เฉี่ยวหลิงหัวเราะเบาๆ “ข้าไปไหนก็ได้ขอเพียงอยู่ข้างๆ คุณหนูก็พอแล้ว”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเบาๆ แล้วใช้มือบีบจมูกนางเบาๆ “เจ้าก็มิเลวเหมือนกันนะเนี่ย”เฉี่ยวหลิงหัวเราะจนตาเป็นประกาย “ข้าคิดว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตข้าก็คือได้พบกับคุณหนู”“หากไม่ใช่เพราะคุณหนูไปที่กรมราชทัณฑ์ครั้งนั้น ข้าอาจยังคงซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของกรมราชทัณฑ์ก็ได้”เฟิ่งชูอิ่งเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ถ้าจะพูดอย่างนั้น เจ้าก็ต้องไปขอบคุณฮองเฮา”“หากไม่ใช่เพราะนาง ข้าคงไม่มีวันได้ไปที่กรมราชทัณฑ์”สองนายบ่าวต่างส่งยิ้มให้กันเฟิ่งชูอิ่งเหงื่อออกมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ร่างกายของนางยังไม่เหมาะกับการอาบน้ำ เฉี่ยวหลิงจึงต้มน้ำเพื่อเช็ดตัวให้นางขณะนั้นเอง เสียงโกลาหลก็ดังมาจากด้านนอก มีคนกำลังเคาะประตูจวนตากอากาศอย่างรุนแรงเฉี่ยวหลิงมองออกไปด้านนอกด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะจวนตากอากาศหลังนี้เป็นของปู๋เยี่ยโหว ปกติแล้วจะมีผู้ดูแลคอยต้อนรับแขกที่มาเยือนห้องพักด้านหลังที่พวกนางอยู่ ปู๋เยี่ยโหว ได้สั่งไว้เป็นพิเศษ ผู้ดูแลและทหารจะไม่เข้ามาใกล้ก่อนหน้านี้ก็มีคนอื่นมาที่จวนตากอากาศ แต่ผ
ฉินจื๋อเจี้ยนอึ้งไปเลย เขาไม่เคยเห็นจิ่งโม่เยี่ยทำตัวร้อนรนขนาดนี้มาก่อนและเหตุที่เขาได้รับข่าวจากฝั่งนั้นเร็วขนาดนี้ ก็เพราะจิ่งโม่เยี่ยกลัวว่าเฟิ่งชูอิ่งจะเกิดอันตราย จึงส่งคนไปเฝ้าอยู่แถวนั้นเขาตะโกนเรียกจากด้านหลังจิ่งโม่เยี่ยว่า “ท่านอ๋อง ท่านไปคนเดียวแบบนี้มันอันตรายเกินไป!”เขาคิดว่า คนที่บุกไปที่จวนตากอากาศของปู๋เยี่ยโหวนั้น ตั้งใจจะหาเรื่องจิ่งโม่เยี่ยแบบอ้อมๆการที่จิ่งโม่เยี่ยหุนหันออกไปตอนนี้ มันเป็นเรื่องที่อันตรายมาก!ขณะที่เขากำลังจะเรียกหลางซานและทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งไปด้วยนั้น จิ่งโม่เยี่ยก็หยุดลงเสียก่อนฉินจื๋อเจี้ยนรีบวิ่งไปหาเขาแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่านควรพาทหารองครักษ์ไปด้วย”แต่จิ่งโม่เยี่ยกลับถามว่า “ปู๋เยี่ยโหวอยู่ที่ไหน?”ฉินจื๋อเจี้ยนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนตอบว่า “เช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่พาปู๋เยี่ยโหวไปแล้ว”ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยเป็นประกายเล็กน้อย “ไปศาลต้าหลี่”เขารู้ว่า ถ้าเขาไปที่จวนตากอากาศคนเดียว เฟิ่งชูอิ่งอาจจะสั่งให้เหมยตงยวนฆ่าเขาได้และที่นั่นเป็นจวนตากอากาศของปู๋เยี่ยโหว ไม่ใช่จวนตากอากาศของเขา การบุกเข้าไปแบบนั้นไม่เหมาะสมมีเหมยต
คิ้วของจิ่งโม่เยี่ยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แล้วก็ได้ยินเสียงของรองหัวหน้าศาลต้าหลี่ที่โกรธจัดดังมาว่า “ท่านปู๋เยี่ยโหว อย่าได้รังแกกันเกินไป!”“ที่นี่คือศาลต้าหลี่ ไม่ใช่จวนของท่าน!”ปู๋เยี่ยโหวหัวเราะเยาะ “ใครมันจะบ้าถึงขั้นคิดว่าที่ศาลต้าหลี่ที่โทรมๆ นี่เป็นจวนตัวเองล่ะ”“ข้าไม่เคยรู้เลยว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนของศาลต้าหลี่อย่างท่าน กลับกล้าตัดสินลงโทษคนโดยไม่มีหลักฐาน”“ด้วยนิสัยสุนัขไม่รับประทานของท่านน่ะ เหมาะสมที่จะเป็นเจ้าหน้าที่สอบสวนแล้วหรือ?”รองหัวหน้าศาลต้าหลี่โกรธจัด “การทำงานของศาลต้าหลี่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะมาชี้นิ้วสั่งการ!”ปู๋เยี่ยโหวหัวเราะเยาะ “ในราชสำนักข้าเป็นถึงขุนนางระดับสูงยศโหว ฐานะสูงส่ง ถึงจะไม่มีสิทธิ์ชี้นิ้วสั่งการอะไรพวกเจ้า แต่ก็ใช้ว่าข้าจะสิ้นไร้ไม้ตอกหรอกนะ”“ตอนนี้ข้ากำลังยืนอยู่ข้างความยุติธรรม กำลังตรวจสอบความเหมาะสมของพวกเจ้าในฐานะเจ้าหน้าที่ด้านการสืบสวนสอบสวน”รองหัวหน้าศาลต้าหลี่โกรธจัด “สุนัขอย่างเจ้าเนี่ยนะ คู่ควรหรืออย่างไร?”ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนรอบคอบและเข้ากับคนได้ดี แต่ตั้งแต่ครั้งที่เขาเชิญปู๋เยี่ยโหวมาที่ศาลต้าหลี่ ปู๋เยี่ยโหวก็สร้
รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ “......”เขาอับจนคำพูดแล้วจริงๆ!วันนี้เขาได้รับคำสั่งจากจิ่งสือเฟิงให้ควบคุมตัวปู๋เยี่ยโหวไว้ที่ศาลต้าหลี่ เพื่อสนับสนุนแผนการของจิ่งสือเฟิงเขาแค่รอให้จิ่งสือเฟิงได้หลักฐานที่ว่ามา แล้วก็จะส่งปู๋เยี่ยโหวเข้าคุกทันทีรองหัวหน้าศาลต้าหลี่เตรียมการมาอย่างพร้อมสรรพ สำหรับแผนการในวันนี้เขาต้องการใช้โอกาสนี้กำจัดปู๋เยี่ยโหวตัวแสบนี้ให้สิ้นซากแต่กลับพลาดท่าให้กับปู๋เยี่ยโหวที่แอบเข้าไปในห้องเก็บสำนวนคดี และเจอคดีที่มีปัญหาอยู่คดีหนึ่งคดีนั้นเกี่ยวข้องกับบิดาของปู๋เยี่ยโหว และปู๋เยี่ยโหวก็กำลังสืบสวนเรื่องนี้อยู่ด้วย เขาจึงชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดในหลักฐานได้ทันทีถ้าวันนี้รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ไม่ได้เป็นคนเชิญปู๋เยี่ยโหวมาเอง เขาอาจจะสงสัยว่าปู๋เยี่ยโหวตั้งใจมาสืบคดีก็ได้หลังจากเกิดเรื่องขึ้น รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ก็พยายามปลอบประโลมด้วยคำพูดอ้อมค้อมแบบที่ใช้กันในราชสำนักแล้วรองหัวหน้าศาลต้าหลี่ก็ได้เห็นอีกด้านหนึ่งของปู๋เยี่ยโหวที่ปกติดูเหมือนคนไร้สติ เขาโต้แย้งคำพูดของรองหัวหน้าศาลต้าหลี่ทั้งหมดได้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันเมื่อเห็นว่าเรื่องมันชักจะบานปลาย รองหัวหน้
“ถ้าหากเจ้าเหนื่อยล้าเกินไปจนล้มป่วยหรือถึงแก่ความตายขณะจัดการเรื่องนี้ ก็คงเป็นความผิดของข้า”“ฉะนั้นข้าจึงตัดสินใจว่าจะไม่รบกวนเจ้าให้ทำเรื่องเหนื่อยยากเหล่านี้แล้ว ให้ฉินจื่อเจี้ยนจัดการเองก็แล้วกัน”หัวหน้าศาลต้าหลี่ “.......”เขาพูดอะไรไม่ออก และไม่สามารถขัดขวางได้อีกต่อไปจิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจเขาอีก เพียงยกมือขึ้น ฉินจื่อเจี้ยนก็พาคนมานำรองหัวหน้าศาลต้าหลี่ออกไปทันทีเมื่อพวกเขาจากไป บรรยากาศภายในศาลต้าหลี่ก็แปลกประหลาดขึ้นมาในมุมมองหนึ่ง รองหัวหน้าศาลต้าหลี่เป็นผู้มีอำนาจจริง ๆ ของศาลต้าหลี่ทั้งหมดเมื่อเขาถูกนำตัวไป ศาลต้าหลี่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหัวหน้าศาลต้าหลี่เอามือลูบเคราสีขาว สั่งทหารที่อยู่ข้างกายเสียงเคร่งเครียดว่า “ไปแจ้งให้ท่านอ๋องเฉินทราบ”ทหารรับคำสั่งแล้วรีบออกไปคิ้วของหัวหน้าศาลต้าหลี่ขมวดเล็กน้อย สถานการณ์ในวันนี้ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดไว้วันนี้จิ่งสือเฟิงคิดจะลงดาบกับจิ่งโม่เยี่ย แต่จิ่งโม่เยี่ยก็ใช้กระบี่ฟันใส่ศาลต้าหลี่เช่นกันหัวหน้าศาลต้าหลี่คิดว่ารองหัวหน้าศาลต้าหลี่ประมาทเกินไป จึงสร้างช่องโหว่เช่นนี้ให้ปู๋เยี่ยโหวเอามาเล่นงานได้เรื่องนี้คง
ความสามารถในกสนต่อสู้ของเหมยตงยวนสูงเกินไป ทหารกลุ่มนี้ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลยเขาฆ่าคนที่พยายามบุกเข้ามาในจวนหลังนั้นราวกับกำลังเชือดผักเชือดปลาหากไม่ใช่เพราะเฟิ่งชูอิ่งไม่อยากให้เขาฆ่าคนมากเกินไป ตอนนี้เขาคงฆ่าคนในจวนหลังนั้นจนหมดแล้วตอนนี้เขาเห็นทหารถือธนูและลูกธนู เขาก็อดคิดถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อหลายปีก่อนไม่ได้ตอนนั้นเขาพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อพาแม่ของเฟิ่งชูอิ่งหนีออกจากลานประหารของแคว้นซีฉู่ สถานการณ์ก็คล้ายๆ กันกับตอนนี้บรรยากาศแห่งความตายแผ่กระจายไปทั่ว เขาคิดว่าหลังจากผ่านมาหลายปีแล้ว เขาคงลืมเหตุการณ์ตอนนั้นไปแล้วแต่สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันในตอนนี้กลับดึงความทรงจำของเขากลับไปยังหลายปีก่อนได้ในทันทีจนถึงตอนนี้เขายังจำได้อย่างชัดเจนถึงดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจสุดขีดของนาง เมื่อเขาช่วยนางจากกองไฟแล้วอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนเพราะสายตาครั้งนั้นทำให้เขารู้ถึงความรักอันแรงกล้าของนางที่มีต่อเขาที่นั่นเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความตาย แต่กลับทำให้ใจเขาเบิกบานในขณะนั้น เขาไม่ได้คิดถึงสำนักของเขา ไม่ได้คิดถึงอนาคตของพวกเขา เขาคิดเพียงแค่ว่าอยากอยู่กับนางแม้
“หาโอกาสพาข้าเข้าไปใกล้เขา ข้าจะลองใช้ยันต์สะกดอารมณ์ด้านลบของเขา”นางไม่รู้ว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ แต่ก็ต้องลองดูเมื่อวิญญาณร้ายคลุ้มคลั่งและเสียสติไปแล้ว ย่อมฆ่าคนทุกคนที่พบเห็นเหมยตงยวนกับเฉี่ยวหลิงแตกต่างกัน เขาเปื้อนเลือดมากมายจากการฆ่าฟัน ดังนั้นเมื่อเขาลงมือฆ่าคน เฟิ่งชูอิ่งจึงไม่ได้ห้ามปรามเหมยตงยวนแตกต่างจากวิญญาณร้ายทุกตนที่เฟิ่งชูอิ่งเคยพบเห็น นางคิดว่าเขาจะไม่คลุ้มคลั่งและยังคงสติเอาไว้ได้แต่ครั้งนี้เขากลับทำให้นางตกใจอย่างมากเฉี่ยวหลิงรับคำแล้วพานางเดินไปข้างหน้าแต่ลูกธนูที่ยิงใส่พวกนางยังคงมีอยู่มากมาย และเหมยตงยวนก็ยังคงฆ่าคนและเคลื่อนที่ไปมาอยู่ตลอดเวลา พวกนางจึงเข้าใกล้เขาไม่ได้ยิ่งไปกว่านั้น ศพบนพื้นก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าเก้าอี้ล้อเลื่อนของเฟิ่งชูอิ่งจะเลี่ยงหรือหลบอย่างไร ก็หลีกเลี่ยงศพเหล่านั้นไม่ได้เฟิ่งชูอิ่งเพิ่งหายไข้เมื่อวันนี้ ร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ความใจร้อนทำให้นางมึนหัวทหารเหล่านั้นคิดว่าพวกเขาจะฆ่าคนในเรือนหลังนี้ได้สำเร็จ และภารกิจที่ได้รับมอบหมายจะง่ายดายแต่ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดกลับต้องอึ้งสนิทพวกเขาไม่เคยคิดมา
เฉี่ยวหลิงก็เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน จึงพยายามพาเฟิ่งชูอิ่งไปใกล้ๆ เหมยตงยวนแต่พวกนางลองหลายครั้งแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่สำเร็จ กลับทำให้เหมยตงยวนโกรธมากขึ้นกว่าเดิมเขาไม่ได้ฆ่าทหารเหล่านั้นอีกแล้ว กลับวิ่งเข้ามาหาพวกนางด้วยความบ้าคลั่งเฉี่ยวหลิงเดิมทีก็ไม่สามารถสู้กับเหมยตงยวนอยู่แล้ว ตอนนี้ยังต้องแบกเฟิ่งชูอิ่งอีก ทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงถูกเหมยตงยวนโจมตีถอยร่นไปเรื่อยๆในขณะนี้ เหมยตงยวนถูกจิตสังหารควบคุมอยู่ เขาไม่สามารถฆ่าเฉี่ยวหลิงและเฟิ่งชูอิ่งได้หลายครั้ง ความโกรธของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นการโจมตีของเขาแรงกว่าก่อนหน้านี้มาก กระแสลมจากกระบี่ทำให้เฉี่ยวหลิงถูกพัดกระเด็นออกไป ขณะที่เฟิ่งชูอิ่งที่อยู่บนหลังของเฉี่ยวหลิงก็ไม่สามารถกอดนางได้แน่นตัวนางจึงถูกซัดกระเด็นออกไปเช่นกันบาดแผลที่ขาของนางยังไม่หายดี ถ้าตกลงไปแบบนี้ นอกจากจะทำให้บาดแผลที่ขาแย่ลงแล้ว ยังอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บอื่นๆ ตามมาด้วยในขณะนี้ เฉี่ยวหลิกำลังถูกเหมยตงยวนโจมตี จึงไม่มีทางที่จะช่วยนางได้นางรู้สึกอับจนหนทาง ได้แต่หลับตาลงเพื่อรอรับแรงกระแทกและบาดแผลที่จะตามมาแต่นางกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ตกลงไปที่พื้น
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท