ฮวาซื่อสีหน้าหมองคล้ำ นางถลึงตาใส่เฟิ่งชูอิ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้า...เจ้าจะยั่วโมโหข้าให้ตายเลยหรือไง!”ตอนนี้นางไม่รู้แล้วว่าจะต้องพูดอะไรดีทั้งที่เฟิ่งชูอิ่งยอมรับว่าเป็นคนทำร้ายนางแท้ๆ แต่วิธีการสารภาพผิดของเฟิ่งชูอิ่งมันมีปัญหา เพราะมันยิ่งทำให้เรื่องที่นางรังแกเฟิ่งชูอิ่งดูน่าเชื่อถือยิ่งกว่าเดิมนางหันมองสีหน้าของชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เป็นอย่างที่คิดเลย สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว!เฟิ่งชูอิ่งกล่าวด้วยท่าทางหวาดกลัว “ข้า...ข้าไม่ได้จะยั่วโมโหท่านป้านะเจ้าคะ....หาก.....“หากท่านป้าไม่รู้จะระบายโทสะกับใคร ท่านก็มาตบตีข้าเหมือนที่เคยทำดีไหมเจ้าคะ?”ฮวาซื่อ “......” ฮวาซื่อ “!!!!!!”นางรู้ว่าวิธีการที่เฟิ่งชูอิ่งใช้เป็นกลยุทธ์ทั่วไป ที่มักจะพบเจอได้ในการทะเลาะกันเองภายในครอบครัว หากมองให้ลึกซึ้งอีกสักหน่อยก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้นางที่เป็นเหยื่อโจมตีโกรธจนควันออกหูได้อยู่ดีนางโกรธจนอยากจะเงื้อมือตบเฟิ่งชูอิ่งสักฉาด เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริก ยกมือขึ้นกุมศีรษะทว่าไม่กล้าหลบแม้แต่น้อยจิ่งโม่เยี่ยที่อยู่ข้างๆ จึงขวางฮวาซื่อไว้ กล่าวอย่างเนิบช้าว่า “ตอนนี้นางเป็นว่าที
นางคิดว่าบทที่พูดออกไปช่างยอดเยี่ยมมาก นางจะทำให้เฟิ่งชูอิ่งได้ลิ้มลองความคับแค้นใจที่นางต้องลิ้มรสเมื่อครู่นี้บ้างภายใต้สถานการณ์ทั่วไป หัวหน้าศาลจะต้องไว้หน้านาง และยอมเออออไปกับคำพูดของนางแต่วันนี้หลังจากหัวหน้าศาลถูกมารดาแซ่เฉินหลอกหลอนจนเสียขวัญ เขาก็เชื่อประโยคที่เหนือศรีษะสามฉื่อมีเทพเทวา[footnoteRef:1]ขึ้นมาทันที [1: หมายถึงจะกระทำสิ่งใดดีหรือร้ายต้องระวังตัวให้ดี เพราะเหนือหัวไปแค่สามฟุตมีเทพเฝ้ามองอยู่] วันนี้เกรงว่าเขาจะช่วยเหลือฮวาซื่อไม่ได้แล้ว มิฉะนั้นตกดึกมารดาแซ่เฉินจะต้องมาหาเขาแน่!เขาจึงเอ่ยด้วยใบหน้ามืดครึ้ม “ฮวาซื่อเป็นผู้ต้องสงสัยวางยาพิษมารดาแซ่เฉินจนตาย ทหาร จับตัวฮวาซื่อไปขังไว้”เหตุการณ์ที่พลิกผันเช่นนี้ ทำเอาฮวาซื่อตกใจจนทำตัวไม่ถูก “ใต้เท้า ท่านเข้าใจผิดอะไรหรือไม่?“คนที่เป็นฆาตรกรคือเฟิ่งชูอิ่งกับท่านอ๋องฉู่ต่างหาก มิใช่ข้านะเจ้าคะ!”หัวหน้าศาลเอ่ยเสียงกดต่ำ “เรื่องนี้ข้าสืบสวนอย่างละเอียดแล้ว เมื่อคืนนี้มีบ่าวหญิงคนหนึ่งจากจวนสกุลหลิน ซื้อตัวเจ้าหน้าที่เวรดึกเพื่อวางยาพิษฆ่ามารดาแซ่เฉิน“อีกอย่างเมื่อคืนเฟิ่งชูอิ่งก็ไม่ได้อยู่ที่จวนสกุลหลิน ดังนั้นเ
“ช่วงนี้ชูอิ่งจะพักอยู่ที่จวนอ๋องฉู่ก่อน เอาไว้ใต้เท้าหลินจัดการธุระในจวนสกุลหลินเสร็จสิ้นแล้ว ค่อยมารับชูอิ่งกลับไป”เขากล่าวจบก็จูงมือเฟิ่งชูอิ่งไปทางรถม้าเฟิ่งชูอิ่ง “......”เดี๋ยวสิ นางลงทุนลงแรงได้ตั้งมากมาย ก็เพื่อจะย้ายกลับมาที่จวนสกุลหลินนะ แต่ทำไมเขาพูดแค่ไม่กี่ประโยค ก็ทำแผนการนางละลายหายเหมือนฟองสบู่ได้แล้วล่ะนางรีบเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกัน ข้าอาศัยอยู่ที่จวนท่านอาจจะถูกคนติฉินนินทาได้นะเพคะ”จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้าไม่กลัว”เฟิ่งชูอิ่ง “......”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวอีกว่า “ใครกล้าพูดจาส่งเดช ข้าจะเชือดมันผู้นั้นเอง!”เฟิ่งชูอิ่งอยากจะดิ้นรนอีกสักหน่อย เขากลับโน้มตัวมากระซิบข้างหูนางว่า “เจ้าคิดว่ากลับมาที่จวนสกุลหลินแล้วเจ้าจะหนีพ้นหรือ?“หากข้าจะอยากฆ่าเจ้าหรือว่าอยากนอนกับเจ้าจริงๆ ล่ะก็ เจ้าอยู่ที่ไหนมันก็ไม่ต่างกันหรอก”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ไอ้คนลามก!จิ่งโม่เยี่ยกล่าวจบก็ปล่อยมือนาง ตัวเองก้าวเดินฉับๆ ไปขึ้นรถม้าโดยไม่หันกลับมามองนางเลยเพราะเขารู้ว่าเดี๋ยวนางก็วิ่งตามเขามาเองเฟิ่งชูอิ่งกัดฟันกรอดๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันไปบอกกับหลินชูเจิ้งว่
ตอนแรกจิ่งโม่เยี่ยรู้สึกหงุดหงิดมาก แต่พอเห็นท่าทางตื่นเต้นของนางแล้ว กลับรู้สึกว่ามันดูน่าตลกดีเขาถาม “เจ้าจะจัดการนางอย่างไร?”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “ยังไม่ได้คิดเลย แต่ข้ามั่นใจว่าสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขารู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเขาเตือนนางว่า “เจ้าอย่าลืมนะ ข้างกายนางมีคนที่เชี่ยวชาญวิชาเต๋าอยู่ ครั้งก่อนเจ้าก็แอบเสียเปรียบไปทีหนึ่งแล้ว”เฟิ่งชูอิ่งระบายยิ้มบางๆ “ก็เพราะครั้งที่แล้วเสียเปรียบไงเพคะ ครั้งนี้ถึงต้องทวงคืน“เล่นอุบายสกปรก ข้าก็ทำเป็นเหมือนกันนั่นแหละ!”ตอนนี้นางเสียเปรียบที่ร่างกายนี้ยังอ่อนแออยู่มาก ประกอบกับเพิ่งจะเรียนวิชาเต๋าได้เพียงไม่นาน ยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับนักไสยเวทที่เชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งแบบนั้นมิฉะนั้น นางคงบุกไปถึงที่แล้วจิ่งโม่เยี่ยสาดน้ำเย็นดับฝันนาง “ข้าไม่เคยเห็นใครใช้กลอุบายสกปรกเล่นงานคนอื่นได้ โดยที่ไม่เตรียมรับมือมาล่วงหน้าเลย”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะแห้งๆ “ไม่จริงเพคะ ท่านอ๋องเคยเจอ แล้วก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย”นางกล่าวจบก็เขียนคำว่า ‘หวางปา’ กลางอากาศจิ่งโม่เยี่ย “......”ก็จริง นางแปะยันต์ใส่เขาโดยที่ไม่ทันตั้งตัวมาตั้
“ต่อให้มีผีไปตามรังควาน เขาก็มองไม่เห็นอยู่ดี”เจ้าอาวาสถาม “แล้วถ้าหากเจอผีแบบเฉี่ยวหลิงที่มีร่างจริง แล้วยังใช้พลังทำเรื่องต่างๆ ได้อีกล่ะ เขามองไม่เห็นแต่ก็รับรู้ได้นะ!”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาเหมือนเป็นคนโง่แล้วบอกว่า “งั้นเจ้าก็บอกเขาไปว่าเขาเจอวิญญาณร้ายที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง ต้องทำพิธีปัดเป่าครั้งใหญ่ จากนั้นก็ขึ้นราคายันต์คุ้มครองให้สูงกว่าเดิม“ถึงตอนนั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย รับรองว่าวิญญาณร้ายตัวนั้นจะยอมเชื่อฟังแต่โดยดี แล้วเจ้ายังจะได้เงินมหาศาลอีกด้วย ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจหรอกหรือ?”เจ้าอาวาส “......”เขาเกือบลืมไปแล้ว ว่าตอนนี้เขาผู้มีช่วยที่เก่งกาจอย่างยิ่งอยู่ด้วยทั้งคนเขายกนิ้วโป้งให้นาง “สุดยอด!”เฟิ่งชูอิ่งยกยิ้มมุมปาก “หากข้าออกโรงจะต้องจ่ายค่าเสียเวลามาด้วย ข้าเจ็ดเจ้าสาม”เจ้าอาวาส “....ได้!”จิ่งโม่เยี่ยเห็นทั้งสองคนคุยกันท่าทางสนุกสนานก็แอบหงุดหงิด เขาจึงคว้าตัวของเฟิ่งชูอิ่งออกมาเขาเอ่ยถามเสียงเย็นชา “เจ้าต้องไปเตรียมตัวก่อนมิใช่หรือ?”เฟิ่งชูอิ่งสะบัดมือเขาออก แต่สะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด จึงเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าก็กำลังเตรียมอยู่ไงเพคะ!”นางกล่าวจบก็หันไปถามเจ้าอาวาส “คนที่ทำร้
จิ่งโม่เยี่ยไม่อยากเสวนากับนางจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “ตอนนี้เจ้าก็ได้พบข้าสมใจแล้ว เพราะฉะนั้นกลับไปซะ”ตั้งแต่พระสนมสวี่ใช้มีดแทงหัวใจเขาวันนั้น เขาก็มองนางไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปนางไม่มองจิ่งโม่เยี่ยและหันไปทางเฟิ่งชูอิ่งแทน “เยี่ยเอ๋อร์เป็นคนปากร้ายใจดี เจ้าไม่ต้องหวาดกลัวเขาหรอก ความจริงแล้วเขาเป็นคนดีมากเลยล่ะ”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้าเบาๆ “อื้อ ข้ารู้ว่าท่านอ๋องเป็นคนดีมากเพคะ”นางกล่าวจบก็ทำหน้ามีความสุข “ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านอ๋องมาก หากไม่มีเขาอยู่ด้วย ข้าคงถูกคนฆ่าตายกลางถนนไปแล้ว“นอกจากเขาจะช่วยเหลือข้าแล้ว ยังพาข้ามาปกป้องคุ้มครองถึงที่จวนอ๋อง ข้ามีความสุขมากเพคะ”นางเอ่ยจบก็หันมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยท่าทางเขินอายในมุมมองของพระสนมสวี่ นางคิดว่าเฟิ่งชูอิ่งน่าจะหลงรักจิ่งโม่เยี่ยแบบหัวปักหัวปำนางรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก จิ่งโม่เยี่ยควรจะโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต ไม่มีใครรัก ไม่มีใครต้องการกระนั้นใบหน้านางกลับมีรอยยิ้มบางๆ “เยี่ยเอ๋อร์ที่เป็นเหมือนท่อนไม้ซื่อบื้อก็หัดมีความรักกับเขาแล้วสินะ รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นด้วย”“ก่อนหน้านี้ข้าเป็นห่วงเขามากที่สุดเลยล่ะ ตอนนี้เห็นพวกเจ้าสองคนรั
นางคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ดูท่าทางไร้เดียงสาอย่างเฟิ่งชูอิ่ง จะกล้าดึงปิ่นออกจากศีรษะของนางโดยตรงเช่นนี้นางพลันตวาดด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “เจ้าไร้การอบรมหรืออย่างไร? มีอย่างที่ไหนมาหยิบฉวยสิ่งของของผู้ใหญ่เช่นนี้?”นางกล่าวจบก็ทำท่าจะคว้าปิ่นคืนมาจากมือของเฟิ่งชูอิ่งจิ่งโม่เยี่ยกลับคว้ามือของนางเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ไหนว่าท่านชื่นชมชูอิ่งนักหนาไง? แล้วท่านก็เป็นคนถามนางเองว่าอยากได้อะไรเป็นสินสอด“ทำไมล่ะ? ผ่านไปพริบตาเดียวก็คิดจะกลืนน้ำลายตัวเองแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งทำท่าตื่นตระหนกเสียขวัญ นางยื่นปิ่นคืนให้พระสนมสวี่แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพระสนมสวี่ตัดใจจากปิ่นชิ้นนี้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องการมันแล้วเพคะ”พระสนมสวี่แค่นเสียงในลำคอ ยื่นมือออกไปรับปิ่นชิ้นนั้นคืนมา ทว่ามือของนางยังไม่ทันจะได้สัมผัสปิ่น เฟิ่งชูอิ่งก็เผลอปล่อยมือเสียก่อนปิ่นจึงตกลงพื้นจนเกิดเสียงดัง ‘กริ๊ง’ใบหน้าพระสนมสวี่บึ้งตึงขึ้นมาทันที เฟิ่งชูอิ่งกระวีกระวาดเก็บปิ่นแล้วยื่นให้นางอีกครั้ง “คืนพระสนมเพคะ”พระสนมสวี่รับปิ่นคืนมามองตรวจดูอย่างละเอียด เมื่อไม่มีปัญหาหรือสิ่งผิดปกติอะไร นางก็เสียบปิ่นไว้บนศีรษะเหมือนเดิมน
ทันทีที่พระสนมสวี่ถูกไม้เท้าฟาดศีรษะ นางก็รู้สึกวิงเวียนเหมือนโลกหมุน!ในสมองของนางมีเสียง ‘วิ้ง วิ้ง’ ดังก้อง ภาพเบื้องหน้าคล้ายมีดวงดาวระยิบระยับนางยกมือขึ้นจับศีรษะ ปรากฏว่ามีเลือดติดมาเต็มมือนางกรีดร้องเสียงแหลมออกมาอย่างเหลืออด “เลือด!”เจ้าอาวาสกรอกตาไปมาเล็กน้อย แสร้งทำทีเป็นพะว้าพะวงว่า “ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายท่าน!”“เจ้าปีศาจ จงตายเสียเถอะ!”เขากล่าวจบก็วิ่งผ่านพระสนมสวี่ ห้อตะบึงไล่ตามไปทางเฉี่ยวหลิงเฉี่ยวหลิงเก็บลูกตาของตนเองขึ้นมาแล้วเขวี้ยงใส่เขา “มารดาเจ้าสิปีศาจ ไสหัวไป!”เจ้าอาวาส “!!!!!!”ความจริงแล้วดวงตาของนางไม่สามารถสัมผัสร่างกายคนได้ แต่มันสามารถเบี่ยงเบนความสนใจได้อย่างดีเยี่ยมเลย!เจ้าอาวาสตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องเกลี้ยกล่อมเฟิ่งชูอิ่ง ให้ส่งเฉี่ยวหลิงกลับสู่วัฏสงสารให้ได้ จากนั้นค่อยกำราบวิญญาณร้ายที่มีสามัญสำนึกมากกว่านี้หน่อยเฟิ่งชูอิ่งเห็นการกระทำของเฉี่ยวหลิงก็แอบปวดหัวเบาๆ นังเด็กคนนี้ชอบทำลูกตากับคางหล่นเป็นว่าเล่น หากขวัญอ่อนสักนิดหนึ่ง ทุกคนที่เห็นนางคงได้หวาดกลัวจนเสียสติหมดเฟิ่งชูอิ่งรู้ว่าตอนนี้ได้เวลานางออกโรงบ้างแล้ว จึงรีบร้อนเอ่ยกับพระ
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท