เขาจะฆ่านางดี? หรือว่าไม่ฆ่านางดีล่ะ?ด้วยนิสัยของเขา หากถูกคนโกหกซ้ำๆ เช่นนี้ เขาจะต้องใช้จัดการทิ้งในพริบตาเดียวแน่นอนแต่นางเป็นคนที่เชี่ยวชาญวิชาสำนักลี้ลับมากที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอในปัจจุบัน มีโอกาสแก้คำสาปของเขาได้มากที่สุด เฟิ่งชูอิ่งเห็นนัยน์ตาของเขาสีเข้มขึ้น จิตสังหารที่ปรากฏเริ่มเลือนหายไป ทว่าพริบตาถัดมาก็โผล่มาอีกครั้งเขาช่างยุ่งเหยิงเสียจริงๆ!แล้วก็น่ากลัวมากด้วย!ทว่าตอนนั้นเอง นกฝูงหนึ่งก็บินผ่านศีรษะของพวกเขาไปสีหน้าของจิ่งโม่เยี่ยแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะยกกระบี่ขึ้นบังศีรษะตัวเองเฟิ่งชูอิ่งมองเห็นนกตัวหนึ่งในฝูงขยับก้นของมันเล็กน้อย จากนั้นวัตถุบางอย่างก็ตกลงมาจากท้องฟ้า หล่นแหมะลงบนศีรษะของจิ่งโม่เยี่ยอย่างแม่นยำกระบี่ที่เขายกขึ้นขวางเหนือศีรษะช่วยป้องกันวัตถุปริศนาที่หล่นลงมาได้พอดีตอนที่เฟิ่งชูอิ่งเห็นสิ่งที่แปะอยู่บนกระบี่ของจิ่งโม่เยี่ยชัดๆ มุมปากของนางก็กระตุกยิกๆ โชคชะตาเขาถูกสูบจนหมดสิ้นแล้ว!จิ่งโม่เยี่ยปรายตามองมาทางนาง นางจึงรีบซ่อนรอยยิ้มมุมปากของตัวเองทันที แล้วยังสบถด่าอีกว่า “เจ้านกบ้านี่ตาบอดหรืออย่างไร!”ทว่าในใจนางกลับบอกว่า ‘เจ้านกน้อยสุ
“แล้วท่านอ๋องยังระวังตัวขนาดนี้อีก แปลว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องดวงซวยธรรมดา น่าจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสกว่านั้น”นางกล่าวถึงตรงนี้ก็ส่งยิ้มให้เขา “ท่านอ๋อง ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”จิ่งโม่เยี่ยมองสบตานาง “เจ้าคาดเดาเก่งแบบนี้ อยากจะลองเดาดูไหมว่าตัวเองจะตายอย่างไร?”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะคิกคัก “ข้าเฉลียวฉลาดขนาดนี้ ท่านอ๋องจะตัดใจสังหารข้าลงจริงๆ หรือ?“ข้าไม่ได้โม้นะ บนโลกใบนี้นอกจากข้าแล้ว อาจจะไม่มีใครสามารถช่วยเหลือท่านอ๋องได้อีกแล้ว”ตอนที่จิ่งโม่เยี่ยนอนกอดนางแล้วหลับไป นางก็เริ่มคิดถึงต้นสายปลายเหตุแล้วในเมื่อเขาไม่สนใจเรือนร่างของนางอย่างชัดเจน แต่ก็ยังจะนอนกอดนางให้ได้ ก่อนหน้านี้นางยังไม่เข้าใจนัก แต่ยามนี้นางกระจ่างแจ้งแล้วจะต้องเป็นเพราะคาถาสงบจิตของนางใช้ได้ผลกับเขาอย่างแน่นอนเมื่อก่อนนางไม่รู้ว่าตัวเองยังมีค่ากับเขาอยู่ ถึงได้กลัวเขาจะเป็นบ้าลุกขึ้นมาเอาดาบฟันนางแต่หลังจากนางทราบความสำคัญของตัวเอง นางก็รู้สึกเหมือนได้สลัดคราบของบ่าวรับใช้ทิ้งไปในพริบตา และไม่รู้สึกหวาดกลัวเขาอีกต่อไปจิ่งโม่เยี่ยคล้ายจะมองความคิดของนางออก นัยน์ตาดอกท้อจึงโค้งลงเล็กน้อย “ข้าคิดเสมอมาว่าการ
ก่อนเฟิ่งชูอิ่งจะทะลุมิติมา น้องสาวของนางเคยบอกว่าจิ่งโม่เยี่ยทำตัวเป็นศัตรูกับพระเอก เพราะว่าเขาหลงรักนางเอกของเรื่อง ก็เลยเป็นบ้าอาละวาดเพราะนางเอกจิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งชอบพูดจาไร้สาระเป็นเรื่องปกติ จึงคิดว่าคำพูดที่ออกจากปากของนางไม่ควรเก็บมาใส่ใจ นางก็แค่พยายามประจบเอาใจเขาเท่านั้นสำหรับเขาแล้ว สตรีที่สามารถทำให้เขาจดจำได้ นอกจากมารดาของเขาแล้ว ก็มีแต่นางนี่แหละคนในดวงใจอะไรนั่น มันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้วเขาจับประเด็นสำคัญได้หนึ่งอย่าง “แกล้งตาย?”เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับ “ใช่เพคะ อย่างไรเสียว่าที่พระชายาของท่านอ๋องก็ตายไปตั้งเยอะแล้ว เพิ่มข้าอีกสักคนจะเป็นไรไป“หลังจากข้าแกล้งตายและออกจากเมืองหลวงแล้ว จะต้องอยู่ให้ห่างจากท่านอ๋องที่สุด หลังจากนี้ไปจะไม่โผล่มาให้เห็นหน้าหรือทำให้อารมณ์ของท่านอ๋องขุ่นมัว”สีหน้าของจิ่งโม่เยี่ยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดใดทั้งนั้น เขาถามว่า “เจ้าตั้งใจจะแกล้งตายแล้วหนีออกจากเมืองตอนไหนล่ะ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ท่านลุงของข้าฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังเป็นเด็กไม่รู้ความ ฮุบสมบัติที่บิดามารดาของข้าทิ้งไว้ให้ไปหมดเลย“หลังจากข้าทวงสมบัติทั้งหมดของข้าคืนจากจวนสกุลหลินได
นางเหลือบไปเห็นเนินดินที่มีร่องรอยถูกขุด เมื่อกี้นี้ยังไม่มีรอยพวกนี้เลยนะก่อนหน้านี้นางแค่เดินไปล้างกระบี่ที่ลำธารใกล้ๆ มันใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่เองแล้วนางยังไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอะไรเลย คนของจิ่งโม่เยี่ยกลับขุดหลุมฝังพวกชายฉกรรจ์หมดแล้ว?ที่สำคัญ นางแทบไม่รู้ไม่เห็นเลยว่าคนของจิ่งโม่เยี่ยลงมือตอนไหน!จิ่งโม่เยี่ยเห็นสายตาตื่นตระหนกของนางจึงแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ “ทำไมล่ะ? เจ้าเองก็อยากลองถูกฝังทั้งเป็นดูบ้างหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งส่ายหน้ารัวๆ “ขอบพระทัย แต่ไม่อยากลองเพคะ!”หากคนอื่นเป็นคนพูดก็คงคิดว่าแค่หยอกเย้านางเล่นเท่านั้น แต่หากเขาเป็นคนพูดต้องทำจริงแน่!จิ่งโม่เยี่ยใช้หางตาเหลือบมองนางแล้วกล่าวว่า “ไม่อยากลองก็ตามมา”เฟิ่งชูอิ่งรีบกอดกระบี่แล้ววิ่งตามเขาไปอย่างว่องไว นางไม่อยากถูกฝังทั้งเป็นอยู่ที่นี่หรอกตอนที่นางเดินผ่านสารถีแซ่หลิว ก็ขยับมือสร้างมุทราคราหนึ่ง เขาก็หยุดยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ราวกับคนเหม่อลอยทันทีจิ่งโม่เยี่ยเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจสาเหตุที่เขากลบฝังพวกชายฉกรรจ์ทั้งหมดนั่นทั้งเป็น เพราะว่าเขารังเกียจเดียดฉันท์การกระทำต่ำช
นางกล่าวถึงตรงนี้ก็ระแวดระวังทันที “ยันต์ที่ข้าใช้กับชายฉกรรจ์พวกนั้นเป็นยันต์ตรึงกายา แต่ยันต์ที่ท่านอ๋องใช้กับเจ้าอาวาสเป็นยันต์อสนีบาตเพคะ”ตอนนี้นางรู้สึกดีใจอยู่อย่างหนึ่ง ถึงแม้ร่างกายนี้จะเหมาะสมกับการเรียนวิชาเต๋ามาก แต่อย่างไรเสียก็ยังมีเวลาเรียนจำกัดอยู่ นางจึงยังเขียนยันต์ปัญจอสนีไม่ได้ เขียนได้เพียงยันต์อสนีบาตธรรมดาหากเมื่อครู่นี้เจ้าอาวาสโดนแปะยันต์ปัญจอสนี เกรงว่าเขาจะถูกสายฟ้าฟาดจนกลับไปยังปรโลกแล้วจิ่งโม่เยี่ยยื่นมือไปประคองเจ้าอาวาสแล้วถามนาง “ทำไมเจ้าถึงเอายันต์อสนีบาตให้ข้าล่ะ?”จิ่งโม่เยี่ยตอบด้วยใบหน้าใสซื่อ “ท่านอ๋องบอกให้ข้าส่งยันต์ให้หนึ่งแผ่น ไม่ได้เจาะจงนี่เพคะว่าเป็นยันต์อะไร“ข้าก็เลยล้วงหยิบแบบส่งเดช ยันต์อสนีบาตดันอยู่บนสุด ข้าก็เลยส่งยันต์แผ่นนั้นให้ท่านอ๋องไป“ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าท่านอ๋องจะเอาไปใช้แปะศีรษะของเจ้าอาวาสเช่นนั้น!”จิ่งโม่เยี่ยถลึงตาโตจ้องมองเฟิ่งชูอิ่ง นางก็เลยถลึงตาโตจ้องเขากลับไปเจ้าอาวาสถูกฟ้าผ่าจนสติสัมปชัญญะหลุดลอย หลังได้ยินบทสนทนาของพวกเขาทั้งสองก็รู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมาจับใจ ตัวเองไม่เกี่ยวข้องอะไรแท้ๆ ดันต้องรับกรรมเสียอย
ยันต์ที่เฟิ่งชูอิ่งเขียนออกมา จะต้องเป็นยันต์ระดับสูงสุดที่เขาเคยพบเจอมาแน่ๆเขาจ้องมองเฟิ่งชูอิ่งตาค้าง ถามนางว่า “ยันต์ใบนี้ยกให้ข้าได้ไหม?”เฟิ่งชูอิ่งนึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนนางถูกเขาเอาทรัพย์สินเงินทองส่วนหนึ่งไป จึงถามกลับว่า “เจ้ายินดีจ่ายเงินซื้อไหม?”เจ้าอาวาส “......”ดวงตากลมโตประสานกับดวงตาเรียวเล็กเจ้าอาวาสถาม “เจ้าคิดเงินเท่าไหร่?”เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับ “หนึ่งร้อยตำลึงคงไม่มากไปสินะ?”เจ้าอาวาสรีบหันไปสั่งพระที่อยู่ด้านหลัง “ไปหยิบเงินมาหนึ่งพันตำลึง”หลังจากนำเงินมาแล้วก็กล่าวกับเฟิ่งชูอิ่งอย่างยิ้มแย้ม “หนึ่งพันตำลึงเงิน เจ้าช่วยเขียนยันต์ให้ข้าอีกเก้าแผ่นได้ไหม?”เฟิ่งชูอิ่ง “......”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาใช้เท้าเตะเจ้าอาวาสหนึ่งที “ข้ามาหาเจ้าเพื่อให้ช่วยกันหาทางแก้คำสาป ไม่ได้ให้พวกเจ้ามาซื้อขายยันต์กัน”เจ้าอาวาสรีบเอ่ยว่า “เรื่องคำสาปเดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้ข้าจะซื้อยันต์ก่อน เจ้าไม่รู้หรอกว่ายันต์พวกนี้มันหายากขนาดไหน!”เขาก็เขียนยันต์ได้เหมือนกัน แต่โอกาสสำเร็จมีไม่มากนัก อีกอย่างเขาก็ถนัดพวกยันต์คุ้มครองด้วยยันต์ที่ใช้โจมตีแบบนี้เป็นของที่หายากมาก ยันต์ป
ต่อให้เป็นจิ่งโม่เยี่ย ก็ยังคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวมันจะดำเนินมาทางนี้ได้เขาเอ่ยหน้ามืดครึ้ม “พวกเจ้าคุยกันจบหรือยัง?”เจ้าอาวาสตอบอย่างมีความสุข “คุยจบแล้ว คุยจบแล้ว ทีนี้พวกเราจะปรึกษากันเรื่องคำสาปของท่านอ๋องแล้ว”จิ่งโม่เยี่ยมองท่าทางระริกระรี้ของเขาแล้วรู้สึกอยากจะถีบให้กระเด็นเหลือเกินเจ้าอาวาสเห็นเขาสีหน้าไม่สู้ดีนัก จึงตระหนักได้ว่าวันนี้ตัวเองเผลอลืมตัวไปหน่อยเขาจึงกระแอมไอแล้วบอกกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “คำสาปของท่านอ๋องร้ายแรงมากเลยล่ะ“ขนาดท่านอ๋องเองยังไม่รู้ตัวเลยว่าโดนคำสาปตั้งแต่ตอนไหน และใครเป็นคนลงมือสาปแช่งเขา“คำสาปนี้โหดเหี้ยมอย่างมาก นอกจากจะช่วงชิงชีวิตคนเดียว ยังทำให้โชคชะตาของคนผู้นั้นถูกช่วงชิงไปตลอดเวลาด้วย“อีกทั้งคำสาปชนิดนี้ยังจะสลักความหวาดกลัวและความปรารถนาลงในจิตใจคน ทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นพวกโหดเหี้ยมป่าเถื่อน ไม่มีทางนอนหลับได้ หากหลับก็ต้องเผชิญหน้ากับฝันร้าย”ก่อนหน้านี้เฟิ่งชูอิ่งเคยสังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาของจิ่งโม่เยี่ย จึงเดาว่าเขาน่าจะมีปัญหากับการนอนหลับ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการที่เขาหลับยากขนาดนี้จะเป็นผลจากคำสาปนางเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นท่านอ๋องรู้ตัวตอน
เจ้าอาวาสรีบถามว่า “แล้วคำสาปชนิดนี้เจ้าแก้ไขได้ไหม?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “หากคิดจะแก้คำสาป ก็ต้องหาของต้องสาปให้เจอก่อน ขอแค่ทำลายของต้องสาปชิ้นนั้นได้ก็พอแล้ว”เจ้าอาวาสถามต่อ “แล้วเจ้าพอจะมีวิธีหาของต้องสาปชิ้นนั้นไหม?”เฟิ่งชูอิ่งครุ่นคิดสักพัก “หากไปค้นหาตรงๆ ก็คงไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร ไม่มีทางหาเจอแน่นอน“ท่านอ๋อง ท่านพอจะมีคนที่สงสัยอยู่บ้างไหม?”จิ่งโม่เยี่ยตอบเสียงเฉยชา “ในเมืองหลวงแห่งนี้ คนที่อยากจะฆ่าข้ามีเยอะจนนับไม่ถูกเชียวล่ะ“ส่วนคนที่ข้าสงสัย ก่อนหน้านี้เคยลองตรวจสอบดูแล้ว อีกฝ่ายเก็บซ่อนได้มิดชิดมาก ก็เลยไม่มีอะไรคืบหน้าเลย”เฟิ่งชูอิ่งไม่คิดสงสัยความสามารถของเขาสักนิด หากเขานำกำลังพลออกตามหา การจะใช้คำว่าพลิกแผ่นดินหาก็ไม่เกินจริงเลยหากหาขนาดนั้นก็ยังหาไม่เจอ ก็แปลว่ากำลังมุ่งเป้าไปผิดทาง หรือไม่ก็อีกฝ่ายเตรียมการป้องกันมาอย่างดีแต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็เป็นเรื่องที่ตึงมือทั้งนั้นเจ้าอาวาสถอนหายใจยาวเหยียด “ตั้งแต่พบว่าท่านอ๋องถูกคำสาปก็ผ่านมาห้าปีแล้ว“หากเป็นสถานการณ์ปกติ คนทั่วไปที่ถูกคำสาปเช่นนี้กัดกิน เกรงว่าคงจะมีชีวิตอยู่ได้นานสุดแค่สามปี โชคชะตาก็ถูกสูบจน
พอทหารองครักษ์คนนั้นพูดจบ หมอกขาวก็ยิ่งรวมตัวกันรวดเร็วยิ่งขึ้นจิ่งโม่เยี่ยขมวดคิ้ว เพราะเขารู้ว่าคำพูดของทหารองครักษ์เป็นความจริงเขาจ้องมองหมอกที่หนาขึ้นเรื่อยๆ อย่างเย็นชา ร่างกายนิ่งสงบเหมือนภูเขาหมอกขาวกลืนกินทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ เขา ทำให้ทุกคนหายวับไปโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องโวยวายหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยอยู่กับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับวิชาของพวกศาสตร์ลี้ลับทั้งหลายในความคิดของเขา แม้ว่านี่จะไม่ใช่วิชาของสำนักลี้ลับ แต่มันก็อาจจะคล้ายคลึงกันหลายส่วนเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังมาจากรอบๆ ผู้ชายทั่วไปได้ยินแล้วคงเผลอหลงใหล แต่เขาฟังแล้วรู้สึกรำคาญ เพราะนั่นไม่ใช่เสียงของเฟิ่งชูอิ่งในใจของจิ่งโม่เยี่ย ผู้หญิงในโลกนี้แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือเฟิ่งชูอิ่ง และอีกประเภทหนึ่งคือผู้หญิงคนอื่นเขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อทำให้เฟิ่งชูอิ่งยอมตกลงปลงใจแต่งงานกับเขาตอนนี้ดันมีปีศาจที่ไหนไม่รู้มาเกี้ยวพาเขาแบบนี้ ถ้าเฟิ่งชูอิ่งรู้เรื่องนี้เข้า คงจะต้องโกรธมากแน่ๆจิ่งโม่เยี่ยมองไม่เห็นอะไรเลยในม่านหมอกหนา เขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาพับแล้วมัดปิดตาตัวเองพริบตา
พลังหยาง พลังมังกรและโชคชะตาอันยิ่งใหญ่นางต้องการ นางต้องได้ทั้งหมดนั่นมาครอง!ตอนแรกจิ่งสือเยี่ยนโดนวิชาของเฟิ่งชูอิ่งเล่นงานจนอาการย่ำแย่อยู่แล้ว มาตอนนี้ยังถูกจิ้งจอกสือซานเหนียงสูบพลังอีก ทำให้โชคชะตาของเขาลดฮวบลงอย่างรวดเร็วพลังมังกรสามารถคุ้มครองป้องกันร่างกาย ไม่ให้ปีศาจเข้ามาใกล้ได้แต่ตราบใดที่ปีศาจไม่มีจิตสังหาร พลังมังกรก็จะไม่สนใจและปล่อยผ่านไปจิ่งสือเยี่ยนโดนจิ้งจอกสือซานเหนียงเล่นงานจนเกือบหมดแรงนอนเหี่ยวแห้งตายแต่จิ้งจอกสือซานเหนียงเหมือนจะยังไม่ค่อยพอใจ "เจ้าดูเหมือนจะร้ายกาจ แต่กลับได้แค่นี้เอง?"จิ่งสือเยี่ยน “......”จิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!”เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะถูกผู้หญิงดูถูกเรื่องความสามารถทางด้านนั้น!เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า "ตอนนี้เจ้าคงสาสมใจแล้ว ปล่อยข้าไปได้หรือยัง?"เขาร้อนใจอย่างมาก หากยังไม่รีบไปตอนนี้อีก เกรงว่าจะถูกจิ่งโม่เยี่ยตามมาทันจิ้งจอกสือซานเหนียงตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า "ข้าเคยบอกตอนไหนว่าทำครั้งเดียวแล้วจะปล่อยเจ้าไป?"จิ่งสือเยี่ยนเบิกตากว้างจ้องมองนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธขึ้งเขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขา
ถ้าจะพูดถึงเรื่องที่จิ้งจอกสือซานเหนียงพลาดท่าเสียทีในการยั่วยวนผู้ชายตลอดหลายปีมานี้ ก็คงเป็นตอนที่นางได้เจอกับปู๋เยี่ยโหว และเป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นทันทีที่สบตากับจิ่งสือเยี่ยน นางก็มั่นใจได้ทันทีว่า ถึงผู้ชายคนนี้จะไม่ใช่พวกหื่นกามจนขึ้นสมอง แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนเจ้าชู้อยู่บ้างไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่มองตาเขาก็รู้แล้วจิ้งจอกสือซานเหนียงหัวเราะคิกคัก นางเอื้อมมือไปคล้องคอเขา “ค่ำคืนนี้ช่างวิเศษจริงๆ”จิ่งสือเยี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็แทงกระบี่เข้าใส่จิ้งจอกสือซานเหนียงแบบไม่บอกกล่าวแต่การโจมตีของเขากลับพลาดเป้า สาวงามในอ้อมแขนก็หายวับไปในทันทีสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลาดการโจมตีครั้งแรก การจะลงมือครั้งต่อไปย่อมยากขึ้นจิ้งจอกสือซานเหนียงหัวเราะเยาะ “ข้าว่าแล้วเชียว ผู้ชายที่ยิ้มหน้าระรื่นได้แบบเจ้าไม่ใช่คนดีอะไรเลย”“ปากก็พูดจาไพเราะอ่อนหวาน แต่การกระทำกลับโหดเหี้ยมสิ้นดี!”“กับผู้ชายแบบนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ!”ทันทีที่นางพูดจบ จิ่งสือเยี่ยนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างพันอยู่ที่ขา ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง สิ่งนั้นก็ลากเขาลงไปกองกับพื
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่รู้สึกได้ว่าการหนีออกจากเมืองหลวงในวันนี้ เรียกได้ว่าทุกอย่างเต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวางต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เขาก็ยิ่งไม่รู้เลยจิ่งสือเยี่ยนมีวรยุทธ์ไม่เลว ไม่ขาดแคลนทั้งความกล้าหาญและกลยุทธ์แต่ในขณะนี้ หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บราวกับน้ำแข็งเกาะ มีบางสิ่งกำลังหลุดออกจากการควบคุมจิ่งสือเยี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชักกระบี่ออกมา ตะโกนเสียงดังว่า “ใครกำลังเล่นตลกอยู่?”ก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อเรื่องผีสาง แต่หลังจากได้รู้จักกับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็เริ่มเชื่ออีกครั้งเฟิ่งชูอิ่งเป็นคนที่มีวิชาอาคมสูงส่งที่สุด เท่าที่เขาเคยพบเห็นมาปฏิกิริยาแรกของเขาคือคนที่ซุ่มโจมตีเขาในวันนี้ อาจเป็นเฟิ่งชูอิ่งก็ได้ แต่ไม่นานเขาก็ปัดความคิดนี้ทิ้งเพราะถ้าเฟิ่งชูอิ่งลงมือจริง นางจะให้วิญญาณร้ายที่อยู่ข้างกายนางจัดการโดยตรง จะไม่ปิดบังอำพรางเช่นนี้จิ่งสือเยี่ยนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เขาคิดว่าเขาอาจจะถูกสิ่งสกปรกบางอย่างตามรังควานจิ่งสือเยี่ยนพูดเสียงดังว่า “เจ้าต้องการอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้”เสียงที่ตอบกล
จิ่งสือเยี่ยนคิดว่าการเดินทางผ่านหมู่บ้านอาจเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก จึงเลือกที่จะเดินทางผ่านป่าแทนแต่แล้วม้าของเขาก็ติดกับดักอีกครั้ง ครั้งนี้ม้าเกิดอาการตื่นตระหนกม้าที่เขาเพิ่งเปลี่ยนมาจากองครักษ์นั้นดีดดิ้นเหมือนกำลังคุ้มคลั่ง จนเขากระเด็นตกจากหลังม้าครั้งนี้เขาไม่โชคดีเท่าไหร่ ตอนที่ถูกม้าเหวี่ยงออกไป ร่างของเขาฟาดเข้ากับต้นไม้อย่างแรงมีเสียงดัง “โครม!” ก่อนจิ่งสือเยี่ยนจะกลิ้งลงมาจากต้นไม้ครั้งนี้เขารู้สึกเหมือนเอวจะหัก ปวดจนทนแทบไม่ไหวองครักษ์ของเขาช่วยพยุงเขาขึ้นมาและดึงม้าที่ตื่นตระหนกกลับมาจิ่งสือเยี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจรู้สึกหงุดหงิดยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนก็ไม่ได้เป็นอะไร มีแค่ม้าของเขาเท่านั้นที่มีปัญหาเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเขารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองค่อนข้างโชคร้ายคืนนี้การเดินทางไม่คืบหน้าไปไหน แล้วเขายังต้องตกม้าถึงสองครั้ง เจอเรื่องแบบนี้แม้แต่พระอิฐพระปูนก็ยังโมโห นับประสาอะไรกับจิ่งสือเยี่ยนที่เป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความโกรธแต่การตกม้าครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง เขาเคล็ดเอวด้วยจึงไม่สามารถขี่ม้าได้อีกสักพักเ
“ข้าไม่ใช้วิชาชั่วร้ายแบบที่เทียนซือใช้กับเจ้าก่อนหน้านี้หรอก ข้าใช้แต่คาถาสายธรรมมะเท่านั้น”“วิธีนี้ไม่สร้างอันตรายถึงชีวิต แต่จะทำให้โชควาสนาของเขาน้อยลง”“จากนี้ไป เขาจะไม่ใช่จิ่งสือเยี่ยนที่ใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นอีกต่อไป แต่จะเป็นจิ่งสือเยี่ยนคนธรรมดา”จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าวิชาศาลตร์ลี้ลับของนางสูงส่งมาก นางแค่พูดแบบถ่อมตัวนั่นหมายความว่าจิ่งสือเยี่ยนอาจจะต้องประสบโชคร้ายสักหน่อยเขาถามว่า “วิชาของเจ้าจะอยู่ได้นานแค่ไหน?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ประมาณเจ็ดวัน แต่ถ้าโชคชะตาของเขาแข็งแกร่งเกินไป เวลาก็จะสั้นลงอีกหน่อย”“ดังนั้น เจ้าต้องตามหาเขาให้เจอโดยเร็วที่สุด แล้วจัดการเขาให้เรียบร้อย”“เพราะเจ็ดวันหลังจากนี้ เท่าที่ดูจากกระดานคำนวณครั้งก่อน เขาอาจจะพากองทัพกลับมาเอาคืนได้”จิ่งโม่เยี่ยพยักหน้าแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนอาชาเฟิ่งชูอิ่พูดกับแผ่นหลังของเขาว่า “ตอนที่เจ้าสู้กับเขา ต้องระวังตัวให้มากนะ”จิ่งโม่เยี่ยหันกลับมามองนาง นางกัดริมฝีปากก่อนจะพูดว่า “เจ้าต้องมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้!”“เมื่อเจ้ากลับมาแล้ว พวกเราจะแต่งงานกัน”จิ่งโม่เยี่ยได้ยินคำพูดนี้ก็ตาเป็นประกาย ในขณะนั้
แต่เพื่อความสะดวกในการสะกดรอยตามจิ่งสือเยี่ยน เฟิ่งชูอิ่งจึงใช้ศาสตร์ลี้ลับกับเขาเล็กน้อยดังนั้นเขาจึงสามารถเก็บของบางอย่างไว้กับตัวได้ อย่างเช่นกางเกงในสองสามตัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกตอนนี้เขาถูกกระจกปราบปีศาจกดทับจนขยับไม่ได้ เฟิ่งชูอิ่งจึงร่ายคาถาช่วยเขาป้องกันการโจมตีของกระจกปราบปีศาจชั่วคราว ทันใดนั้นเขาก็หายวับไปอยู่ด้านหลัง ตรงจุดที่กระจกปราบปีศาจโจมตีไม่ถึงเมื่อจิ่งสือเฟิงเป็นอิสระ เขาก็เริ่มบิดตัวไปมา “เกือบจะถูกทับตายอยู่แล้วเชียว!”“ข้าไม่ได้ทำร้ายใครสักหน่อย ทำไมต้องโจมตีกันด้วย?”เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็ลอบกลอกตาไปมา พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เอาของออกมา”จิ่งสือเฟิงกลัวจะถูกนางทุบตี จึงรีบหยิบกางเกงในออกมาให้นางจิ่งโม่เยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไม่มีของอย่างอื่นให้หยิบมาหรือไง?”เขามองจิ่งสือเฟิงด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขาช่างกล้าหาญนัก กล้าให้เฟิ่งชูอิ่งดูกางเกงในของผู้ชายคนอื่นจิ่งสือเฟิงหดคอแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่หยิบติดมือมาส่งเดช”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวด้วยท่าทางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ช่างเถอะ ใช้งานได้ก็พอ ตอนนี้ไม่ใช่เ
นางจ้องเขม็งไปทางจิ่งสือเฟิงด้วยความขุ่นเคือง พับเก็บแผนการที่จะกระทืบเขาไว้ชั่วคราวจิ่งโม่เยี่ยรู้สึกประหลาดใจที่เห็นนางอยู่ที่นี่ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”เขาพูดพลางถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาห่มให้นางคืนนี้หิมะตก อากาศหนาวมาก เฟิ่งชูอิ่งรีบร้อนออกมาจนลืมหยิบเสื้อคลุมตอนนี้เสื้อคลุมของเขากำลังห่มคลุมร่างของนาง ความอบอุ่นและกลิ่นอายของเขากำลังโอบล้อมนาง ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นอย่างมากนางตอบ “ข้ามาหาจิ่งสือเฟิง เขาติดตามจิ่งสือเยี่ยนมาที่นี่ แต่โดนกระจกปราบปีศาจที่หน้าประตูเมืองสะกดเอาไว้”จิ่งโม่เยี่ยมองจิ่งสือเฟิงด้วยสายตาเหยียดหยาม เจ้าบ้านี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ แค่ตามคนยังตามได้ไม่ดี ต้องเดือดร้อนให้เฟิ่งชูอิ่งมาช่วยเหลือกลางดึกจิ่งสือเฟิงรีบหดตัวเป็นก้อนเล็กๆ พยายามทำตัวให้โดดเด่นน้อยที่สุดเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียทีเดียว ใครจะไปรู้ว่าที่นี่จะมีกระจกปราบปีศาจบานใหญ่ขนาดนี้อยู่ที่สำคัญคือเขาเพิ่งเป็นผีได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่จิ่งโม่เยี่ยพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “อากาศหนาว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะไปตามจิ่งสือเยี่ยนเอง”เฟิ่งชูอิ่งถ
จิ่งสือเฟิงนอนกลัดกลุ้มอยู่บนพื้นแล้วจะทำอย่างไรต่อดี?ถึงแม้เขาจะหลุดพ้นจากกระจกปราบปีศาจที่ประตูเมืองได้ และย้อนกลับไปแจ้งข่าวเฟิ่งชูอิ่งก็ไม่ทันการณ์แล้วเพราะเขาเห็นจิ่งสือเยี่ยนคุยกับแม่ทัพผู้รักษาประตูเมืองเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถเดินออกจากเมืองหลวงไปได้อย่างผ่าเผยจิ่งสือเฟิงเห็นท่าทางแบบนั้นของจิ่งสือเยี่ยนก็แอบสบถในใจและในขณะนี้เอง เขาก็รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างเขากับจิ่งสือเยี่ยนก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเขารวบรวมผู้คนได้มากมาย เขาเก่งกาจมากแต่ไม่มีใครในกลุ่มคนเหล่านั้นสามารถพาเขาออกจากเมืองหลวงได้เลยเมื่อเทียบกับจิ่งสือเยี่ยน จิ่งสือเฟิงก็รู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆ เพราะคนที่เขาซื้อตัวมานั้นไม่สามารถทำงานเป็นระบบแบบแผนเหมือนคนของจิ่งสือเยี่ยนไม่ว่าจิ่งสือเยี่ยนจะทำอะไร ก็มีคนที่สามารถใช้งานได้ตลอดจิ่งสือเฟิงก็เป็นองค์ชาย รู้ว่ากว่าจะทำได้ถึงขั้นนี้มันยากขนาดไหนเพราะการซื้อตัวขุนนางที่มีอำนาจสูงต่ำต่างกัน ต้องใช้ความพยายามที่แตกต่างกันด้วยหากจะให้สรุปง่ายๆ คือเขาไม่มีปัญญาทำเฟิ่งชูอิ่งติดยันต์ไว้บนตัวจิ่งสือเฟิง ตอนที่เขาถูกกระจกปราบปีศาจสะกด นางก็รู้สึกได้ทันที