“ในวันอภิเษกสมรส ข้าได้สูญเสียเสด็จย่าผู้ที่ทรงรักและเอ็นดูข้าที่สุดไป”เขาพูดจบก็หันไปมองเจ้าอาวาส “และเกือบจะสูญเสียสตรีผู้เป็นที่รักที่สุดของข้าไปด้วย”“บัดนี้ข้าเหลือเพียงสิ่งที่เรียกว่าอำนาจเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว”“และอำนาจวาสนานี้ก็มิใช่สิ่งที่ข้าปรารถนา แต่เดิมข้าแย่งชิงมาเพื่อนาง”เจ้าอาวาสได้ยินคำพูดของเขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย หันไปมองจิ่งโม่เยี่ย เขามองเห็นความเศร้าโศกที่ลึกซึ้งและความเปราะบางเล็กๆ ในดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยเจ้าอาวาสรู้จักจิ่งโม่เยี่ยมานาน แม้แต่ในสมัยที่จิ่งโม่เยี่ยถูกสาปแช่ง ถูกทรมานจนแทบตาย เขาก็ไม่เคยเห็นความอ่อนแอในดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยมาก่อนในใจของเขา จิ่งโม่เยี่ยเป็นคนเย็นชาไร้ความปรานี ไม่ว่าอะไรก็ไม่อาจโค่นล้มเขาได้แต่จิ่งโม่เยี่ยในเวลานี้กลับทำให้เจ้าอาวาสรู้สึกว่า จิ่งโม่เยี่ยเปราะบางราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อดังนั้นเจ้าอาวาสจึงใจอ่อน ยอมตกลงทันทีเมื่อเขาตอบตกลง จิ่งโม่เยี่ยก็วิเคราะห์ให้เขาฟังว่าจะแฝงตัวเข้าไปในจวนตากอากาศได้อย่างไร หรือแม้กระทั่งหาข้ออ้างให้เขาเรียบร้อยตอนแรกเจ้าอาวาสตกลงด้วยความรู้สึกสงสารแต่ระหว่างทางกลับอาราม เ
จิ่งโม่เยี่ยดูจะใจเย็นกว่าฉินจื๋อเจี้ยนมาก “คนเราโลภมาก พอได้มาแล้วไม่ว่าจะแย่งชิงคนอื่นมาหรือไม่ ก็คิดว่าเป็นของตัวเองอยู่ดี”ฉินจื๋อเจี้ยนถามว่า “ท่านอ๋อง จะทำอย่างไรต่อไป?”ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยลึกซึ้ง “เรื่องนี้ง่ายมาก ให้พวกเขาแสดงฝีมือออกมาให้เต็มที่เสียก่อน ดูว่าพวกเขาจะทำอะไร”ฉินจื๋อเจี้ยนถามว่า “ถ้าอย่างนั้นจะทำให้เราตกที่นั่งลำบากหรือไม่”ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยเย็นชา “ตกที่นั่งลำบาก? แน่นอนว่าไม่ กับคนพวกนี้ วิธีการจัดการนั้นง่ายมาก พวกเราแค่ควบคุมอย่าให้เลยเถิดก็พอ”“ตอนนั้นพวกเขาบีบข้าจนถึงที่สุด ข้าก็อดทนกับพวกเขามาเนิ่นนานแล้ว”“ถ้าพวกเขาอยากตาย ข้าก็จะทำให้สมใจพวกเขาเอง”ฉินจื๋อเจี้ยนได้ยินดังนั้นก็เข้าใจความหมายของเขาในทันทีจิ่งโม่เยี่ยกำลังจะชักกระบี่ในมือออกมาอีกครั้งก่อนหน้านี้หลังจากจิ่งโม่เยี่ยได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แม้ว่าเขาจะฆ่าคนไปบ้าง แต่ก็เป็นขุนนางที่ก่อกบฏเท่านั้น ไม่ได้แตะต้องคนในราชวงศ์ครั้งนี้คนที่แอบทำการอยู่เบื้องหลังเป็นไปได้ว่าจะเป็นคนในราชวงศ์ กระบี่ในมือของจิ่งโม่เยี่ยครั้งนี้จะหันไปยังราชวงศ์และครั้งนี้สภาพจิตใจของจิ่งโม่เยี่ยก็
ฉินจื๋อเจี้ยนกระซิบเบาๆว่า “ท่านอ๋องทรงคิดเช่นนี้ ช่างน่ายินดีเหลือเกิน”จิ่งโม่เยี่ยถอนหายใจเบาๆ “ข้าเพียงหวังว่านางจะปลอดภัย”“ถึงแม้นางจะไม่ยอมพบข้า ก็ไม่เป็นไร”“ขอแค่นางปลอดภัยดีก็เพียงพอแล้ว”ฉินจื๋อเจี้ยนรู้สึกเจ็บปวดใจและรู้สึกหมดหนทางเมื่อได้ยินคำพูดของเขาเรื่องนี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นความผิดของจิ่งโม่เยี่ยที่มีต่อเฟิ่งชูอิ่งตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังมีชีวิตอยู่ สำหรับจิ่งโม่เยี่ยแล้วนับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งเรื่องนี้จิ่งโม่เยี่ยบอกว่าไม่ต้องเตรียมการอะไร แต่ฉินจื๋อเจี้ยนคิดว่าเขาควรจัดการบางอย่างไว้ก่อน เพื่อป้องกันความวุ่นวายในภายหลังขณะที่ฉินจื๋อเจี้ยนไปทำงาน จิ่งโม่เยี่ยก็เคาะโต๊ะเบาๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความลึกซึ้งและเด็ดเดี่ยวจิ่งสือเยี่ยนก็ได้ยินเรื่องป้ายวิญญาณเปื้อนเลือดของบรรพบุรุษเช่นกัน เขาจึงไปหาจิ่งสือเฟิงที่จวนอ๋องเฉินเมื่อเขาไปถึง จิ่งสือเฟิงกำลังนั่งพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ มีหญิงสาวรูปร่างสวยงามกำลังนวดไหล่ให้เขาอยู่ผู้ดูแลเข้ามาแจ้งว่า “ท่านอ๋อง อ๋องจิ้นทรงเสด็จมาแล้ว”จิ่งสือเฟิงลืมตาขึ้นเล็กน้อย “โอ้ น้องห้ามาด้วยหรือ ช่างเป็นแขกที่หายากจริงๆ!”จิ่ง
จิ่งสือเฟิงเชื่อเสมอว่าตนเป็นโอรสที่เกิดจากฮองเฮา จึงเป็นองค์ชายที่สูงศักดิ์ที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมดเขาคิดว่าแผ่นดินนี้ควรเป็นของเขา แม้จะยังไม่ได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท แต่เขาก็ถือหางตนเองเสมอว่าเป็นรัชทายาทเขามองดูถูกองค์ชายอื่นๆ ที่มีมารดาเป็นเพียงสนม คิดว่าพวกเขาเป็นเพียงข้ารับใช้ของเขาครั้งนี้จิ่งสือเยี่ยนแสดงความสามารถเหนือกว่าเขา จึงทำให้เขารู้สึกเสียหน้ามากนั่นเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถยอมรับได้ และเพราะไม่ยอมรับจึงยิ่งรู้สึกแย่เมื่อจิ่งสือเยี่ยนมาหาเขาและพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น เขาจึงระเบิดอารมณ์ออกมาจิ่งสือเยี่ยนกำมือแน่น เขารู้มาตลอดว่าจิ่งสือเฟิงอาศัยฐานะโอรสฮองเฮา จึงทำตัวเย่อหยิ่งได้ แต่ความสามารถกลับธรรมดาและยังคิดว่าตนเองเก่งกาจอีกด้วยก่อนหน้านี้ในบรรดาองค์ชาย จิ่งสือเฟิงเป็นคนที่รังแกเขามากที่สุดเสด็จแม่ของเขาเคยบอกให้เขาอดทน ให้เขาอ่อนข้อให้จิ่งสือเฟิง แต่ในขณะนี้ เขาไม่อยากอ่อนข้ออีกแล้วเขาเงื้อมือตบหน้าจิ่งสือเฟิงคืน “ถ้าข้าจะก่อกบฏจริง เจ้าคงตายไปแล้ว”จิ่งสือเฟิงมองเขาด้วยความไม่เชื่อ “เจ้ากล้าตบหน้าข้า?”จิ่งสือเยี่ยนกล่าวเสียงเย็น “
ในสถานการณ์เช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่เขลาเขาไม่เคยรู้เลยว่าทำไมเขาทำทุกอย่างสำเร็จแล้ว แต่ทุกคนกลับมีท่าทีไม่พอใจเขาจิ่งสือเยี่ยนคิดว่านิสัยของตัวเองก็ค่อนข้างดี เป็นคนมองโลกในแง่ดีแต่ช่วงนี้เขารู้สึกเหมือนจะถึงขั้นพังทลายเขารู้ว่าหลายๆ อย่างทำสำเร็จได้ยาก แต่ไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้เรื่องราวในราชสำนัก ยากกว่าที่เขาคาดไว้มากช่วงนี้จวนสกุลซูก็กดดันเขาหนักมาก เขาเลยรู้สึกว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปหมด มีแต่ทำให้คนรอบข้างไม่พอใจถึงแม้จิ่งสือเยี่ยนจะฉลาด แต่เขาก็ยังเด็กอยู่ ก่อนหน้านี้แม้จะแอบทำอะไรลับๆ บ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ไม่มีประสบการณ์ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเขา ไม่สามารถควบคุมเรื่องเหล่านี้ได้เลยด้วยเหตุนี้ เขาจึงเหนื่อยล้าและเครียดมากในช่วงนี้และในช่วงเวลานี้ เขาเริ่มสงสัยในความสามารถของตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่ง เขาไม่ได้เก่งกาจอย่างที่คิดอุปสรรคขัดขวางมากมาย ความอัดอั้นตันใจและความสิ้นหวังต่างๆ กดทับอารมณ์ของเขาจนถึงขีดสุด จนนำไปสู่การระเบิดอารมณ์ด้านมืดในใจในวันนี้แต่จังหวะที่เขาแสดงอารมณ์นั้นไม่ค่อยดีนัก จิ่งส
ดังที่จิ่งสือเยี่ยนกล่าวไว้ จิ่งโม่เยี่ยเป็นคนที่มีวิธีการโหดร้ายเกินไป เขารับเคราะห์จากจิ่งโม่เยี่ยไปไม่น้อยแล้วเพราะเขาเสียเปรียบจิ่งโม่เยี่ย ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงต้องเตรียมการให้พร้อมที่สุดสาเหตุที่จิ่งโม่เยี่ยสามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็ว ล้วนเกี่ยวข้องกับปู๋เยี่ยโหว ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่เผชิญหน้ากับจิ่งโม่เยี่ยโดยตรงเขาตั้งใจจะใช้ปู๋เยี่ยโหวเป็นตัวทดสอบก่อน เพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขาไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร อย่างน้อยที่สุดก็ต้องกำจัดปู๋เยี่ยโหว ตัดแขนขวาของจิ่งโม่เยี่ยให้ได้!นับตั้งแต่ที่เจ้าอาวาสบุกเข้ามาในจวนตากอากาศโดยไม่ได้ตั้งใจ เฟิ่งชูอิ่งก็รู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นนางตั้งใจจะย้ายออก แต่กลับเป็นไข้สูงในคืนนั้น ครั้งนี้โรคของนางรุนแรงกว่าครั้งไหนๆตกเย็น นางก็หมดสติไปเพราะไข้สูงเฉี่ยวหลิงร้อนใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ถูกเหมยตงยวนใจเย็นกว่าเฉี่ยวหลิงมาก“อย่ามัวอยู่ตรงนี้เลย ไปเปลี่ยนน้ำให้ชูอิ่ง ลดไข้ให้นาง”เฉี่ยวหลิงพยักหน้า ถืออ่างออกไป แล้วก็กลับมาพร้อมน้ำใหม่เฉี่ยวหลิงกังวลใจ “หลังจากคุณหนูใช้วิชาอ
เฉี่ยวหลิงหัวเราะเบาๆ “ข้าไปไหนก็ได้ขอเพียงอยู่ข้างๆ คุณหนูก็พอแล้ว”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเบาๆ แล้วใช้มือบีบจมูกนางเบาๆ “เจ้าก็มิเลวเหมือนกันนะเนี่ย”เฉี่ยวหลิงหัวเราะจนตาเป็นประกาย “ข้าคิดว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตข้าก็คือได้พบกับคุณหนู”“หากไม่ใช่เพราะคุณหนูไปที่กรมราชทัณฑ์ครั้งนั้น ข้าอาจยังคงซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของกรมราชทัณฑ์ก็ได้”เฟิ่งชูอิ่งเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ถ้าจะพูดอย่างนั้น เจ้าก็ต้องไปขอบคุณฮองเฮา”“หากไม่ใช่เพราะนาง ข้าคงไม่มีวันได้ไปที่กรมราชทัณฑ์”สองนายบ่าวต่างส่งยิ้มให้กันเฟิ่งชูอิ่งเหงื่อออกมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ร่างกายของนางยังไม่เหมาะกับการอาบน้ำ เฉี่ยวหลิงจึงต้มน้ำเพื่อเช็ดตัวให้นางขณะนั้นเอง เสียงโกลาหลก็ดังมาจากด้านนอก มีคนกำลังเคาะประตูจวนตากอากาศอย่างรุนแรงเฉี่ยวหลิงมองออกไปด้านนอกด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะจวนตากอากาศหลังนี้เป็นของปู๋เยี่ยโหว ปกติแล้วจะมีผู้ดูแลคอยต้อนรับแขกที่มาเยือนห้องพักด้านหลังที่พวกนางอยู่ ปู๋เยี่ยโหว ได้สั่งไว้เป็นพิเศษ ผู้ดูแลและทหารจะไม่เข้ามาใกล้ก่อนหน้านี้ก็มีคนอื่นมาที่จวนตากอากาศ แต่ผ
ฉินจื๋อเจี้ยนอึ้งไปเลย เขาไม่เคยเห็นจิ่งโม่เยี่ยทำตัวร้อนรนขนาดนี้มาก่อนและเหตุที่เขาได้รับข่าวจากฝั่งนั้นเร็วขนาดนี้ ก็เพราะจิ่งโม่เยี่ยกลัวว่าเฟิ่งชูอิ่งจะเกิดอันตราย จึงส่งคนไปเฝ้าอยู่แถวนั้นเขาตะโกนเรียกจากด้านหลังจิ่งโม่เยี่ยว่า “ท่านอ๋อง ท่านไปคนเดียวแบบนี้มันอันตรายเกินไป!”เขาคิดว่า คนที่บุกไปที่จวนตากอากาศของปู๋เยี่ยโหวนั้น ตั้งใจจะหาเรื่องจิ่งโม่เยี่ยแบบอ้อมๆการที่จิ่งโม่เยี่ยหุนหันออกไปตอนนี้ มันเป็นเรื่องที่อันตรายมาก!ขณะที่เขากำลังจะเรียกหลางซานและทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งไปด้วยนั้น จิ่งโม่เยี่ยก็หยุดลงเสียก่อนฉินจื๋อเจี้ยนรีบวิ่งไปหาเขาแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่านควรพาทหารองครักษ์ไปด้วย”แต่จิ่งโม่เยี่ยกลับถามว่า “ปู๋เยี่ยโหวอยู่ที่ไหน?”ฉินจื๋อเจี้ยนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนตอบว่า “เช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่พาปู๋เยี่ยโหวไปแล้ว”ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยเป็นประกายเล็กน้อย “ไปศาลต้าหลี่”เขารู้ว่า ถ้าเขาไปที่จวนตากอากาศคนเดียว เฟิ่งชูอิ่งอาจจะสั่งให้เหมยตงยวนฆ่าเขาได้และที่นั่นเป็นจวนตากอากาศของปู๋เยี่ยโหว ไม่ใช่จวนตากอากาศของเขา การบุกเข้าไปแบบนั้นไม่เหมาะสมมีเหมยต
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท