เนื่องจากในรถม้ามีพื้นที่ว่างอยู่ นางจึงเขียนยันต์เพิ่มอีกสักหน่อยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน นางจึงขนกระดาษยันต์ทั้งหมดกับพู่กันวาดยันต์ติดตัวมาด้วย เผื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นนางจะได้รับมือได้เดิมทีจิ่งโม่เยี่ยก็อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว พอหันไปเห็นนางก้มหน้าก้มตาเขียนยันต์โดยไม่สนใจตนเองสักนิด ก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่เฟิ่งชูอิ่งเอียงศีรษะกลับไปมองจึงเห็นว่าใบหน้าของเขามืดครึ้มยิ่งกว่าเดิมอีก นางจึงขยับไปอยู่ตรงมุมและพยายามหดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ทว่าสายตาของจิ่งโม่เยี่ยจับจ้องอยู่ที่นางตลอดเวลา ไม่ว่านางจะพยายามทำตัวเล็กสักแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์นางถูกเขามองจนรู้สึกอึดอัด จึงยกแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้นสูงๆ แล้วมุดศีรษะเข้าไปข้างใน ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเขียนยันต์ต่ออือ พอหางตาของนางมองไม่เห็นเขาแล้ว นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากทีเดียวจิ่งโม่เยี่ย “......”ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงตำหนักของพระสนมสวี่พระสนมสวี่เป็นพระชายาของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เพื่อปิดหูปิดตาผู้อื่น นางจึงไม่ได้พำนักอยู่ในวังหลวงและย้ายออกไปพักอยู่ที่คฤหาสน์แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับวังหลวงมากคฤหาสน์แห่งนั้นไม่นับ
เฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำว่าเทียนซือก็เผลอชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ขอถามสักหน่อย ท่านนักพรตคือเทียนซือของอารามเทียนอี้อย่างนั้นหรือ?”เทียนซือตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เทียนซือก็เป็นแค่คำเรียกขานของพวกอนุชนรุ่นหลังเท่านั้นเอง”กล่าวเช่นนี้เท่ากับยอมรับว่าเขาเป็นเทียนซือของอารามเทียนอี้จริงๆก่อนหน้านี้เฟิ่งชูอิ่งเพิ่งจะได้ยินเรื่องเทียนซือของอารามเทียนอี้มาจากผู้ดูแลโจว คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้พบอีกฝ่ายที่ตำหนักพระสนมสวี่นางจึงกล่าวว่า “เทียนซือดูแล้วเหมือนผู้มีบารมีสูงส่ง คาดว่าคงจะเชี่ยวชาญในวิชาเต๋าอย่างมาก“ช่วงก่อนหน้านี้ท่านอ๋องไม่ทันระวังจึงโดนสิ่งชั่วร้ายเล่นงาน พักหลังมานี้ดวงชะตาของเขาจึงย่ำแย่อย่างมาก“เทียนซือได้รับเชิญให้มาเข้าร่วมงานวันเกิดของพระสนมสวี่ แสดงว่าเป็นคนคุ้นเคยกันดี“เทียนซือพอจะช่วยปัดเป่าสิ่งอัปมงคลให้ท่านอ๋องได้หรือไม่?”นางพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาอย่างมาก ราวกับไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมดวงชะตาของจิ่งโม่เยี่ยถึงได้ตกต่ำขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งที่เป็นเช่นนี้ดูคล้ายเด็กสาวไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลก อีกทั้งยังเป็นห่วงเป็นใยจิ่งโม่เยี่ยจากใจก่อนหน้านี้เทียนซือเคย
จิ่งโม่เยี่ยหันไปถามนาง “เจ้าดูไม่ออกจริงๆ หรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันนึกบางอย่างออก นางหันมองเขาตาโต “คงไม่ใช่แบบที่ข้าคิดกระมัง?”จิ่งโม่เยี่ยยกมุมปากเป็นรอยยิ้มจางๆ “ก็น่าจะเป็นแบบที่เจ้าคิดนั่นแหละ”เฟิ่งชูอิ่งทนไม่ไหวหลุดอุทานหยาบคายออกมา ก่อนถามว่า “ท่านอ๋องทราบได้อย่างไรเพคะ?”บนโลกนี้มีคำสาปอยู่หลายประเภทมาก หนึ่งในนั้นเป็นวิชาทับซ้อนคำสาปชนิดนี้หากมองผิวเผินจะดูเหมือนกับคำสาปธรรมดาทั่วไป แต่มันกลับสามารถโอนย้ายความโชคร้ายและความเจ็บป่วยของผู้ใช้คำสาปทั้งหมด ไปยังตัวผู้ที่โดนคำสาปได้หรือก็คือ หากเทียนซือถูกคนฟันหนึ่งแผล เขาจะไม่เป็นอะไร ส่วนแผลจากการถูกฟันจะปรากฏขึ้นบนร่างของจิ่งโม่เยี่ยแทนหากเทียนซือเกิดป่วยขึ้นมา ตัวเขาก็จะไม่มีอาการเจ็บไข้ใดใด ทว่าโรคภัยไข้เจ็บเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับจิ่งโม่เยี่ยแทนในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าจิ่งโม่เยี่ยจะบาดเจ็บหรือป่วยไข้ ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อเทียนซือแม้แต่นิดเดียวจิ่งโม่เยี่ยเพียงปรายตามองเฟิ่งชูอิ่งแวบหนึ่ง ทั้งที่เขาไม่ได้ตอบคำถามของนาง แต่นางกลับเข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อได้ในพริบตาครั้งก่อนที่จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าคนที่ได้ประโยชน์จากคำสาปขอ
นางกำลังจะขยับเข้าไปบอกให้เขาฟังอีกรอบ แต่กลับมีนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามา “ท่านอ๋องฉู๋ แม่นางเฟิ่ง พระสนมสวี่รอพวกท่านอยู่นานแล้วเพคะ”เมื่อการดีดลูกคิดรางแก้ว[footnoteRef:1]ของจิ่งโม่เยี่ยถูกขัดขวาง เขาจึงปรายตามองนางกำนัลคนนั้นอย่างเย็นชา [1: การคิดคำนวณที่ทำให้ตนเองได้ประโยชน์สูงสุด] เฟิ่งชูอิ่งกลับรู้สึกท้อใจเล็กน้อย จิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ฟังสิ่งที่นางพูด คาดว่าคงจะร่วมมือทำตามแผนการของนางไม่ได้แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ คงต้องใช้วิธีการอื่นรับมือไปก่อนนางครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหยิบของบางอย่างออกมาแล้วยัดใส่ในสายรัดเอวของจิ่งโม่เยี่ยจิ่งโม่เยี่ยหันมองนางเล็กน้อย นางจึงส่งยิ้มบางๆ ให้เขา เป็นรอยยิ้มที่อ่อนหวานน่ารักอย่างมากถึงเขาจะรู้ว่ารอยยิ้มของนางเป็นของปลอม แต่เขากลับมองว่ามันลื่นหูลื่นตามิเบา สีหน้าแววตาที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดพลันอ่อนโยนลงสามส่วนพระสนมสวี่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมองเห็นท่าทางของทั้งสองคน ภายในแววตาของนางพลันดุร้ายขึ้นมาหลายส่วนก่อนหน้านี้นางไม่คิดจะเก็บเฟิ่งชูอิ่งมาใส่ใจ ทว่าตอนนี้พอได้เห็นทั้งสองเคียงคู่กัน กลับรู้สึกว่าทั้งสองคนเหมาะสมกันมากเสียอย่างนั
เฟิ่งชูอิ่งเผลอตัวตรวจดวงชะตาของเขาในเสี้ยวพริบตาถัดมา ลัคนาของเขาเป็นสีดำสนิท เป็นดวงชะตาแห่งความตายนางจึงตรวจลัคนาอื่นๆ บนใบหน้าของเขาว่าเป็นอย่างไร ก่อนจะเงียบสนิทไปเลยเพราะดวงชะตาของเขาบอกว่าจะตายตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าสภาพร่างกายจะเป็นอย่างไร แต่สภาพดวงชะตาของเขาล้วนย่ำแย่ถึงขีดสุดลัคนาเดียวที่ดีของเขาคือมีบิดามารดา นางมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาได้รับการรักใคร่โปรดปรานอย่างยิ่งนิสัยของเขาเป็นคนมืดมนอึมครึม ขี้หวาดระแวง อารมณ์รุนแรงไม่คงที่ทว่าสภาพร่างกายของเขาย่ำแย่อย่างมาก แต่กลับมีดวงชะตาของคนอื่นมาพัวพัน ทำให้มีพลังชีวิตแอบแฝงอยู่บางส่วนเฟิ่งชูอิ่งรู้ว่าพลังงานชีวิตและดวงชะตาที่เขามีอยู่เป็นของจิ่งโม่เยี่ย เพียงแต่มันเป็นการขโมยมา มันจึงเข้ากับดวงชะตาของเขาไม่ค่อยได้พระสนมสวี่พูดจาอ่อนหวานไต่ถามเขาไม่ห่างกาย ดวงตาของเขากลับฉายแววรำคาญและรังเกียจพระสนมสวี่ไม่ถือสาหาความท่าทางของเขาสักนิด นางยื่นเตาอุ่นมือให้เขาแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “มือของเขาคงจะเย็นแล้ว รับนี่ไปสิ”เฟิ่งชูอิ่งเพิ่งจะสังเกตเห็นการแต่งตัวของเขา ตอนที่ใกล้เทศกาลบ๊ะจ่างแล้ว อากาศเริ่มจะอบอุ่น แต่เขากลับยังสวมใส่อา
พระสนมสวี่ทำเรื่องชั่วช้าสามานย์ นางอาศัยฐานะมารดา ทำให้จิ่งโม่เยี่ยโต้ตอบกลับได้ยากแต่หากต้องการจัดการใครสักคน หลายๆ ครั้งก็ไม่จำเป็นจะต้องลงมือด้วยตัวเองพระสนมสวี่โหดเหี้ยมกับจิ่งโม่เยี่ยอย่างมาก แต่นางกลับปฏิบัติต่อองค์ชายสิบสามเหมือนแก้วตาดวงใจพระสนมสวี่คงไม่รู้หรอกว่า นับตั้งแต่ตอนที่นางขโมยโชคชะตาของจิ่งโม่เยี่ยไปให้องค์ชายสิบสาม จิ่งโม่เยี่ยกับองค์ชายสิบสามก็เกิดสายสัมพันธ์ที่พิเศษบางอย่างขึ้นมาจิ่งโม่เยี่ยมิใช่คนที่จะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลังจากพบว่าตนเองฆ่าเทียนซือไม่ได้ ก็ไปหาองค์ชายสิบสามทันทีเพราะว่ามีสายสัมพันธ์ที่พิเศษนี้อยู่ ดังนั้นใช้กลอุบายเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้องค์ชายสิบสามเชื่อฟังเขาทุกอย่างได้แล้วพวกเขาสามคนแม่ลูกจึงตกอยู่ในวงจรความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดพระสนมสวี่ทำร้ายจิ่งโม่เยี่ย องค์ชายสิบสามทำร้ายพระสนมสวี่ จิ่งโม่เยี่ยเพียงยืนมองเรื่องสนุกวันนี้เขาพาเฟิ่งชูอิ่งมาหาพระสนมสวี่ แท้จริงแล้วเพราะอยากพานางมาดูความน่าสมเพชของพระสนมสวี่จิ่งโม่เยี่ยตอนสังหารคนลงมือได้อย่างเด็ดขาด ตอนไม่ฆ่าคนกลับมีกลอุบายที่ร้ายกาจยิ่งกว่าการสังหารตรง
เฟิ่งชูอิ่ง “.....เพคะ”นางกล่าวจบก็ทำท่าช่วยจิ่งโม่เยี่ยจับปอยผมที่หลุดลุ่ยออกมาไปทัดที่หลังใบหูจิ่งสือเยี่ยนที่เดินเข้ามาใกล้จึงตะโกนเรียก “พี่สาม!”เฟิ่งชูอิ่งคิดจะชักมือกลับมา แต่กลับถูกจิ่งโม่เยี่ยคว้าเอาไว้ เขาใช้สายตาข่มขู่มองมาทางเฟิ่งชูอิ่งแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปหาจิ่งสือเยี่ยนเฟิ่งชูอิ่ง “......”นางคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยต้องป่วยแน่!แล้วจิ่งสือเยี่ยนเจ้าโง่นั่นก็ดันมองไม่เห็นความเป็นศัตรูของจิ่งโม่เยี่ย ยังคงยิ้มแย้มทักทายนางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเอานางแทบหัวใจวาย เทียนซือเดินเข้ามากล่าวว่า “อาหารจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เชิญพระสนมกับองค์ชายทั้งหลายเข้าไปนั่งเถอะพ่ะย่ะค่ะ”ใบหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างหนักของพระสนมสวี่จึงเปลี่ยนไปอีกครั้ง นับว่าแสดงได้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นนางยิ้มแล้วเอ่ยกับทุกคน “อย่ามัวแต่ยืนกันตรงนั้นเลย เข้าไปรับประทานอาหารที่หอซือหย่าเถอะ!”นางพูดประโยครับแขกอีกสองสามประโยค ท่าทางดูเหมือนผู้ใหญ่ที่อ่อนโยนคนหนึ่งองค์ชายทั้งหลายก็ตอบกลับพระนางด้วยประโยคตามมารยาท ดูเผินๆ แล้วเหมือนจะชื่นมื่นสุขสันต์ จิ่งสือเฟิงเหลือบมองเฟิ่งชูอิ่งกับจิ่งโม่เยี่ยแวบหนึ่ง แค่นเสีย
ก่อนหน้านี้เฟิ่งชูอิ่งคาดเดาไว้แล้วว่าพระสนมสวี่กับเทียนซือจะต้องลงมือแน่ แต่นางไม่คิดว่าพวกเขาจะลงมือตั้งแต่ตอนนี้การที่พวกเขาใช้วิธีการเช่นนี้ลงมือตั้งแต่แรก อยู่เหนือความคาดหมายของนางไปมาก แต่อีกนัยหนึ่งก็พอจะเข้าใจได้เพราะว่าคำสอนที่อารามเทียนอี้เผยแพร่สู่ภายนอกเป็นเช่นนี้ ‘มีเพียงผู้ที่จิตใจสกปรกเท่านั้นถึงจะดึงดูดสิ่งชั่วร้ายเข้าหาตัวเอง’ประตูบานนี้คนอื่นสามารถผ่านเข้าไปได้โดยไม่เกิดเรื่อง หากตอนที่พวกเขาก้าวเข้าไปเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ก็แปลว่าพวกเขาเป็นคนจิตใจสกปรก ถึงได้เรียกสิ่งชั่วร้ายเข้าหาตัวเรื่องแบบนี้พอเฟิ่งชูอิ่งลองมาคิดๆ ดูแล้ว มันก็เหมาะกับกลวิธีของพระสนมสวี่และเทียนซือพอดีทำเรื่องชั่วช้าแต่กลับประกาศว่าตัวเองเป็นคนดี ทั้งสารเลวและต่ำช้าหากเป็นคนทั่วไปพบเจอเรื่องเช่นนี้ ต่อให้ไม่ถูกพวกเขาฆ่าตาย ก็เกรงว่าต้องกลัวจนหัวใจวายตายอยู่ดี น่าเสียดายตรงที่ พวกเขาดันต้องมาเจอกับเฟิ่งชูอิ่งถึงตอนนี้นางจะไม่มีวิธีประจันหน้ากับเทียนซือตรงๆ แต่นางยังมีพื้นฐานอยู่ครบถ้วน ดังนั้นการจัดการของพรรค์นี้จึงไม่นับเป็นปัญหาอะไรไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่วันนี้นางเตรียมการรับมือมาอย่างดี
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท