สายตาของจิ่งโม่เยี่ยหม่นหมองลงเล็กน้อย นางยังคงไม่ต้องการเข้าไปในจวนแต่เขารู้ว่าเรื่องนี้เขาบังคับนางไม่ได้ เขาจึงพูดว่า “ตกลง”ฉินจื๋อเจี้ยนเอื้อมมือไปดึงชายแขนเสื้อของจิ่งโม่เยี่ย ส่งสัญญาณให้เขาพูดจาอ่อนหวานเพื่อรั้งเฟิ่งชูอิ่งเอาไว้ แต่จิ่งโม่เยี่ยกลับไม่พูดอะไรเขาจึงรีบพูดว่า “เรื่องพวกนี้ตอนนี้ก็จบลงแล้ว ไม่ต้องรีบร้อนอะไร”“ท่านอ๋องชอบให้พระชายารบกวนนะ ท่านอ๋องอดหลับอดนอนตุ๋นน้ำแกงไก่ทั้งคืน ก็เพื่อรอให้พระชายามาทานวันนี้”“หากพระชายาไม่ต้องการเข้าวัง ดื่มน้ำแกงที่หน้าประตูสักถ้วยก็ยังดี”เฟิ่งชูอิ่งหยุดเดิน นางนึกถึงโจ๊กที่จิ่งโม่เยี่ยทำให้ทานที่จวนปู๋เยี่ยโหวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานางรู้ว่าจิ่งโม่เยี่ยกำลังพยายามทำดีกับนางอย่างสุดความสามารถในแบบของเขา แต่นางก็ยังก้าวผ่านความรู้สึกของตัวเองไปไม่ได้นางจึงพูดว่า “ขอบคุณท่านอ๋อง แต่ไม่จำเป็นจริงๆ”พูดจบก็หันหลังเดินจากไปฉินจื๋อเจี้ยนร้อนใจมาก แต่ก็ได้แต่มองนางจากไปหลังจากนางจากไป ฉินจื๋อเจี้ยนก็พูดว่า “ท่านอ๋อง ทำไมเมื่อครู่ท่านไม่รั้งนางไว้?”จิ่งโม่เยี่ยพูดเบาๆ ว่า “ถึงวันนี้จะรั้งนางไว้ เดี๋ยวนางก็ต้องไปอยู่ดี
เนื่องจากคดีของมหาราชครูถูกตั้งขึ้นแล้ว และมีหลักฐานที่ชัดเจน บุตรชายทั้งหมดของเขาจึงถูกจับกุมทั้งหมดญาติพี่น้องที่พึ่งพามหาราชครูต่างก็ถูกจับกุมเช่นกันยิ่งไปกว่านั้น คดีของซูโหย่วเหลียงก็ปะทุขึ้นมา มีผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมากจิ่งโม่เยี่ยได้เน้นย้ำหลายครั้งว่าเขาจะไม่ลงโทษผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง แม้จะเป็นเช่นนั้น คุกในเมืองหลวงก็เต็มไปด้วยผู้คนปีใหม่นี้ทำให้เหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างหวาดผวา ขุนนางในเมืองหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขุนนางหลายคนต้องเสียตำแหน่งหน้าที่การงานในช่วงปีใหม่นี้เพียงแต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลักฐานเหล่านั้น พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ขุนนางในเมืองหลวงแทบจะไม่มีใครบริสุทธิ์เลย ในแวดวงข้าราชการ ไม่ว่าใครก็ต้องมือแปดเปื้อนบ้างแต่การเปลี่ยนแปลงของข้าราชการไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปมากนักวันที่จิ่งโม่เยี่ยปิดเมืองนั้น มีผลกระทบต่อชาวเมืองหลวงอยู่บ้าง แต่หลังจากเปิดเมือง ทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติแม้ว่าพวกเขายังคงระมัดระวังอยู่บ้าง แต่ภายหลังดูเหมือนว่าจะไม่มีผลกระทบต่อพวกเขาราชสำนักได้ประกาศข่าวสารเกี่ยวกับขุนนางที่ทุจริต พวกเขาก็เข้าใจได้เองว่าอ๋
เขาเกรงว่าพวกขุนนางจะมาตามหา จึงเปลี่ยนเป็นชุดผ้าธรรมดา แล้วค่อยๆ แอบไปหาเฟิ่งชูอิ่งอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกตเมื่อมาถึงตรอกที่จวนปู๋เยี่ยโหวตั้งอยู่ เขาก็เห็นผู้คนต่อแถวยาวเหยียด เขาจึงถามสาวใช้ที่อยู่ท้ายแถวด้วยความสงสัยว่า “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?”แถวยาวมาก มองไม่เห็นหัวแถวเลยสาวใช้ตอบว่า “พวกเรากำลังต่อแถวดูดวงเจ้าค่ะ”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เรื่องนี้แค่เดาคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนดูดวงให้พวกเขาเขาจะเดินไปข้างหน้า แต่ถูกคนขวางไว้ “นี่ ตาแก่ ถ้าอยากดูดวงก็ไปต่อแถวข้างหลัง อย่าแซงคิว!”เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบพูดว่า “ข้าไม่ได้มาดูดวง”ทุกคนมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวงเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดว่า “ข้าต่อแถวมาหลายวันแล้ว หวังว่าวันนี้จะถึงคิวข้า”“อันนี้ก็ไม่แน่ใจ เทพธิดาดูดวงจะดูให้ใครก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์นาง ถ้าอยากดูก็จะดูให้หลายคน ถ้าไม่อยากดูก็จะเก็บของกลับเลย”“นางดูแม่นมาก ท่านอยากดูอะไรล่ะ?”“ปีนี้ข้าอายุยี่สิบแล้ว ยังไม่ได้แต่งงาน ข้าอยากรู้ว่าเมื่อไหร่ข้าจะได้แต่งภรรยา ท่านล่ะอยากดูอะไร?”“ข้าอยากดูว่าทั้งชีวิตนี้ข้าจะนั่งๆ นอนๆ ไม่ต้องทำอะไรแล้วมีเงินใช้ไม่หมดหรือเปล่
เฟิ่งชูอิ่งทำสีหน้าเย็นชา “ได้สิ ค่าจ้างรายชั่วโมงของข้าแพงนะ ชั่วโมงละพันตำลึง”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “…เจ้าเป็นคนหน้าเลือดเห็นแก่เงินหรือไง?”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะออกมา “ใช่ เพิ่งจะรู้ตัวหรือ?”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “……”เขาถึงกับพูดไม่ออกเฟิ่งชูอิ่งมีแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถามว่า “งั้นท่านจะซื้อเวลาของข้าไหม?”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “…เอา!”เขาไม่สามารถรับมือกับเด็กสาวนิสัยแปลกๆ คนนั้นได้ สัญชาตญาณบอกเขาว่ามีเพียงเฟิ่งชูอิ่งเท่านั้นที่สามารถจัดการได้เพราะเดิมทีเฟิ่งชูอิ่งเป็นคนช่วยเขาตามหาเด็กสาวคนนั้นเฟิ่งชูอิ่งเกิดความสนใจ “ท่านจะซื้อนานเท่าไหร่?”เสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่มีเวลาเล่นสงครามประสาท “ข้าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ ปกติก็ได้แค่เงินเดือน ไม่มีเงินมากนัก ลดราคาให้หน่อยได้ไหม?”เฟิ่งชูอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “นั่นเป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของข้า”“หลักการของข้าเรียบง่ายมาก คนที่สนิทกับข้า สามารถต่อรองตามอารมณ์ได้”“ข้ากับท่านไม่ได้สนิทกัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคุยกันด้วยความรู้สึก”“ไม่คุยกันด้วยความรู้สึก ก็ต้องใช้เงินแก้ปัญหา”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “…”เขารู้สึกว่าเฟิ่งชูอิ่งไร้ความเห
เพียงแต่ว่าต่อให้เขายุ่งแค่ไหน ทุกวันเขาก็จะหาเวลาแวะมาหาเฟิ่งชูอิ่งที่นี่ และตอนที่เขามาถึงก็บังเอิญเจอกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายพอดีเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ยังคงให้ความเคารพต่อปู๋เยี่ยโหวอยู่พอสมควร “เสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”ก่อนหน้านี้เสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ค่อยเห็นด้วยกับปู๋เยี่ยโหว เพราะเจ้าหมอนี่เป็นตัวแทนของความไม่น่าไว้วางใจวันนี้เดิมทีเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะสนใจปู๋เยี่ยโหว แต่ในขณะที่เดินสวนกันนั้น เขาก็นึกอะไรขึ้นได้อย่างกะทันหัน จึงคว้าตัวปู๋เยี่ยโหวไว้ปู๋เยี่ยโหวคุ้นเคยกับท่าทีเมินเฉยของเหล่าขุนนางที่ชอบทำตัวสูงส่งในราชสำนัก ดังนั้นตอนที่เขาทักทายเสนาบดีฝ่ายซ้ายเมื่อครู่ เขาก็ไม่ได้หวังว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะมีปฏิกิริยาตอบกลับตอนนี้เสนาบดีฝ่ายซ้ายคว้าตัวเขาไว้ ทำให้เขาไม่เข้าใจเขาจึงถามว่า “เสนาบดีฝ่ายซ้ายมีอะไรจะชี้แนะหรือ”เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอียงหัวมองเขา มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วถามว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ปู๋เยี่ยโหวรีบปฏิเสธทันที “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าไม่เคยรังแกผู้หญิง และจะไม่ทำเรื่องหยาบคายกับพวกนาง”“ข้าให้ความเคารพผู้หญิงทุกคนใน
เสนาบดีฝ่ายซ้ายถามอีกครั้งว่า “ถ้าข้ามีเรื่องอยากขอให้เจ้าช่วย เจ้าจะช่วยไหม”จิ่งสือเยี่ยนยิ่งรู้สึกงงเข้าไปใหญ่ แต่ก็ตอบว่า “ขึ้นอยู่กับท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย”พอได้ยินคำนี้ เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็รู้สึกพอใจ นี่แหละคือการตอบที่ถูกต้องเสนาบดีฝ่ายซ้ายจึงพูดว่า “ไม่มีอะไรแล้ว ข้าแค่ถามดูเฉยๆ อ๋องจิ้นไปทำงานเถอะ”จิ่งสือเยี่ยน “......”เขารู้สึกมึนงงไปหมดหลังจากที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายรั้งเขาไว้พูดมากมาย สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไรเลยเมื่อคิดทบทวนคำพูดของเสนาบดีฝ่ายซ้าย เขาก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่หลังจากที่ปู๋เยี่ยโหวแยกทางกับเสนาบดีฝ่ายซ้าย เขาก็ปีนกำแพงกลับจวนทันทีเขารู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากด้วยความฉลาดนี้ สมควรได้รับคำชมจากเฟิ่งชูอิ่งดังนั้นเขาจึงไปหาเฟิ่งชูอิ่งอย่างมีความสุข และเล่าเรื่องที่เจอเสนาบดีฝ่ายซ้ายให้ฟังหลังจากฟังจบ เฟิ่งชูอิ่งก็หัวเราะออกมา “เขาอายุขนาดนี้แล้วมาขอให้เจ้าช่วย เจ้าก็ควรจะช่วยเขา”ปู๋เยี่ยโหวถามว่า “ทำไม”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่ต้องการหาคนช่วยง้อเด็กผู้หญิงอายุสิบกว่าขวบ”“ถ้าเจ้าถนัดเรื่องแบบนี้ ก็ทำไปเถอะ”ปู๋เยี่ยโหวชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามว
มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย “เจ้าพูดถูก”“ดังนั้นเรื่องนี้ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเขา รอดูสถานการณ์ก่อนแล้วกัน”ปู๋เยี่ยโหวพยักหน้า “ข้าฟังนาง”เขามองเฟิ่งชูอิ่งด้วยสายตาที่อ่อนโยนมากหญิงสาวที่เขาชอบช่างดีเหลือเกิน ยึดมั่นในความยุติธรรมในใจ ไม่กลัวอำนาจเฟิ่งชูอิ่งยิ้ม นางไม่อยากทำนายดวงวันนี้แล้วนางพูดกับทุกคนที่ต่อแถวว่า “วันนี้พลังวิญญาณหมดแล้ว ไม่ทำนายดวงแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ!”ทุกคนถอนหายใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเรื่องการทำนายดวงของเฟิ่งชูอิ่งนั้น นางค่อนข้างตามใจตัวเองถ้านางพูดว่าไม่ทำนายแล้ว ก็คือจะไม่ทำนายอีก พวกเขาไม่สามารถบังคับได้อีกเฟิ่งชูอิ่งกำลังเก็บของ จิ่งสือเยี่ยนก็เดินเข้ามาเพราะเหตุการณ์ต่อเนื่องกันมา นางรู้สึกไม่ดีกับจิ่งสือเยี่ยนมากแล้วภาพลักษณ์ของเขาในใจนางพังทลายไปหมดแล้วนางยังไม่ได้พูดอะไร ปู๋เยี่ยโหวก็ยืนขวางตรงหน้านางแล้วพูดว่า “เจ้ามาทำอะไร?”จิ่งสือเยี่ยนมองเฟิ่งชูอิ่งแล้วพูดว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง”เฟิ่งชูอิ่งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้าไม่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า”ครั้งที่แล้วที่จิ่งสือเยี่ยนถ่อไปหานางถึงในคุก ทำให้นางรูสึกไม่สบายใจมาก
พอเฟิ่งชูอิ่งได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่ “ข้าไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในราชสำนัก และก็ไม่มีธุระอะไรกับเจ้าด้วย”“ไม่ว่าเจ้าจะมาหาข้าเพื่อเรื่องอะไร ข้าก็ไม่อยากฟังเจ้าพล่าม”พูดจบนางก็หันหลังกลับเข้าจวนปู๋เยี่ยโหวทันทีจิ่งสือเยี่ยนอยากจะตามไป แต่ถูกปู๋เยี่ยโหวขวางไว้ปู๋เยี่ยโหวมองเขาพร้อมกับยิ้ม “นางไม่อยากเจอเจ้า เจ้าก็อย่าไปรบกวนนางเลย”“ยิ่งเจ้าทำตัวน่ารำคาญ นางก็จะยิ่งเกลียดเจ้ามากขึ้น”จิ่งสือเยี่ยนมองปู๋เยี่ยโหว ถึงแม้ทั้งสองจะเป็นญาติกัน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ดีมาตั้งแต่เด็กเขารู้สึกว่าปู๋เยี่ยโหวเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย และประพฤติตัวอวดดีส่วนปู๋เยี่ยโหวก็รู้สึกว่าเขาแม้จะดูสดใสร่าเริง แต่จริงๆ แล้วเป็นคนเจ้าเล่ห์คนแบบนี้ ปกติเจอกันก็ไม่พูดกันด้วยซ้ำวันนี้ทั้งสองมาเจอกันแบบนี้ ถึงแม้ว่าปู๋เยี่ยโหวจะยิ้ม แต่จริงๆ แล้วเขาอยากจะเตะจิ่งสือเยี่ยนให้กระเด็นไปไกลๆช่วงนี้จิ่งสือเยี่ยนทำอะไรก็ไม่ราบรื่น ในใจก็เก็บความแค้นไว้มากมาย ตอนนี้เขาอยากจะแทงปู๋เยี่ยโหวให้ตายแต่ทั้งสองก็รู้ดีว่า ถ้าพวกเขาลงมือกันจริงๆ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมากนั่นหมายความว่าพวกเขาจะแตก
เฟิ่งชูอิ่งมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยหางตาแล้วตอบว่า “เรื่องของผู้ชายข้า เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”“ถ้าเจ้ายังคิดจะยุ่งกับเขาอีก ข้าไม่รังเกียจที่จะส่งยันต์ปัญจอัสนีบาตให้เจ้าอีกสักแผ่น”จิ้งจอกสือซานเหนียง “......”ในขณะนี้ นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างเฟิ่งชูอิ่งกับเฟิ่งชิงหลิงผู้เป็นมารดาของนางตอนที่เฟิ่งชิงหลิงอยู่กับเหมยตงยวน ทั้งสองต่างระแวงและไม่เชื่อใจกันทุกครั้งที่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เฟิ่งชิงหลิงแทบจะไม่เชื่อใจเหมยตงยวนเลยซึ่งเหมยตงยวนก็ทำร้ายเฟิ่งชิงหลิงจนบาดแผลมันฝังลึกเกินจะแก้ทั้งสองต่างไม่เชื่อใจกันตั้งแต่แรกเพราะความไม่เชื่อใจ จึงทำให้เมื่อเจอเรื่องอะไรก็จะคอยรแวงกันและกันนางมองเฟิ่งชูอิ่งแล้วพูดว่า “สำหรับเจ้าแล้ว จิ่งโม่เยี่ยดีขนาดนั้นเลยหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่ใช่เรื่องดีหรือไม่ดี แต่เขาเป็นคนของข้า ข้าไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับเขา”นางกับจิ่งโม่เยี่ยผ่านเรื่องราวมามากมาย จึงมีความเชื่อใจให้กันอย่างลึกซึ้งจิ่งโม่เยี่ยยืนอยู่ข้างหลังนาง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเขาชอบเวลาที่นางปกป้องเขาจิ้งจอกสือซานเหนียงแค่นเสี
“คุณหนูเดิมทีเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงศักดิ์แห่งแคว้นซีฉู่ ควรได้รับความเคารพนับถือและมีชีวิตที่มีความสุขไปตลอดชีวิต”“เพราะได้พบกับเขา นางถึงต้องเจอกับความเจ็บปวดมากมายขนาดนี้ แถมยังต้องเสียชีวิตอีก!”“เหมยตงยวนไอ้สารเลวนั่น ถึงจะเป็นพ่อแท้ๆ ของเจ้า แต่มันก็ไม่คู่ควรจะเป็นพ่อของเจ้าสักนิด!”พอได้ยินแบบนี้ เฟิ่งชูอิ่งก็รู้ทันทีว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเกลียดเหมยตงยวนเข้ากระดูกดำนางพูดเบาๆ ว่า “ระหว่างพ่อกับแม่ของข้ามีความเข้าใจผิดกันหลายอย่าง…”“ไม่ใช่ความเข้าใจผิด!” จิ้งจอกสือซานเหนียงขัดจังหวะนางแล้วพูดว่า “เหมยตงยวนคงบอกเจ้าว่าเรื่องระหว่างเขากับคุณหนูเป็นเรื่องเข้าใจผิดสินะ?”เฟิ่งชูอิ่งยังไม่ทันได้ตอบ จิ้งจอกสือซานเหนียงก็ด่าต่อว่า “คนแบบมันนี่หน้าด้านที่สุดเลย!”“คุณหนูทุ่มเททุกอย่างให้กับมัน แต่มันกลับเอาแต่หลอกใช้คุณหนู”“มันปล่อยให้เจ้าอารามคนเก่าและเหล่าผู้อาวุโสของสำนักลี้ลับรังแกคุณหนู แล้วยังแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นอีก”“คุณหนูต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบากมากมายเพราะมัน แต่มันก็ยังกล้าทำร้ายคุณหนูอีก!”“ถ้าเรื่องพวกนี้เรียกว่าเรื่องเข้าใจผิด งั้นมันก็เป็นไอ้สารเลวแล้ว!
เฟิ่งชูอิ่งมองนางแล้วพูดว่า “ในใจเจ้ามีคำตอบอยู่แล้ว จะถามให้มันได้อะไรขึ้นมาล่ะ”จิ้งจอกสือซานเหนียงถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยว่า “เจ้าพูดถูก เจ้ากับคุณหนูหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ เจ้าต้องเป็นลูกของคุณหนูอยู่แล้วล่ะ”“ถ้าคุณหนูรู้ว่าเจ้าไม่เพียงแต่รอดชีวิตมาได้ แถมยังมีชีวิตที่ดีเช่นนี้ นางต้องดีใจมากแน่ๆ”อารมณ์ของนางค่อยๆ สงบลง สมองก็เริ่มกลับมาประมวลผลได้นางมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วพูดว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าเขาเป็นสามีของเจ้า งั้นเจ้าก็คือเฟิ่งชูอิ่งงั้นหรือ”เฟิ่งชูอิ่งมองนางด้วยความไม่เข้าใจแล้วพูดว่า “ตอนที่เจ้าอยู่ข้างกายท่านแม่ข้า ข้าก็เกิดออกมาแล้ว เจ้าไม่รู้จักชื่อข้าหรือ?”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ตอนคุณหนูคลอดเจ้า นางคลอดยากมาก นางใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อคลอดเจ้าออกมา”“คุณหนูบอกว่าตอนเจ้าเกิดมา ทั้งแม่และลูกต่างก็เดินอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตาย นางไม่ได้ต้องการอะไรจากเจ้า ขอแค่เจ้าปลอดภัยและมีสุขภาพแข็งแรงก็พอ”“ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเล่นให้เจ้าว่าผิงอัน ปกติพวกเราจะเรียกเจ้าว่าอันอัน”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกสะเทือนใจ เพราะเรื่องนี้เหมยตงยวนไม่เคยรู้
ฝีมือของเฟิ่งชูอิ่งไม่ได้ร้ายกาจอะไรนัก แต่นางมียันต์มากมายยันต์พวกนี้คือสิ่งที่จิ้งจอกสือซานเหนียงแพ้ทางมากเสียด้วยเมื่อจิ้งจอกสือซานเหนียงสัมผัสตัวนาง ก็เจอยันต์แผ่นหนึ่งปรากฏออกมา ฉีดพ่นน้ำใส่ตาของจิ้งจอกสือซานเหนียงทันทีจิ้งจอกสือซานเหนียงรีบหลบอย่างทุลักทุเล พอแตะอีกทีก็เจอยันต์อสนี ฟาดใส่ร่างจนนางร้องเสียงหลงนางโกรธจัด “เจ้าเป็นใคร? ทำไมมียันต์เยอะขนาดนี้?”เฟิ่งชูอิ่งพูดเสียงต่ำ “ยันต์พวกนี้สร้างมาเพื่อจัดการเจ้าโดยเฉพาะ มีไว้สั่งสอนปีศาจอย่างเจ้า”“กว่าเจ้าจะบำเพ็ญเพียรสำเร็จได้นั้นยากลำบาก แต่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับพวกไสยเวทอย่างเทียนซือ แล้วยังดูดพลังจากผู้ชายอีก”“เจ้าจะเดินไปในทางที่ผิดแบบนี้หรือ? ถ้าท่านแม่ยังอยู่คงจะต้องโกรธเจ้ามากแน่ๆ!”จิ้งจอกสือซานเหนียงได้ยินก็ตกใจเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?”เฟิ่งชูอิ่งไม่พูดอะไร จับนางเหวี่ยงลงพื้นแล้วรัวหมัดใส่ไม่ยั้งจิ้งจอกสือซานเหนียง “……”นางสงสัยว่าเฟิ่งชูอิ่งจงใจพูดแบบนั้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของนาง แล้วค่อยซ้อมนางนางโกรธจัดอยากจะโต้ตอบกลับ แต่เฟิ่งชูอิ่งกลับจุดยันต์ไฟขึ้นมาเมื่อแสงไฟสว่างปรากฏขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงนั้นเฟิ่งชูอิ่งก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ภายในอารามเทียนอี้มีแต่ผู้ชาย หากมีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาได้ แสดงว่าต้องเป็นคนนอกอย่างแน่นอนนางและจิ่งโม่เยี่ยสบตากัน แล้วรีบสาวเท้าตรงไปยังที่มาของเสียงทันทีแต่พวกเขาเพิ่งจะวิ่งได้ไม่ไกล ก็เห็นศิษย์ของอารามเทียนอี้คนหนึ่งวิ่งสวนกลับมาทางพวกเขาทางเดินลับนั้นค่อนข้างแคบ เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากันเกือบจะชนกันอย่างจังจิ่งโม่เยี่ยคว้าไหล่ของศิษย์ผู้นั้นไว้ได้อย่างรวดเร็ว แล้วเหวี่ยงเขาล้มลงกับพื้นชิงหยวนเห็นใบหน้าของชายคนนั้นอย่างชัดเจน และพูดอย่างประหลาดใจว่า "ศิษย์พี่ชิงเหอ ท่านมาทำอะไรที่นี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ"ชิงเหอลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล แล้วเอื้อมมือผลักชิงหยวนไปข้างหลัง ก่อนจะวิ่งต่อไปข้างหน้าอีกครั้งจิ่งโม่เยี่ยคว้าตัวชิงหยวนไว้ ส่วนเฟิ่งชูอิ่งก็ถีบชิงเหอล้มลงกับพื้น เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้มีเจตนาร้าย นางจึงลงมืออย่างเด็ดขาดหลังจากถูกถีบล้ม ชิงเหอยังคงพยายามจะวิ่งหนี เฟิ่งชูอิ่งคว้าผมของเขาไว้ แล้วกระแทกศีรษะของเขาเข้ากับผนังทางเดินลับ จนเขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเสียงหญิงสาวที่แสนจะยั่วยวนดังขึ้นว่า "โอ้ ตรงนี้ม
ตอนที่พวกเขากระโดดแบบกบเมื่อครู่นี้ เฟิ่งชูอิ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าชิงหยวนกระโดดนำไปข้างหน้าหลายครั้ง แต่ก็ถูกเพื่อนร่วมอารามเตะกลับมาข้างหลังนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเป็นคนสุดท้ายที่กระโดดเสร็จชิงหยวนพูดอย่างเขินอายเล็กน้อยว่า "นั่นเป็นเพราะข้าเป็นศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดในอาราม"เฟิ่งชูอิ่งถามว่า "เป็นเพราะเจ้าอายุน้อยที่สุด แต่กลับคิดว่าตัวเองมีวิชาเก่งกล้าที่สุด ก็เลยเอาไปอวดเทียนซือสินะ?”ชิงหยวนตกใจเล็กน้อย "ท่านรู้ได้อย่างไร?"เฟิ่งชูอิ่งพูดอย่างใจเย็นว่า "ข้าคำนวณเอา"จริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้คำนวณไม่ได้หรอก นางเดาเอาจากเนื้อเรื่องในนิยายต้นฉบับนักพรตที่ชื่อชิงหยวนคนนี้ เป็นคนที่จิตใจดีที่สุดในบรรดาคนทั้งหมดที่อยู่รอบตัวจิ่งสือเยี่ยนถึงแม้เขาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นราชครูจากจิ่งสือเยี่ยน เพราะช่วยชีวิตจิ่งสือเยี่ยนไว้ในหนังสือต้นฉบับแต่เขาก็ไม่ได้ยโสโอหังเพราะตำแหน่งที่สูงขึ้นในทางกลับกัน เขายังคงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนโยน และยังเคยห้ามปรามจิ่งสือเยี่ยนไม่ให้ฆ่าคนหลายครั้งแววตาที่ชิงหยวนมองนางนั้นมีความเคารพนับถือมากขึ้น การที่มองออกได้ขนาดนี้นับว่าเก่งก
เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะออกมา “ในเมื่อพวกเจ้ามีความสุขกันขนาดนี้ งั้นก็หัวเราะให้ข้าฟังหน่อยสิ!”นักพรตทั้งหลาย “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!”เฟิ่งชูอิ่ง “......”รอยยิ้มของพวกเขาช่างดูเสแสร้งสิ้นดี ทำเอานางรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเลยแต่ในเมื่อพวกเขาเป็นแบบนี้ นางก็ไม่สามารถฆ่าพวกเขาทิ้งได้นางจึงบอกว่า “ตอนนี้ข้ายังมองไม่เห็นความจริงใจของพวกเจ้า งั้นเอาแบบนี้ดีกว่า พวกเจ้าเอาวัตถุล้ำค่าของอารามออกมา”“ใครเอาของที่มีค่ามากสุดออกมาได้ คนนั้นก็ถือว่าได้สร้างคุณูปการ ข้าจะมอบอารามแห่งนี้ให้เขาดูแล”เจ้าอาวาสพูดขึ้นข้างๆ ว่า “ใครกระโดดกบเสร็จก่อน คนนั้นจะได้สิทธิ์ถวายของมีค่าก่อน พวกเจ้าจงตั้งใจกระโดดให้ดี”เฟิ่งชูอิ่งเหลือบมองเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็ขยิบตาให้นางเขากระซิบเบาๆ ว่า “กับคนพวกนี้ต้องให้ทั้งผลประโยชน์และกดดันไปพร้อมๆ กัน”“ถ้าพวกเขากระโดดไม่เร็วพอ ของที่ติดตัวก็จะร่วงช้า”“ไม่เชื่อก็ดูสิ!”เฟิ่งชูอิ่งหันไปมอง ก็เห็นเหล่าผู้อาวุโสที่กระโดดกบแบบขอไปที รีบกระโดดให้เสร็จอย่างรวดเร็ว แล้วไปหยิบของมีค่ามาสำหรับผู้อาวุโสเหล่านี้ แม้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาจะถูกเจ้าอารามกดขี่ แต่ก็ยังอยากมีชีวิตท
“วันนี้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากอาจารย์ของข้า ใครก็ห้ามลุกขึ้นทั้งนั้น!”พวกนักพรตไม่สนใจเขาเลย พวกเขาต่างเป็นศัตรูกันมาหลายปี ใครบ้างจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน?ผู้อาวุโสที่เป็นหัวหน้าคุกเข่าคำนับเฟิ่งชูอิ่งอย่างนอบน้อม จากนั้นกล่าวว่า “พระชายาทรงเชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับอย่างมาก พวกข้าล้วนนับถือยิ่งนัก”“ก่อนหน้านี้อารามเทียนอี้ถูกคนชั่วหลอกใช้ ทำเรื่องผิดพลาดไปมากมาย”“ตอนนี้พวกข้าสำนึกผิดแล้ว ตัดสินใจกลับตัวกลับใจ ทำความดี แก้ไขความผิดในอดีต ยินดีให้พระชายาสั่งการ”เฟิ่งชูอิ่งมองพวกเขาอย่างสงสัย รู้สึกว่าครั้งนี้พวกเขายอมคุกเข่าง่ายเกินไป น่าจะมีเลศนัยแอบแฝงนางกล่าวว่า “ฟังจากน้ำเสียงของพวกเจ้า ดูเหมือนจะรู้ว่าตัวเองทำผิด อยากกลับตัวกลับใจ”“แต่พวกเจ้าทำเรื่องเลวร้ายมามาก ข้าไม่ไว้ใจพวกเจ้า พวกเจ้าต้องแสดงความจริงใจออกมาก่อน”เหล่าผู้อาวุโสแลกเปลี่ยนสายตากันเล็กน้อย จากนั้นผู้อาวุโสคนเดิมก็ถามว่า “ไม่ทราบว่าพระชายาต้องการให้พวกข้าแสดงความจริงใจอย่างไร?”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มเล็กน้อย “เอาอย่างนี้ พวกเจ้าต่อแถวกัน จากนั้นก็กระโดดกบไปตามโถงระเบียงสามรอบ”เหล่าผู้อาวุโส “......”เหล่
จิ่งสือเยี่ยนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เขาแค่อยากหนีให้พ้นจากตรงนี้แต่เขาคิดจะหนีจากจิ้งจอกสือซานเหนียงที่ไม่รู้ว่าบำเพ็ญเพียรมานานกี่ปี แถมยังผ่านร้อนผ่านหนาวในโลกมนุษย์มาอย่างโชกโชน เห็นทีคงจะเป็นไปไม่ได้นางมองทะลุความคิดและแผนการเล็กๆ น้อยๆ ของเขาได้อย่างง่ายดายยิ่งไปกว่านั้น จิ่งสือเยี่ยนที่ไม่มีอาวุธก็แทบจะสู้แรงของจิ้งจอกสือซานเหนียงไม่ได้เลยตอนนี้เป้าหมายของจิ้งจอกสือซานเหนียงนั้นชัดเจนมาก นั่นคือรักษาอาการบาดเจ็บให้หายโดยเร็ว ฟื้นฟูพลังและไปเอาคืนเหมยตงยวน!ดังนั้นตราบใดที่จิ่งสือเยี่ยนฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อย นางก็จะดูดพลังของเขาจนหมดสิ้นอีกครั้งตอนแรกนางค่อนข้างสนใจความเป็นความตายของเขา แต่หลังจากนั้นนางก็ไม่สนใจเลยหลังจากดูดพลังมังกรของเขาจนหมด เขาก็กลายเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ ที่ไร้ค่าคนหนึ่งและเพราะผู้ชายธรรมดาแบบนี้นางหาได้ง่ายๆ เพียงแค่เดินออกไปก็เจอแล้วเมื่อจิ้งจอกสือซานเหนียงไม่สนใจความเป็นความตายของจิ่งสือเยี่ยน จิ่งสือเยี่ยนก็ได้ลิ้มรสความรู้สึกที่ทุกข์ทรมานอย่างแท้จริงเขารู้สึกถึงกลิ่นอายของความตายอย่างชัดเจนในขณะที่จิ่งสือเยี่ยนกำลังสิ้นหวัง เฟิ่งชูอ