“คุณคืนคุณหนูมาให้ข้า ข้าจะพานางออกจากจวนอ๋อง!”จิ่งโม่เยี่ยกอดเฟิ่งชูอิ่งไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เขากล่าวเสียงเรียบว่า “ข้ารู้ ตอนนางมีชีวิตอยู่ก็อยากจะไปจากข้า”“ข้าดึงดันให้นางอยู่ต่อจนเป็นเหตุให้นางต้องตาย แต่ข้ายังอยากจะกล่าวกับนางอีกสักคำ.....”เฉี่ยวหลิงตอนนี้อารมณ์สงบลงเล็กน้อย เงยหน้ามองเขา เห็นความเศร้าที่เข้มข้นจนแทบจะกลั่นออกมาจากดวงตาบรรยากาศรอบตัวเขาตอนนี้ แม้ว่าเฉี่ยวหลิงจะโกรธเกลียดแค่ไหน ก็ยังรู้สึกว่าเขาน่าสงสารไม่น้อยนางสูดจมูกแล้วกล่าวว่า “ข้าให้เวลาท่านหนึ่งวัน หลังจากหนึ่งวันข้าไม่สนว่าท่านจะคิดอย่างไร ข้าจะพาคุณหนูไปให้ได้”จิ่งโม่เยี่ยไม่กล่าวอะไร เพียงอุ้มเฟิ่งชูอิ่งแล้วเดินกลับเข้าห้องไปเทียนสีแดงในห้องหอได้ละลายหมดไปแล้ว เหลือเพียงคราบน้ำตาเทียน ตัวอักษรมงคลสีแดงตอนนี้กลายเป็นการเยาะเย้ยจิ่งโม่เยี่ยวางเฟิ่งชูอิ่งลงบนเตียงมงคล หยิบผ้ามาเช็ดคราบเขม่าบนหน้าของนางเบาๆเมื่อคืนนี้ควรจะเป็นคืนวิวาห์ของพวกเขา แต่กลับกลายเป็นคืนแห่งการจากลาตลอดกาลมือของจิ่งโม่เยี่ยลูบไล้เบาๆ ไปตามใบหน้าของนาง หลังออกจากที่เกิดเหตุไฟไหม้ ร่างกายของนางก็เย็นลงเรื่อยๆ แขนขาก็เ
เจ้าอาวาสรู้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าจิ่งโม่เยี่ยเป็นคนแบบไหน ดูเหมือนจะเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่ซื่อสัตย์ในความรัก ถ้าไม่รักก็ไม่รักเลย แต่ถ้ารักแล้วก็จะรักไปตลอดชีวิตนิสัยของเฟิ่งชูอิ่งดูเหมือนจะอ่อนโยน แต่จริงๆ แล้วเป็นคนดื้อรั้น นางเป็นคนที่มีนิสัยสบายๆ และรักอิสระ ไม่ชอบการถูกจำกัดในกรอบถ้านางไม่ได้รักใครอย่างลึกซึ้ง นางจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกจำกัดอยู่ในเรือนหลังของจวนหรอกจิ่งโม่เยี่ยมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบมากมายที่ต้องแบกรับไว้ การจะทำให้เฟิ่งชูอิ่งยอมอยู่เคียงข้างเขาย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายคำกล่าวเหล่านี้เขาไม่กล้ากล่าวกับจิ่งโม่เยี่ยมาก่อน เพราะกลัวจะโดนเขาซัดเอา!แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ทั้งสองจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในวันแต่งงานเขาถอนหายใจแล้วมองจิ่งโม่เยี่ยอย่างลึกซึ้ง "เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ!"จิ่งโม่เยี่ยไม่ได้กล่าวอะไร ตอนที่เขาและเฟิ่งชูอิ่งถูกกำหนดให้แต่งงานกัน เขาไม่เคยความคาดหวังกับการแต่งงานนี้เลยตอนนั้นเจ้าอาวาสล้อเขา บอกว่าเขาจะถูกควบคุมบงการในอนาคต ตอนนั้นเขากล่าวว่าอะไรนะ?เขากล่าวว่า "ผู้หญิงในโลกนี้หากไม่โหดเหี้ยมก็โง่เขลา แล้วข
แต่ตอนนี้นางไม่มีชีพจรแล้ว ลมหายใจก็หยุดนิ่งไปแล้วนี่คือสภาพของคนที่ตายไปแล้วจริงๆเจ้าอาวาสรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเคยร่ำเรียนมานั้น พอมาถึงตอนนี้กลับไม่มีประโยชน์อะไรเลยตอนที่เขาเดินออกไป เขาหันมองไปที่จิ่งโม่เยี่ยอีกครั้ง ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันหลังเดินออกไปพอเขาออกไป ห้องก็เงียบลงทันทีจิ่งโม่เยี่ยตาแดงก่ำจ้องมองเฟิ่งชูอิ่งแล้วกล่าวว่า "เจ้าคงเกลียดข้ามาก ถึงไม่อยากเจอข้าเป็นครั้งสุดท้าย""ก่อนหน้านี้ข้าไม่อยากให้เจ้าไป ก็เพราะว่าเมื่อเจ้าจากไปแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร คิดไม่ถึงว่า..."พอกล่าวถึงตรงนี้ ความเศร้าก็เข้ามาแทนที่ น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุดที่นี่มีแค่เขากับเฟิ่งชูอิ่ง ไม่มีคนนอก เขาไม่จำเป็นต้องเก็บอารมณ์ของตัวเองอีกต่อไปฉินจื๋อเจี้ยนเห็นเจ้าอาวาสออกมาจึงเอ่ยถามว่า "เป็นอย่างไรบ้าง?"เจ้าอาวาสตอบว่า "ความสามารถของอาตมามีขีดจำกัด"ฉินจื๋อเจี้ยนถอนหายใจยาว มองเข้าไปในห้องด้วยความกังวล อยากจะเข้าไปดูแต่ถูกเจ้าอาวาสดึงไว้แล้วส่ายหัวเบาๆในสายตาของฉินจื๋อเจี้ยนเต็มไปด้วยความกังวล เจ้าอาวาสกล่าวเบาๆ ว่า "ให้ท่านอ๋องอยู่เงียบๆ สักพักเถอะ"ฉินจื๋อเจี
ทันใดนั้นเฉี่ยวหลิงก็เห็นเขาเดินฮึดฮัดไปที่ประตู แต่พอเท้าก้าวข้ามธรณีประตูไปก็หดกลับมาทันทีเขาลังเลเล็กน้อยแล้วก็หันกลับมานั่งข้างๆ เฉี่ยวหลิงเฉี่ยวหลิงมองเขา เขาลูบหัวล้านของตัวเองแล้วกล่าวว่า "ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าข้าสู้เขาไม่ไหว"เฉี่ยวหลิงได้ยินแบบนั้นก็กลอกตาใส่เขาแล้วด่าว่า "ตอนอาจารย์มีปัญหา เจ้าช่วยไม่ได้ก็ช่างเถอะ แต่ยังไม่สามารถช่วยออกหน้าแทนนางอีก!""คุณหนูของข้าจะต้องการเจ้าไปทำไมกัน!"เจ้าอาวาสคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "อาจารย์คงคิดว่าข้าขายยันต์ได้ดี สามารถหาเงินให้นางได้กระมัง"เฉี่ยวหลิง "......"นางไม่อยากจะสนใจเขาแล้ว!เจ้าอาวาสกล่าวต่อว่า "เจ้าเป็นวิญญาณร้าย ตอนที่อาจารย์เกิดเรื่องขึ้น เจ้ามองไม่เห็นวิญญาณของนางเหรอ?"เฉี่ยวหลิงส่ายหน้า "ตอนที่คุณหนูเกิดเรื่อง ไฟไหม้ที่ลุกโหมอยู่รอบๆ แรงมาก ข้าเข้าไปใกล้ไม่ได้เลย""ตอนนั้นข้าอยู่ใต้ดิน ไม่เห็นคุณหนูเลย วิญญาณของนางคงถูกไฟเผาหมดแล้ว..."นางกล่าวมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกเศร้าและอดที่จะร้องไห้ออกมาไม่ได้เจ้าอาวาสเห็นนางร้องไห้ก็ปวดหัว จึงปลอบว่า "อย่าร้องไห้เลย บางทีอาจารย์อาจจะยังไม่ตายก็ได้นะ?"เฉี่ยวหลิ
เมื่อวานเจ้าอาวาสมาที่นี่เพื่อเรียกวิญญาณของเฟิ่งชูอิ่ง แต่กลับทำไม่สำเร็จเรื่องนี้เขามองว่าเป็นเพราะเฟิ่งชูอิ่งไม่อยากพบเขาเขาได้พยายามหลายครั้งแล้วที่จะขอร้องอ้อนวอนนาง จนถึงตอนนี้ เขาไม่กล้าขอร้องอะไรอีกเฉี่ยวหลิงจึงกล่าวว่า "ยังดีที่ท่านยังมีความรู้สึกอยู่บ้าง ตอนนี้ข้าจะพาคุณหนูออกไป"จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเสียงเรียบว่า "รอเดี๋ยว"เฉี่ยวหลิงระวังตัว เอ่ยถามว่า "ท่านจะเปลี่ยนใจหรือ?"จิ่งโม่เยี่ยส่ายหน้า เขาก้มลงแล้วจูบหน้าผากเฟิ่งชูอิ่งเบาๆเขากล่าวเสียงเรียบว่า "เดิมทีข้าอยากจะไปอยู่กับนาง แต่คิดว่านางคงไม่อยากเห็นข้า ไม่อยากให้ข้าไปอยู่ด้วย""สวรรค์มีตา ส่งนางมาเคียงข้างข้า แต่ข้ากลับไม่รู้จักรักษาทะนุถนอมนางไว้ สมควรแล้วที่ข้าจะต้องโดดเดี่ยวไปจนตาย"เขายื่นมือออกไปจับมือของเฟิ่งชูอิ่งมาแนบที่หน้า แล้วก็ปล่อยมือนางลง ถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อเขาถอยออกห่าง เฉี่ยวหลิงก็รีบอุ้มเฟิ่งชูอิ่งออกไปทันทีจิ่งโม่เยี่ยกล่าวอีกว่า "อุ้มนางออกไปแบบนี้อาจทำให้คนตกใจได้ ข้าจะเตรียมคนขับรถและรถม้าให้นางดีกว่า"เขาเห็นว่าในตาเฉี่ยวหลิงเต็มไปด้วยความระแวดระวัง จึงอธิบายว่า "ข้าไม่มีเจตนา
เฉี่ยวหลิงลองใช้หลายวิธีเพื่อจะปลุกเฟิ่งชูอิ่งขึ้นมา แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้งเฟิ่งชูอิ่งนอนเงียบๆ อยู่ที่นั่น ดูไม่มีวี่แววของการมีชีวิตเลยเฉี่ยวหลิงคิดถึงคำกล่าวสุดท้ายที่เฟิ่งชูอิ่งบอกให้นางออกไป บางครั้งก็รู้สึกว่ามีความหมายลึกซึ้ง แต่บางครั้งก็ไม่รู้สึกอะไรนางเฝ้าอยู่ข้างๆ เฟิ่งชูอิ่งนานมาก แต่ก็ยังไม่เห็นการตอบสนองใดๆนางเคยตายมาก่อน รู้ว่าหลังจากคนตายแล้วจะเป็นอย่างไร ดูจากสภาพของเฟิ่งชูอิ่งแล้ว มันดูเหมือนนางตายไปแล้วจริงๆแต่ปกติถ้าคนตาย วิญญาณจะอยู่ข้างศพในช่วงแรกแต่หลังจากเฟิ่งชูอิ่งตาย เฉี่ยวหลิงก็ไม่เห็นวิญญาณของเฟิ่งชูอิ่งเลย นางสงสัยมากว่าการไฟไหม้ครั้งนั้นได้เผาวิญญาณของเฟิ่งชูอิ่งจนสูญสลายไปแล้วพอคิดถึงเรื่องนี้ เฉี่ยวหลิงก็ยิ่งเศร้าถึงแม้ว่านางจะเป็นวิญญาณร้ายมานานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้นางถูกขังอยู่ในห้องทรมานของวังหลวง ไม่ได้เรียนรู้ความสามารถอะไรเลยหลังจากที่นางอยู่ข้างเฟิ่งชูอิ่ง นางได้เรียนรู้ทักษะบางอย่าง แต่ไม่มีทักษะไหนที่สามารถช่วยนางช่วยชีวิตเฟิ่งชูอิ่งได้ตอนนี้นางแค่โกรธตัวเองที่ไม่มีประโยชน์ ไม่เพียงแต่ต้องทนดูเฟิ่งชูอิ่งตายไปต่อหน้า แต่ยังช่วยเหล
การกระทำนั้นของเขาทำให้พวกขุนนางตกใจแทบแย่ "ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นหรือ?"จิ่งโม่เยี่ยพยายามสะกดอารมณ์ตัวเองไว้ จนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนออกมาเขากล่าวเบา ๆ ว่า "ไม่เป็นไร พวกท่านคุยต่อได้เลย"เพียงแต่ในเวลาต่อมา พวกขุนนางกล่าวอะไรกันบ้าง เขาก็ฟังไม่เข้าหูเลยสักคำหนึ่งชั่วยามต่อมา จิ่งโม่เยี่ยก็กล่าวขึ้นมาว่า "ทุกท่านโปรดรอสักครู่"กล่าวจบก็ลุกขึ้นหันหลังเดินออกไป ก่อนจะทิ้งตัวพิงโต๊ะแล้วสูดหายใจเฮือกใหญ่ ฉินจื๋อเจี้ยนเดินเข้ามาหา "ท่านอ๋อง เป็นอะไรมากหรือไม่?"จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า "จื๋อเจี้ยน นางตายแล้วจริงๆ"ฉินจื๋อเจี้ยนรู้ว่าเขาไม่เคยเชื่อว่าเฟิ่งชูอิ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว จึงถอนหายใจยาวเหยียดออกมาจิ่งโม่เยี่ยกล่าวอีกว่า "เป็นข้าที่ทำให้นางต้องตาย"ฉินจื๋อเจี้ยนไม่รู้ว่าจะต้องปลอบเขาอย่างไรในตอนนี้แต่จิ่งโม่เยี่ยยังเอ่ยต่อว่า "ไม่ได้ ข้าต้องไปดูนางอีกครั้ง!"พอเขาเดินไปถึงที่ประตูก็กระอักเลือดออกมาคำโต ก่อนจะเป็นลมล้มพับลงไปฉินจื๋อเจี้ยนตกใจจนตะโกนว่า "ท่านอ๋อง!"การหมดสติกะทันหันของจิ่งโม่เยี่ย ทำให้การประชุมครั้งนี้ต้องยุติลงยังดีที่ในจวนอ๋องมีฉินจื๋อเ
เขาพูดจบแล้วก็หันหลังเดินจากไป ฉินจื๋อเจี้ยนมองหลุมศพนั้นแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจอีกครั้งหลังจากพวกเขาจากไป เฉี่ยวหลิงก็โผล่ออกมาจากต้นไม้ข้างๆแม้ว่าเฟิ่งชูอิ่งจะไม่อยู่แล้ว แต่นางก็ไม่มีที่ไป จึงตัดสินใจอาศัยอยู่ในต้นไม้ข้างหลุมศพของเฟิ่งชูอิ่งก่อนหน้านี้นางทั้งกลัวและเกลียดชังจิ่งโม่เยี่ย แต่ตอนนี้เมื่อเห็นสภาพของเขาแล้ว นางรู้สึกว่าเขาสมควรเป็นทุกข์แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารเขาด้วยชวีเหลียงอวี้ยืนอยู่ข้างๆ นางพูดว่า "ข้าคิดว่าท่านอ๋องรักคุณหนูมากนะ"เฉี่ยวหลิงแค่นเสียงเบาๆ พูดว่า "แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร เขาก็ยังเป็นคนที่ทำให้คุณหนูต้องตายอยู่ดี!"พูดจบนางก็มุดเข้าไปในต้นไม้อีกครั้งชวีเหลียงอวี้ถอนหายใจแล้วมุดตามเข้าไปหลังจากฟ้ามืดลง เฉี่ยวหลิงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากข้างนอก นางคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยกลับมาอีกจึงไม่อยากสนใจแต่เสียงข้างนอกดังขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีเสียงขุดดินด้วยเฉี่ยวหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงโผล่หน้าออกไปดูสักหน่อย แต่พอเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นนางก็อยากฆ่าคนทันที!ปู๋เยี่ยโหวคนชั่วช้านั่นพาคนมาขุดหลุมศพของเฟิ่งชูอิ่ง!เฉี่ยวหลิงตายมาหลายปีแล้ว นางถูกกักขังอย