่า “นางจิ้งจอกหน้าด้าน แม้แต่ผู้ชายของข้าก็ยังกล้ามาอ่อย!”ปู๋เยี่ยโหวตกใจสุดสีหน้า “ข้าเป็นผู้ชายของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”เฉี่ยวหลิงตอบหน้าตาเฉย “เจ้าเป็นผู้ชายที่อยู่ข้างกายข้า เรียกสั้นๆ ว่าผู้ชายของข้า เจ้ามีปัญหาหรือ?”ปู๋เยี่ยโหว “……”เขามีปัญหา แต่บอกไปนางก็คงไม่ฟังเขาจึงพูดว่า “ใช่ๆๆ ข้าเป็นผู้ชายของเจ้า”จิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นท่าไม่ดี รีบหันหลังวิ่งหนีทันทีพลังโจมตีข
เฉี่ยวหลิงตอบว่า “เทียนซือสารเลวคนนั้นได้เรียกผู้ช่วยที่เก่งกาจมาหลายคน ที่นี่ถูกวางกลไกใหญ่ครอบทับเอาไว้”“ตอนที่เทียนซือลงมือ ข้าก็แยกจากคุณหนูแล้ว”ปู๋เยี่ยโหวขมวดคิ้วพูดว่า “ถ้าชูชูต้องเผชิญหน้ากับเทียนซือคนเดียว คงจะอันตรายน่าดู”เฉี่ยวหลิงพยักหน้า “ดังนั้นข้าจึงอยากจะทำลายกลไกนี้”“กลไกนี้น่าจะเป็นฝีมือจิ้งจอกตัวนั้นวางเอาไว้ ถ้าฆ่าจิ้งจอกได้ กลไกนี้ก็น่าจะถูกทำลาย”พูดถึงตรงนี้นางก็จ้องปู๋เยี่ยโหวแล้วพูดว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดเจ้า ที่ปล่อยให้จิ้งจอกตัวนั้นหนีไป!”ช่วงนี้นางติดตามเหมยตงหยวนและฝึกฝนมาตลอด จึงเข้าใจเรื่องศาสตร์ลี้ลับมากขึ้นนางฝึกฝนในร่างวิญญาณร้าย แม้จะไม่ได้ก้าวหน้าเร็วนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็นับว่าได้เรียนรู้หลายสิ่งถึงตอนนี้แม้นางจะยังเป็นวิญญาณร้าย แต่ร่างกายกลับมีกลิ่นอายของศาสตร์ลี้ลับที่ไม่เข้ากับวิญญาณร้ายยันต์บนตัวปู๋เยี่ยโหวพัดเฉี่ยวหลิงกระเด็นไป เรื่องนี้เขาไม่อยากรับผิดก็ต้องรับเขาถามเฉี่ยวหลิง “แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรต่อ?”สายตาของเฉี่ยวหลิงตกลงบนหางจิ้งจอกเส้นนั้นนางพูดอย่างครุ่นคิด “ถ้ากลไกนี้เป็นฝีมือจิ้งจอกตัวนี้ หางจิ้งจอกที่เป็นขอ
เทียนซือหัวเราะเยาะ “เจ้ายังปากแข็งแม้ยามใกล้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะลั่น จากนั้นจึงกระดิกนิ้วเรียกเขา “ถ้าเจ้าคิดว่าข้าใกล้ตายแล้ว ก็เข้ามาฆ่าข้าสิ!”เทียนซือ “......”ยิ่งนางดูสงบนิ่งเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่านางต้องมีแผนเตรียมเอาไว้กับดักนี้ร้ายกาจมาก ตราบใดที่นางขยับเพียงนิดเดียว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแต่นางกลับไม่ขยับเลย!เทียนซือสงสัยอย่างมากว่าหากเขาเข้าไปใกล้นาง นางจะต้องใช้วิธีบางอย่างเล่นงานเขาแน่ที่ครั้งก่อนเขาสามารถเผานางได้ ก็เพราะนางถูกขังอยู่ในห้องเก็บฟืน ไม่มีเครื่องรางและยันต์อยู่ใกล้มือครั้งนี้ที่ต้องเผชิญหน้ากับนางเช่นนี้ เขาไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆช่วงนี้เขาถูกเหมยตงยวนไล่ฆ่าจนต้องหลบหนีไปทั่ว จนเกิดเป็นความกลัวฝังใจโอกาสครั้งนี้กว่าจะหามาได้ เขาไม่อยากปล่อยเฟิ่งชูอิ่งไปจริงๆดังนั้นเขาจึงเรียกวิญญาณร้ายตนหนึ่งมาโจมตีเฟิ่งชูอิ่งแต่วิญญาณร้ายยังไม่ทันได้เข้าใกล้เฟิ่งชูอิ่ง ก็ถูกนางจัดการด้วยยันต์เพียงใบเดียวเฟิ่งชูอิ่งทำหน้ารังเกียจ “แค่นี้ก็คิดจะมาฆ่าข้า ใครกันที่ให้ความกล้าเจ้ามา”เทียนซือ “......”เขาก็ค้นพบเช่นกันว่า เฟิ่งชูอิ่งเก่งกว่า
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท