เฉี่ยวหลิงลองใช้หลายวิธีเพื่อจะปลุกเฟิ่งชูอิ่งขึ้นมา แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้งเฟิ่งชูอิ่งนอนเงียบๆ อยู่ที่นั่น ดูไม่มีวี่แววของการมีชีวิตเลยเฉี่ยวหลิงคิดถึงคำกล่าวสุดท้ายที่เฟิ่งชูอิ่งบอกให้นางออกไป บางครั้งก็รู้สึกว่ามีความหมายลึกซึ้ง แต่บางครั้งก็ไม่รู้สึกอะไรนางเฝ้าอยู่ข้างๆ เฟิ่งชูอิ่งนานมาก แต่ก็ยังไม่เห็นการตอบสนองใดๆนางเคยตายมาก่อน รู้ว่าหลังจากคนตายแล้วจะเป็นอย่างไร ดูจากสภาพของเฟิ่งชูอิ่งแล้ว มันดูเหมือนนางตายไปแล้วจริงๆแต่ปกติถ้าคนตาย วิญญาณจะอยู่ข้างศพในช่วงแรกแต่หลังจากเฟิ่งชูอิ่งตาย เฉี่ยวหลิงก็ไม่เห็นวิญญาณของเฟิ่งชูอิ่งเลย นางสงสัยมากว่าการไฟไหม้ครั้งนั้นได้เผาวิญญาณของเฟิ่งชูอิ่งจนสูญสลายไปแล้วพอคิดถึงเรื่องนี้ เฉี่ยวหลิงก็ยิ่งเศร้าถึงแม้ว่านางจะเป็นวิญญาณร้ายมานานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้นางถูกขังอยู่ในห้องทรมานของวังหลวง ไม่ได้เรียนรู้ความสามารถอะไรเลยหลังจากที่นางอยู่ข้างเฟิ่งชูอิ่ง นางได้เรียนรู้ทักษะบางอย่าง แต่ไม่มีทักษะไหนที่สามารถช่วยนางช่วยชีวิตเฟิ่งชูอิ่งได้ตอนนี้นางแค่โกรธตัวเองที่ไม่มีประโยชน์ ไม่เพียงแต่ต้องทนดูเฟิ่งชูอิ่งตายไปต่อหน้า แต่ยังช่วยเหล
การกระทำนั้นของเขาทำให้พวกขุนนางตกใจแทบแย่ "ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นหรือ?"จิ่งโม่เยี่ยพยายามสะกดอารมณ์ตัวเองไว้ จนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนออกมาเขากล่าวเบา ๆ ว่า "ไม่เป็นไร พวกท่านคุยต่อได้เลย"เพียงแต่ในเวลาต่อมา พวกขุนนางกล่าวอะไรกันบ้าง เขาก็ฟังไม่เข้าหูเลยสักคำหนึ่งชั่วยามต่อมา จิ่งโม่เยี่ยก็กล่าวขึ้นมาว่า "ทุกท่านโปรดรอสักครู่"กล่าวจบก็ลุกขึ้นหันหลังเดินออกไป ก่อนจะทิ้งตัวพิงโต๊ะแล้วสูดหายใจเฮือกใหญ่ ฉินจื๋อเจี้ยนเดินเข้ามาหา "ท่านอ๋อง เป็นอะไรมากหรือไม่?"จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า "จื๋อเจี้ยน นางตายแล้วจริงๆ"ฉินจื๋อเจี้ยนรู้ว่าเขาไม่เคยเชื่อว่าเฟิ่งชูอิ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว จึงถอนหายใจยาวเหยียดออกมาจิ่งโม่เยี่ยกล่าวอีกว่า "เป็นข้าที่ทำให้นางต้องตาย"ฉินจื๋อเจี้ยนไม่รู้ว่าจะต้องปลอบเขาอย่างไรในตอนนี้แต่จิ่งโม่เยี่ยยังเอ่ยต่อว่า "ไม่ได้ ข้าต้องไปดูนางอีกครั้ง!"พอเขาเดินไปถึงที่ประตูก็กระอักเลือดออกมาคำโต ก่อนจะเป็นลมล้มพับลงไปฉินจื๋อเจี้ยนตกใจจนตะโกนว่า "ท่านอ๋อง!"การหมดสติกะทันหันของจิ่งโม่เยี่ย ทำให้การประชุมครั้งนี้ต้องยุติลงยังดีที่ในจวนอ๋องมีฉินจื๋อเ
เขาพูดจบแล้วก็หันหลังเดินจากไป ฉินจื๋อเจี้ยนมองหลุมศพนั้นแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจอีกครั้งหลังจากพวกเขาจากไป เฉี่ยวหลิงก็โผล่ออกมาจากต้นไม้ข้างๆแม้ว่าเฟิ่งชูอิ่งจะไม่อยู่แล้ว แต่นางก็ไม่มีที่ไป จึงตัดสินใจอาศัยอยู่ในต้นไม้ข้างหลุมศพของเฟิ่งชูอิ่งก่อนหน้านี้นางทั้งกลัวและเกลียดชังจิ่งโม่เยี่ย แต่ตอนนี้เมื่อเห็นสภาพของเขาแล้ว นางรู้สึกว่าเขาสมควรเป็นทุกข์แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารเขาด้วยชวีเหลียงอวี้ยืนอยู่ข้างๆ นางพูดว่า "ข้าคิดว่าท่านอ๋องรักคุณหนูมากนะ"เฉี่ยวหลิงแค่นเสียงเบาๆ พูดว่า "แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร เขาก็ยังเป็นคนที่ทำให้คุณหนูต้องตายอยู่ดี!"พูดจบนางก็มุดเข้าไปในต้นไม้อีกครั้งชวีเหลียงอวี้ถอนหายใจแล้วมุดตามเข้าไปหลังจากฟ้ามืดลง เฉี่ยวหลิงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากข้างนอก นางคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยกลับมาอีกจึงไม่อยากสนใจแต่เสียงข้างนอกดังขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีเสียงขุดดินด้วยเฉี่ยวหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงโผล่หน้าออกไปดูสักหน่อย แต่พอเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นนางก็อยากฆ่าคนทันที!ปู๋เยี่ยโหวคนชั่วช้านั่นพาคนมาขุดหลุมศพของเฟิ่งชูอิ่ง!เฉี่ยวหลิงตายมาหลายปีแล้ว นางถูกกักขังอย
เมื่อคืนกองทัพที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้ได้ยกทัพเข้ามาในเมืองหลวง และปะทะกับกองทัพของจิ่งโม่เยี่ยอย่างดุเดือดจากนั้นองครักษ์ลับที่ฮ่องเต้เจาหยวนส่งออกไปก็กลับมาทั้งหมด ทำให้ปู๋เยี่ยโหวรู้ว่าครั้งนี้คงไม่สามารถสังหารฮ่องเต้เจาหยวนได้ และการปฏิวัติในวังหลวงอาจล้มเหลวปู๋เยี่ยโหวรู้สึกอัดอั้นที่ไม่สามารถสังหารฮ่องเต้เจาหยวนได้ จึงสั่งให้คนยิงธนูไปทางท้องพระโรงเป็นระยะๆการกระทำนี้ทำให้เจ้าอารามที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้เจาหยวนรู้สึกคลุ้มคลั่งเเจ้าอารามทนไม่ไหว จึงฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาเผลอ เปิดประตูเป็นของค่ายกลป้องกันแล้วหนีออกมา แต่ถูกปู๋เยี่ยโหวจับตัวไว้ได้ปู๋เยี่ยโหวเคยต้องการทำลายอารามเทียนอี้และฆ่าเจ้าอารามมาก่อน คราวนี้จับเจ้าอารามได้จึงไม่คิดจะปรานีอีกต่อไป อีกฝ่ายถูกเขาซ้อมอย่างหนักปู๋เยี่ยโหวมีนิสัยวิปริตอยู่บ้าง เขาตั้งใจจะทรมานเจ้าอารามให้ตายอย่างช้าๆเจ้าอารามรู้ว่าเขาวิปริตแค่ไหน พลันนึกได้ว่าครั้งก่อนเฟิ่งชูอิ่งมาด้วยกัน จึงบอกว่า "เฟิ่งชูอิ่งยังไม่ตาย!"เขาพูดประโยคนี้เพื่อลองเสี่ยงดวง ไม่คิดว่าจะได้ผลจริงๆที่จริงเขาอยากบอกว่าสามารถพาปู๋เยี่ยโหวเข้าไปหาฮ่องเต้เจาหยวนได
ปู๋เยี่ยโหวสั่งให้คนขุดต่อไปทันทีเฉี่ยวหลิงเสริมอีกประโยค "ถ้าขุดเสร็จแล้วคุณหนูยังไม่ฟื้นขึ้นมา ข้าจะฝังเจ้าทั้งเป็นไปอยู่เป็นเพื่อนคุณหนู"ปู๋เยี่ยโหว "......"เขารู้สึกว่าเฉี่ยวหลิงช่างดุร้ายเหลือเกิน!เขาดึงตัวเจ้าอารามมาพลางพูดว่า "เรื่องนี้เขาเป็นคนทำนายไว้นะ ถ้าชูชูไม่ฟื้นขึ้นมา เจ้าก็ฝังเขาทั้งเป็นแทนเถอะ!"เจ้าอาราม "....."เขารู้สึกว่าตัวเองช่างโชคร้ายเหลือเกิน เขาแค่อยากจะหนีไปเท่านั้น แต่กลับมาเจอกับปู๋เยี่ยโหวที่เหมือนคนบ้าเสียสติเฉี่ยวหลิงมองเจ้าอารามด้วยหางตาแล้วชกเขาหนึ่งหมัด "ข้ารู้จักเจ้า เจ้าก็ไม่ใช่คนดีอะไร"ทฤษฎีของนางก็ง่ายๆ ไม่ว่าเฟิ่งชูอิ่งจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ ก็ต้องชกก่อนค่อยว่ากันเจ้าอาราม "......"วันนี้เขาช่างโชคร้ายเหลือเกิน!ก่อนหน้านี้เขาได้ยินจากเทียนซือว่าเฟิ่งชูอิ่งเลี้ยงวิญญาณร้ายไว้ตนหนึ่ง วันนี้ได้เห็นกับตาถึงได้รู้ว่าวิญญาณร้ายนี่บ้าพอๆ กับปู๋เยี่ยโหวเลย!เขารู้สึกเสียใจมากที่วันนี้ไม่ได้ทำนายดวงชะตาตัวเองก่อนออกจากท้องพระโรง สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ดีเท่าอยู่ในท้องพระโรงกับฮ่องเต้เจาหยวนเลยปู๋เยี่ยโหวพูดกับองครักษ์ที่กำลังขุดหลุมว่า
ปู๋เยี่ยโหวมองไปทางเจ้าอารามแล้วพูดเสริมว่า "ถ้าชูชูไม่ตื่นขึ้นมา เขาเป็นคนมารบกวนความสงบของชูชู ก็ฝังเขาไว้เป็นทาสรับใช้ชูชูที่นี่แหละ"เฉี่ยวหลิงพูดอย่างรังเกียจว่า "เขาน่าเกลียดมาก แต่ก็คงทำงานได้บ้าง งั้นก็ตกลงตามนั้น!"เจ้าอาราม "......"เขาด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง ไอ้พวกบ้าเสียสติ!พวกบ้าที่น่ากลัว!การขุดเปิดโลงศพเพียงเพราะคำพูดของเขาประโยคเดียว มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะทำได้สิ่งที่เขาไม่ได้บอกปู๋เยี่ยโหวคือ ลักษณะใบหน้าของคนสามารถบอกถึงชีวิตและความตายของคนได้ แต่ในโลกนี้ยังมีโชคและเคราะห์ที่ไม่ปรากฏบนใบหน้าอยู่ด้วยไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่เรื่องที่เฟิ่งชูอิ่งถูกฝังอยู่ใต้ดินมาสองวันแล้ว ถ้าเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่จริง ตอนนี้คงจะขาดอากาศตายไปแล้วเขารู้สึกกังวลใจมาก!เขาอยากหาโอกาสหลบหนี แต่แผลที่ถูกปู๋เยี่ยโหวแทงสองครั้งแม้จะไม่ถูกจุดสำคัญ แต่ก็ยังเจ็บมาก!ยิ่งไปกว่านั้น ปู๋เยี่ยโหวยังมัดเขาไว้ที่นี่ ทำให้ไม่มีทางหนีไปไหนได้เลยทางนั้นปู๋เยี่ยโหวถามว่า "งั้นข้าจะเปิดโลงศพแล้วนะ!"เฉี่ยวหลิงพยักหน้า "เปิดเลย!"ปู๋เยี่ยโหวจึงให้องครักษ์สองคนช่วยกันเปิดฝาโลงศพออกในวินาท
นางด่าว่า "ปู๋เยี่ยโหว ข้าจะสาปแช่งบรรพบุรุษของเจ้า!"ครั้งนี้เพื่อเอาชีวิตรอด นางได้ฝืนใช้วิชาต้องห้ามของลัทธิเต๋าวิชาต้องห้ามทุกอย่างย่อมมีผลข้างเคียงหลังใช้ เช่นวิชาต้องห้ามที่นางใช้ครั้งนี้ จะทำให้โชคร้ายไปพักใหญ่เลยปู๋เยี่ยโหวยังไม่ทันตั้งตัว เฉี่ยวหลิงก็คว้าตัวเขาออกจากโลงศพและโยนออกไปนางทรุดลงข้างโลงศพร้องไห้โฮ "คุณหนู ท่านฟื้นแล้ว! ฮือๆ หลายวันมานี้ข้ากลัวแทบตาย!"เจ้าอารามอยู่ไกลเกินกว่าจะเห็นเหตุการณ์ในโลงศพ แต่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเขาตกตะลึงอย่างยิ่งวันนี้เขาทำนายดวงชะตาให้เฟิ่งชูอิ่งต่อหน้าปู๋เยี่ยโหว จริงๆ แล้วเป็นดวงชะตาที่ร้ายแรง เพียงแต่หลอกว่าปู๋เยี่ยโหวอ่านชะตาไม่ออกเท่านั้นอีกทั้งตอนนั้นเขายังนับนิ้วคำนวณ และคำนวณได้ว่าเฟิ่งชูอิ่งตายไปแล้วจริงๆแต่ดูจากความเคลื่อนไหวตรงนั้น เฟิ่งชูอิ่งดูเหมือนจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา!ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด คนที่ตกใจที่สุดจริงๆ แล้วคือเขาเอง!เขาฉวยโอกาสที่ทุกคนล้อมรอบเฟิ่งชูอิ่ง ไม่มีใครสนใจเขา ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปด้านข้างขณะนั้นฝนตกหนัก รอบด้านเต็มไปด้วยน้ำฝน พร้อมกับเสียงฟ้าร้องและฟ้าแลบ เสียงที่เขาทำในคืนฝนตกนี้แท
ไม่เสียแรงเปล่าที่เขาแทงเจ้าอารามไปตั้งสองครั้งเขากางแขนเดินเข้าไปหาพวกนาง "ข้าก็อยากกอดด้วย!"เฉี่ยวหลิงเตะเขาออกไปอย่างรังเกียจ "ไปให้พ้น!"แต่นางรู้สึกขอบคุณที่เขาปรากฏตัวในคืนนี้ การเตะครั้งนี้จึงนุ่มนวลกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัดปู๋เยี่ยโหวหัวเราะลั่น "ข้าไม่ไป!"เฟิ่งชูอิ่งมองปู๋เยี่ยโหวแวบหนึ่ง ปู๋เยี่ยโหวในยามนี้ดูจะอ่อนโยนมากกว่ายามปกติปู๋เยี่ยโหวพูดอย่างมีความสุข "เจ้าดูสภาพร่างกายอ่อนแอมาก ข้ามีเรือนอยู่แถวนี้ด้วย เจ้าไปพักฟื้นที่นั่นก่อนสิ""ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่บอกจิ่งโม่เยี่ยเรื่องนี้แน่นอน"เขารู้สึกว่าตัวเองเก่งกาจมาก ถึงจะยังไม่ได้แย่งคนรักของอีกฝ่ายมาเป็นของตนเองได้ แต่ก็ใกล้เคียงแล้วเฟิ่งชูอิ่งคิดถึงข้อเสนอของเขา สมบัติทุกอย่างของนางถูกจิ่งโม่เยี่ยยึดเอาไปหมดแล้ว ตอนนี้นางไม่มีอะไรติดตัวเลย ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้งร่างกายของนางตอนนี้อ่อนแอมาก ขาก็หัก ต้องหาที่พักฟื้นสักระยะเฉี่ยวหลิงเป็นวิญญาณร้าย ทำอะไรได้แบบไม่มีข้อจำกัดดังนั้นข้อเสนอของปู๋เยี่ยโหวจึงเหมาะสมที่สุดสำหรับนางในตอนนี้นางกำลังจะตอบตกลง แต่จู่ๆ ก็รู้สึกถึงพลังชั่วร้ายสายหนึ่งที่พ
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท