เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางกระตือรือร้นของเขาก็คิดขึ้นมาว่า ไหนๆ เขาก็ถ่อมาถึงที่นี่แล้ว อีกทั้งยังดูจะชอบเรื่องสนุกครึกครื้นด้วย ถ้างั้นก็ต้องใช้งานให้เต็มที่หน่อยนางยิ้มและกล่าวว่า “ข้ามีงานอย่างหนึ่งที่เหมาะสมกับพวกเจ้ามากเลย หากทำสำเร็จ รับรองว่าคึกคักแน่”ปู๋เยี่ยโหวรีบรวบพัดเก็บแล้วเอ่ยถามด้วยตาเป็นประกาย “ต้องทำอะไรหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งบอกเขาสองสามประโยค ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายวาววับทันที “ข้าจะไปเรียกคนมา เจ้าจัดการได้เลย”เขากล่าวจบก็ผิวปาก ชายชุดดำคนหนึ่งพลันกระโจนมาอยู่ข้างกายเขาเฟิ่งชูอิ่งเห็นแบบนั้นก็เลิกคิ้วเล็กน้อย นางว่าแล้วเชียว ตัวร้ายอย่างปู๋เยี่ยโหวจะไม่มีองครักษ์เงาอยู่ข้างกายได้อย่างไรนางจึงยิ้มให้ชายชุดดำคนนั้น “ลำบากเจ้าแล้ว”ชายชุดดำคนนั้นหันมองปู๋เยี่ยโหว ในตาฉายความลังเล ปู๋เยี่ยโหวจึงยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้เจ้าต้องเชื่อฟังนาง”ชายชุดดำฟังที่พวกเขาพูดจบ ชายชุดดำก็ใช้วิชาตัวเบาจากไปด้วยท่าทางหม่นหมองพอเขาไป ก็มีคนกลุ่มใหญ่ออกมาจากอารามเทียนอี้เฟิ่งชูอิ่งหันไปหาเจ้าอาวาส “ตอนนี้ได้เวลาแสดงฝีมือของเจ้าแล้ว”เจ้าอาวาสเดิมทีคิดว่าวันนี้คงไม่มีโอกาสชนะแล้ว เขาจึงคิดจะช่าง
เมื่อครู่เจ้าอาวาสยังวางท่าเป็นภิกษุผู้สูงส่ง บรรยากาศน่าเลื่อมใส พอเห็นว่าอีกฝ่ายจะลงมือทำร้ายกัน เขาก็ขี้ขลาดขึ้นมาทันตา ไม่พูดพร่ำทำเพลงและวิ่งไปหลบหลังเฟิ่งชูอิ่งพอเขาหลบแบบนี้ นักพรตชราหนวดเคราขาวจึงฟาดแส้ลงมาโดนเฟิ่งชูอิ่งแทน โดยไม่สนใจเลยว่านางจะเป็นแค่สตรีนางหนึ่ง แล้วก็ไม่สนด้วยว่านางจะเกี่ยวข้องหรือไม่อีกทั้งยังลงมือโหดเหี้ยมถึงขั้นกะฆ่าให้ตาย!ฟาดใส่นางตรงๆ แบบนี้ ถึงไม่ตายก็คงพิการเฟิ่งชูอิ่งหรี่ตาลงเล็กน้อย เหอะ ที่แท้นักพรตของอารามเทียนอี้ก็ไม่มีดีเลยสักตัว!นางเตรียมพร้อมอยู่แล้วจึงหมุนตัวหลบอย่างว่องไว ชักมีดสั้นออกมาแล้วแทงใส่อกของนักพรตชราหนวดเคราขาว ก่อนจะหยิบยันต์ออกมาฟาดใส่ร่างเขาสุดแรงนางรูปร่างบอบบางอ่อนแอ น่ารักน่าถนอมอย่างยิ่ง นักพรตชราหนวดเคราขาวจึงไม่คิดจะระวังนางแม้แต่น้อยเพราะว่านักพรตชราหนวดเคราขาวประมาทคู่ต่อสู้ นางถึงลงมือได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงสักนิดอีกทั้งการเคลื่อนไหวของนางว่องไวมาก คนรอบข้างยังไม่ทันเห็นชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นักพรตชราหนวดเคราขาวก็กลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้วจากนั้นนางก็กระชากมีดสั้นออกมาจากอกของนักพรตชราหนวดเคราขาว ยกสองขึ้นมาบัง
ปู๋เยี่ยโหว “......”เจ้าอาวาส “......”นางเล่นวางเพลิงหน้าบ้านคนอื่นเขา แล้วยังบอกว่ามาขอคำชี้แนะอีกนี่มันขอคำชี้แนะแบบไหนกัน เห็นชัดเลยว่าเป็นการมาพังบ้าน!เจ้าอาวาสแข้งขาอ่อน ยกมือขึ้นอุดปากนาง “ท่านบรรพบุรุษ เจ้าจะทำลายอารามเทียนอี้จนราบคาบเลยหรือ พวกเรารีบหนีกันเถอะ!”เฟิ่งชูอิ่งไม่พูดอะไร เพียงมองเจ้าอาวาสแน่นิ่งสายตาของนางไม่ได้คมกริบดุดัน แค่กลับทำให้เจ้าอาวาสเย็นหลังวาบเขาเอ่ยเสียงสั่น “อารามเทียนอี้มีคนอยู่ร่วมพัน ข้างล่างนั้นยังมีชาวนาอยู่อีกหลายพันคน“หากพวกเขาบุกเข้ามาพร้อมกันทั้งหมดล่ะก็ แค่พวกเขาถ่มน้ำลายกันคนละทีสองทีก็ทำพวกเราจมน้ำตายได้แล้ว!”เฟิ่งชูอิ่งปลอบใจเขา “ไม่ต้องกลัว หากเขาคิดจะฆ่าใครสักคนก็น่าจะเป็นเจ้า ไม่ใช่ข้าหรอก เพราะวันนี้คนที่มาหาเรื่องอารามเทียนอี้ก็คือเจ้า“ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ถึงขั้นมีคนตายแล้ว เจ้ากับพระลูกวัดหนีไม่พ้นปัญหานี้หรอก“ทรัพย์สินต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อให้ได้มา ทำแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จสิ!”เจ้าอาวาส “......”เจ้าอาวาส “!!!!!!”เขารู้สึกเข่าอ่อนขึ้นมาทันที!เขาสร้างบาปกรรมอะไรไว้ถึงต้องมาพบเจอกับนาง!ปู๋เยี่ยโหวยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ เขายื
ประกอบกับมีเจ้าอาวาสยืนข้างๆ นาง เขาจึงคิดว่าคนที่นักพรตเฒ่าชี้คือเจ้าอาวาสเขาถามเจ้าอาวาส “มิน่าล่ะท่านนักบวชถึงกล้ามาขอประลองฝีมือกับอารามเทียนอี้ ที่แท้ก็เพราะในมือมีสมบัติล้ำค่าอย่างหลิงเสวี่ยอยู่”เจ้าอาวาสได้เคยได้ยินชื่อของหลิงเสวี่ยมาก่อน มันคืออาวุธที่ร้ายกาจอย่างยิ่งมีดเล่มนั้นพลังทำลายไม่สูงมาก แต่หากคนที่ใช้มีดเล่มนั้นใช้วิชาควบคู่ไปด้วย วิชาของเขาจะมีพลานุภาพมากกว่าเดิมเกือบเท่าตัวได้ยินมาว่ามีดเล่มนั้นเป็นของเจ้าสำนักลี้ลับที่จากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนตอนนั้นคนที่นักพรตเฒ่าชี้แล้วบอกว่าหลิงเสวี่ยคือเฟิ่งชูอิ่ง แปดส่วนมีดเล่มนั้นต้องอยู่ในมือเฟิ่งชูอิ่งเขาสับสนไปหมด ทว่าสีหน้ากลับเศร้าหมองอย่างมากเขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “อาตมาไม่รู้จักหลิงเสวี่ยอะไรนั่นหรอก แล้วก็ไม่มีตัวช่วยอะไรด้วย วันนี้เพียงมาขอถกความรู้ด้วยเท่านั้น!”หวูเหวยจื่อได้ยินแบบนั้นก็แสยะยิ้ม ชี้ไปที่ศพซึ่งไหม้เกรียม “แล้วศพของนักพรตอารามเทียนอี้ของเขาจะอธิบายว่าอย่างไร?”เจ้าอาวาสท่องอมิตาพุทธ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เรื่องนี้ เหตุใดท่านหัวหน้าอารามเทียนอี้ไม่ลองถามตัวเองดูล่ะ“เพลิงกรรมจะลุกไหม้
“ท่านหัวหน้าอารามมีฐานะเป็นผู้นำของอารามแห่งนี้ หากไม่รู้การกระทำของพวกเขา แสดงว่าท่านหัวหน้าอารามไร้ความสามารถ“หากรู้แต่ไม่คิดจะควบคุมหยุดยั้ง เช่นนั้นก็เป็นการผิดต่อหลักศีลธรรม บาปกรรมหนักหนา!”กล่าวจบเขาก็ยกพระธรรมคำสอนออกมาเอ่ย บอกว่าการกระทำของหวูเหวยจื่อผิดตรงไหน ต่อไปจะต้องได้รับผลกรรมอย่างไรในฐานะเจ้าอาวาสประจำอาราม ยามปกติเขามักจะสั่งสอนพระลูกวัดเป็นประจำ แล้วยังต้องล้างสมองคนที่มาซื้อธูปเทียนเครื่องรางและยันต์คุ้มครองอีกการจะทำทั้งหมดนั้น ต้องมีฝีปากที่ยอดเยี่ยมอย่างมากซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เจ้าอาวาสเชี่ยวชาญมากที่สุด เขาจึงสั่งสอนหวูเหวยจื่อเสียยกใหญ่หวูเหวยจื่อกับนักพรตที่เหลือรู้สึกเหมือนมีเสียงวิ้งๆ ดังในหัว พวกเขาอยากจะทุบเจ้าอาวาสให้ตายๆ ไปเสีย ไอ้พระบ้านี้จะพูดมากไปถึงไหน!ทว่าพวกเขารู้ว่าในมือของเจ้าอาวาสมีหลิงเสวี่ยอยู่ แล้วศพของนักพรตที่ถูกเผาก็ยังกองอยู่ตรงนั้นหากพวกเขาเป็นฝ่ายลงมือ จุดจบของพวกเขาก็คงเหมือนกับศพพวกนี้แต่หากต้องทนฟังต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาก็รู้สึกเหมือนสมองจวนจะถูกคำสอนของเจ้าอาวาสเป่าจนระเบิด!พวกนักพรตทั้งหลายทำหน้าอมทุกข์ พวกเขาคิด
ตอนแรกพวกนักพรตไม่ได้สนใจเฟิ่งชูอิ่งสักเท่าไหร่ แต่พอได้ยินสิ่งที่นางพูดพวกเขาก็หันไปมองนางพร้อมกันนางคนเดียวกล้าท้าประลองกับพวกเขาทั้งหมดเลยหรือ?อวดดีเกินไปแล้ว!นักพรตคนนั้นคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป เอ่ยถามว่า “เจ้าแน่ใจนะ?”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “ฟ้าใกล้มืดแล้ว หากต้องประลองกันสามครั้งเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะมันจะเปลืองเวลาเกินไป มิสู้ตัดสินให้จบในครั้งเดียวไปเลย“หากชนะเจ้าแค่คนเดียว ก็คงจะวัดฝีมือของข้าไม่ได้ แล้วพวกเจ้าทุกคนก็คงไม่ยอมรับผลแต่โดยดี ดังนั้นพวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันหมดนั่นแหละ!”นางรูปร่างหน้าตาดูว่านอนสอนง่าย เหมือนเด็กสาวอ่อนหวานไร้พิษภัย แต่กลับพูดจาอวดดีอย่างมากนักพรตคนนั้นแสยะยิ้ม “เจ้าอย่าร้องไห้ทีหลังละกัน!”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “วางใจเถอะ ข้าจะทำให้พวกเจ้าร้องแทน”นักพรตพวกนั้น “......”พวกเขาไม่เห็นเฟิ่งชูอิ่งอยู่ในสายตาจริงๆ เพราะว่านางดูเป็นเด็กสาวหัวอ่อน และยังอายุน้อยเกินไปด้วยแม้เมื่อครู่นี้นางจะเป็นคนใช้เพลิงกรรมเผาพวกนักพรตเหล่านั้นจนตาย แต่พวกเขามองว่านั่นจะต้องเป็นฝีมือของเจ้าอาวาส มิใช่ฝีมือนางหรอกเขาเอ่ยเสียงเย็นชา “ไม่ต้องให้พวกศิษย์พี่พวกนั้
แต่ตอนนี้เขาแสดงบทบาทเป็นภิกษุผู้สูงส่งที่มีความคิดลึกล้ำยากหยั่ง การตอบสนองแบบนี้ก็นับว่าเหมาะสมกับบทบาทดีหวูเหวยจื่อมองเฟิ่งชูอิ่งด้วยความตกตะลึงอย่างมาก นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อยันต์อสนีบาตเป็นยันต์ที่น่ากลัวที่สุด แล้วก็เป็นยันต์ที่ปรมาจารย์ด้านยันต์วาดสำเร็จยากที่สุดเพราะว่ายันต์ประเภทนี้ต้องใช้ความสามารถที่สูงมาก คนทั่วไปมีเก็บไว้สักหนึ่งถึงสองแผ่นก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่าแล้ว สามารถใช้ในยามคับขันได้แต่เฟิ่งชูอิ่งกลับหยิบออกมาเป็นกอบเป็นกำเหมือนสินค้าขายส่งตามท้องตลาด ศิษย์สิบกว่าคนโดนยันต์อสนีบาตจากนางคนละหนึ่งแผ่นศิษย์ทั้งหมดที่เขาพาออกมาด้วย เดินออกมาด้วยเท้า แต่กลับถูกแบกกลับเข้าไปทุกรายเขามองเฟิ่งชูอิ่งแล้วถามว่า “เจ้าเอายันต์อสนีบาตมาจากไหนมากมาย?”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “ก็ต้องวาดขึ้นมาน่ะสิ”นางกล่าวจบก็หันมองเจ้าอาวาสแวบหนึ่ง “ท่านอาจารย์เป็นคนสอนข้าเอง”เจ้าอาวาสตัวสั่นเล็กน้อย แต่ไม่กล้าโต้แย้งคำพูดของนางทั้งสองคนสบตากัน จากนั้นก็แลกเปลี่ยนสายตากัน สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาคำพูดของนางดังก้องในหูของหวูเหวยจื่อ เขาพลันเข้าใจไปว่านัดบวชทุกคนในอารามส
ปู๋เยี่ยโหวบังเอิญมาพบนางที่กำลังเตรียมตัวจะไปหาเรื่องอารามเทียนอี้พอดี เขาก็เลยติดตามมาชมเรื่องสนุกพร้อมกับรอคอยโอกาสลงมือสมแล้วที่ถูกจิ่งสือเยี่ยนตราหน้าว่าเป็นบุคคลอันตรายในนิยาย เขาเป็นคนที่สร้างอันตรายได้ทุกหนแห่งจริงๆ!สิ้นเสียงของเขา นักเลงและอันธพาลเหล่านั้นก็ลงมือทุบตีทำร้ายคนทันทีพวกเขาส่วนมากไม่มีวรยุทธ์ แต่กลับมีประสบการณ์ต่อสู้อย่างโชกโชน อีกทั้งตอนทะเลาะวิวาทไม่สนใจกฎกติกา ไม่ว่าจะชั่วช้าไร้คุณธรรมแค่ไหนก็ทำหมดจิ้มลูกตา เตะอัดเป้า เขวี้ยงหินใส่ ขอแค่กระทืบนักพรตของอารามเทียนอี้จนเจ็บตัวได้ พวกเขาพร้อมจะใช้หมดทุกวิธีเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”ปู๋เยี่ยโหวขยับเข้ามาใกล้นาง “อารามเทียนอี้มีค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาอยู่ เจ้าทำลายค่ายกลแห่งนั้นทิ้งสิ พวกเราจะกวาดล้างอารามเทียนอี้ให้ราบคาบด้วยกัน”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเหล่ตามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตามความจริงว่า “ค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาสร้างจาการรวบรวมพลังของนักพรตทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน“ท่านโหวคิดว่าข้าเพียงคนเดียวสามารถทำลายได้หรือ?”ปู๋เยี่ยโหวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ลองดูหน่อยสิ ทำลายได้ย่อมดีที่สุด ทำลายไม่ได้ก็ยังได้กลั่นแก
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท