ช่วงพักกลางวันในย่านธุรกิจใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า บนท้องถนนมีรถราที่แน่นขนัด ส่วนริมทางเดินก็ขวักไขว่ไปด้วยพนักงานของบริษัทต่าง ๆ ที่ออกมาหาอาหารมื้อกลางวันรับประทาน
ใยไหม หญิงสาวร่างเล็กใบหน้าหมดจดเดินมากับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน พวกเธอกำลังเดินกลับออฟฟิศหลังจากรับประทานมื้อกลางวันกันเสร็จแล้ว พลันสายตาเธอดันไปเห็นรถเข็นขายผลไม้เข้า “พวกเธอขึ้นไปก่อนได้เลย เดี๋ยวเราไปซื้อผลไม้ก่อน” เธอบอกกับเพื่อนก่อนที่จะแยกย้ายกันออกไป เธอเดินตรงไปเลือกผลไม้สองสามอย่างและให้แม่ค้าคิดเงิน “ทั้งหมดเท่าไหร่คะป้า” “สี่สิบบาทจ้ะ” เธอเปิดกระเป๋าสตางค์แล้วแล้วจะควักเงินจ่าย ในนั้นมีแบงก์พันหนึ่งใบ แบงก์ห้าร้อยหนึ่งใบ แบงก์ยี่สิบอีกหนึ่งใบ นอกนั้นเป็นเหรียญซึ่งมีมากพอสมควร นิสัยอย่างหนึ่งของหญิงสาวคือไม่ชอบแตกแบงก์ เนื่องจากเงินหายาก เธอเลยตั้งใจเก็บแบงก์ใหญ่ให้นานที่สุด เธอจึงค่อย ๆ นับเหรียญ พอนับครบแล้วเธอก็ยื่นส่งให้แม่ค้า แต่ตอนที่วางเงินให้แม่ค้าเธอดันทำเหรียญบาทหล่นไปเหรียญหนึ่ง แน่นอนคนรู้จักค่าของเงินอย่างเธอต้องตามไปเก็บอย่างแน่นอน เธอกวาดสายตามองไปที่พื้น มันตกแล้วกลิ้งไปไปไกลพอสมควร “แป๊บนะป้า เหรียญบาทหล่นไปเหรียญนึง ขอหนูไปเก็บก่อน” “ไม่เป็นไรหนูแค่บาทเดียวเอง” “ไม่ได้ค่ะป้า เงินหายาก บาทเดียวก็มีค่า” เธอบอกแม่ค้าเสร็จก็เดินไปที่ริมถนนเพื่อจะเก็บเหรียญที่ตกอยู่ ตอนที่เธอกำลังก้มเก็บ ทันใดนั้นรถจักรยานยนต์คันหนึ่งก็พุ่งเข้ามา โครม!!! ภาพทุกอย่างดับวูบโดยพลัน… นี่คืออาหารทั้งหมด ที่กูเหนียงน้อยนางหนึ่งจะกินได้จริง ๆ หรือ บุรุษผู้มีท่าทางโอ่อ่าสมเป็นคุณชายตระกูลสูง หมายมั่นปั้นมือจะเอาอกเอาใจกูเหนียงน้อยผู้เลื่องลือด้านความงดงามไปทั่วไท่หยวน เมืองหลวงแห่งแคว้นจงหยวน เขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เมื่อเห็นอาหารทั้งหมดที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ในโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่ง ขึ้นชื่อเรื่องความใหญ่โตหรูหราและราคายังสูงเป็นอันดับหนึ่งของเมืองด้วยเช่นกัน อาหารของที่นี่ว่ากันว่ารสชาติความอร่อยไม่แพ้อาหารในพระราชวังเลยทีเดียว หรืออาจจะล้ำเลิศกว่าก็เป็นได้ เนื่องจากมีเหล่าเชื้อพระวงศ์เสด็จแวะเวียนมาเป็นประจำ เถ้าแก่เจ้าของร้านละทิ้งงานทุกอย่างและลูกค้าทุกคน ตรงรี่เข้ามาคอยบริการสองหนุ่มสาวที่แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ ด้วยรู้ว่าวันนี้ตนเองจะได้รับทรัพย์อื้อซ่าแน่นอน “แน่ใจหรือว่าเจ้าจะกินหมด” ซ่งเฉียนจินบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของคหบดีซ่งเอ่ยถามเสียงเบา พยายามจะไม่ให้เป็นการเสียมารยาท แต่ทั้งอาหารเรียกน้ำย่อย เป็ดตัวอ้วนพี ไก่อบ เนื้อสัตว์ที่เลือกแต่ส่วนอร่อยนุ่มลิ้น ปลานึ่ง ขาหมู เนื้อตุ๋นยาจีน รวมทั้งอาหารง่าย ๆ อย่างผัดผัก น้ำแกง หมั่นโถวและซาลาเปา ล้วนดูมากเกินไป สำหรับสตรีที่ตัวเล็กกว่าบุรุษทั่วไปเกือบครึ่ง “หากข้ากินไม่หมด ก็แบ่งให้บ่าวรับใช้ทั้งจวนก็ได้นี่เจ้าคะ” นางใช้ตะเกียบคีบเนื้อไก่เข้าปาก ด้วยท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มนึกในใจอยากจะบอกว่าแล้วทำไมไม่สั่งแค่พอกินแต่แรกเล่า แต่หากพูดแบบนั้นออกไป นอกจากจะไร้มารยาทแล้ว ยังจะทำให้ตัวเองดูเป็นคนจิตใจคับแคบอีกต่างหาก “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็กินให้อิ่มเถอะนะ” เขายิ้มปลอบใจตัวเองพลางบอกนาง “คุณชายก็กินด้วยกันสิเจ้าคะ” นางแย้มยิ้มด้วยอารมณ์ร่าเริงสดใส แล้วคีบอาหารใส่ปากอีกคำ มู่หรงเยว่ชิงเป็นบุตรีเพียงคนเดียวในบรรดาบุตรธิดาของท่านแม่ทัพใหญ่มู่หรงเซียนหลิว ผู้ใกล้ชิดและได้รับความไว้วางพระทัยจากองค์ฮ่องเต้ นางเป็นที่โปรดปรานถึงขนาดได้รับพระราชทานยศเป็นถึงท่านหญิงจนใครต่อใครต่างอิจฉา แม้จะยังเป็นเพียงกูเหนียงน้อย แต่กลับฉายแววโฉมสะคราญ กอปรกับเป็นถึงบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของท่านแม่ทัพใหญ่ จึงเป็นที่หมายปองของเหล่าบุรุษทั่วทั้งแคว้น แต่จะมีสักกี่คนกันที่จะเรียกได้ว่าคู่ควร แม้กระนั้นด้วยความงามและยศถาบรรดาศักดิ์อันถึงพร้อม ก็ทำให้มีคนอีกมากมายที่ยังไม่ละความพยายามที่จะเกี้ยวพาและหมายมั่นจะคว้าหัวใจนางมาไว้ในครอบครองให้จงได้ เพียงแต่ท่านหญิงผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความรัก…จนอาจจะถึงขั้นหลงใหลในเงินทองของมีค่าเสียเหลือเกิน กระทั่งมีคำกล่าวเปรียบเปรยว่า มู่หรงเยว่ชิงใช้สิ่งเหล่านี้ในการหายใจแทนอากาศ นางนอนกอดก้อนตำลึงทองบนเตียงและเดินบนพื้นที่ปูด้วยเหรียญเงิน ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ในเมื่อนางเกิดอยู่บนกองเงินกองทอง และความรักเงินนี้ก็ทำให้คุณชายหลายคนถอยหนีเพราะเอาใจและมอบของกำนัลให้นางไม่ไหว และในวันนี้คุณชายซ่งเฉียนจินซึ่งหาทางเข้าหานางผ่านทางบิดามาหลายครั้งหลายครา ก็สบโอกาสชวนนางมาเดินเล่นที่ตลาดตามประสา อีกทั้งยังอาสาจะเลี้ยงอาหารนางให้อิ่มหนำ เพียงแต่เขาไม่ได้เตรียมอกเตรียมใจว่ามันจะเป็นมื้อใหญ่ ที่ผลาญเงินทองปานนี้ ยิ่งไปกว่านั้น อาหารกว่าครึ่งนางก็ไม่ได้แตะเสียด้วยซ้ำ ทว่าคุณชายผู้ยังไม่ละความพยายามยังคงจ่ายเงินให้กับเถ้าแก่ที่ยิ้มหน้าบาน ก่อนจะพากันเดินออกมาด้านนอก ใบหน้างดงามยิ้มกว้างเบิกบาน แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวอารมณ์ดีกว่าปกติ เพราะแน่ใจว่าวันนี้ นางจะได้ซื้อของสวย ๆ งาม ๆ มากมายแน่นอน “คุณหนูเจ้าคะ เดินช้า ๆ หน่อยเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทร้องเรียก หันมองคุณชายซ่งที่แทบจะตามร่างเล็กที่ซอกแซกผ่านผู้คนไปมาไม่ทัน เขามัวแต่เบียดตัวหลบพ่อค้าแม่ขาย จนกระทั่งหันมาอีกที มู่หรงเยว่ชิงก็หายไปจากครรลองสายตาเสียแล้ว “คุณหนูเจ้าคะ” “รีบตามมาสิเพ่ยเพ่ย เดี๋ยวตลาดก็วายหมดพอดี” มู่หรงเยว่ชิงลืมชายหนุ่มที่ท่านพ่อเอ่ยปากให้นางออกมาเดินเล่นด้วยไปเสียสนิท ด้วยความที่มีทั้งพี่ชายและน้องชายที่หวงนางยิ่งกว่าไข่ในหิน คอยดูแลและตามติดแจ นางจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกบ่อยนัก หรือถ้าจะมา พี่ชายน้องชายก็ต้องมาด้วย และพวกเขาชอบกันคนอื่นไม่ให้เข้าใกล้นาง แม้แต่พ่อค้าขายของ หรือคนที่เดินผ่านไปมาบนถนน นี่จึงเป็นโอกาสอันดีงามที่นางจะได้ทำอะไรตามใจตนเอง “สนใจร้านนี้หรือ” ซ่งเฉียนจินที่เพิ่งจะแหวกผ่านผู้คนพลุกพล่านตามมาได้ทันเงยหน้ามองร้านใหญ่โตก่อนจะเอ่ยปากถาม “เจ้าค่ะ เราเข้าไปดูได้ไหมเจ้าคะ” นางถามด้วยเสียงออดอ้อน ดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นชุดที่จัดแสดงอยู่หน้าร้าน กับม้วนผ้าหลากสีด้านในที่ดึงดูดนางราวกับมีแม่เหล็กดูดเข้าหา คุณชายผู้ตั้งใจจะสร้างความประทับใจพยักหน้ารับอย่างยินดี ก่อนจะหันไปพูดกับช่างฝึกหัดที่รับหน้าที่ดูแลลูกค้าไปในตัวด้วยความใจกว้าง “ไม่ว่านางจะอยากได้สิ่งใดให้จัดหาให้นาง แล้วมาคิดเงินที่ข้า” มู่หรงเย่วชิงหันมายิ้ม ซึ่งรอยยิ้มของนางสามารถทำให้ใครก็ตามถึงกับลมหายใจสะดุด เพราะความงามตามธรรมชาติไร้เดียงสาที่ เปล่งประกายออกมาผ่านความอ่อนหวานของรอยยิ้มนั้นสะกดจิตสะกดใจคนนักแล “เพ่ยเพ่ยมาช่วยข้าเลือกหน่อยสิ” “คุณหนูของบ่าว ใส่ชุดไหนก็งามเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทพูดอย่างเอาใจ “หรือเจ้าจะตัดชุดใหม่เลยก็ได้นะเยว่ชิง” ชายหนุ่มถือโอกาสเรียกนางอย่างสนิทสนม และนางก็ไม่ได้ว่าอะไร อาจเพราะต้องการทำให้เขาพอใจ เขาจะได้ยินยอมซื้อของให้โดยไม่อิดออด “ท่านว่าสองสีนี้ สีไหนเหมาะกับข้ามากกว่าเจ้าคะ” นางทาบชุดสีฟ้าอ่อนปักลายนกตัวเล็กสีขาว กับสีเขียวเหมือนสีของใบไม้ในฤดูร้อนปักแซมด้วยดอกไม้เป็นช่อ “ข้าว่าสีฟ้า” “แต่ข้าก็ชอบสีเขียวด้วยนี่นา” นางบ่นพึมพำ ก้มหน้ามองชุดที่อยู่ในมือ ก่อนจะหันไปหาเพ่ยเพ่ย “เจ้าล่ะ คิดว่าอย่างไร” “บ่าวเลือกไม่ได้หรอกเจ้าค่ะคุณหนู ในสายตาของบ่าว มันก็สวยด้วยกันทั้งคู่ ไม่แปลกใจที่คุณหนูจะตัดสินใจไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น เราซื้อไปทั้งสองชุดเลยไม่ได้หรือเจ้าคะ” มู่หรงเยว่ชิงทำท่าทอดถอนใจคิดหนักหันไปหาชายหนุ่มข้างกายด้วยสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ “เรื่องนั้น...คงต้องถามคุณชายซ่ง” “เช่นนั้นก็ซื้อทั้งสองชุดตามที่สาวใช้ของเจ้าบอกนั่นล่ะ” ในเมื่อพูดมาขนาดนี้ เขาจะไม่ตามน้ำไปก็กะไรอยู่ ซ่งเฉียนจินไม่มีทางตามทันเล่ห์เหลี่ยมที่มู่หรงเยว่ชิงใช้โดยกระทำผ่านสาวใช้ที่รู้ใจนางเป็นอย่างดี การทำเป็นเลือกระหว่างสิ่งของที่มากกว่าหนึ่งอย่างไม่ได้ และหันไปถามเพ่ยเพ่ย ก็คือการปูทางให้หญิงสาวแสร้งทำเป็นหาคำตอบไม่ได้ และแนะแนวทางให้เลือกทุกอย่างที่มี ด้วยวิธีการนี้นี่คืออาหารทั้งหมด ที่กูเหนียงน้อยนางหนึ่งจะกินได้จริง ๆ หรือบุรุษผู้มีท่าทางโอ่อ่าสมเป็นคุณชายตระกูลสูง หมายมั่นปั้นมือจะเอาอกเอาใจกูเหนียงน้อยผู้เลื่องลือด้านความงดงามไปทั่วไท่หยวน เมืองหลวงแห่งแคว้นจงหยวน เขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เมื่อเห็นอาหารทั้งหมดที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ในโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่ง ขึ้นชื่อเรื่องความใหญ่โตหรูหราและราคายังสูงเป็นอันดับหนึ่งของเมืองด้วยเช่นกัน อาหารของที่นี่ว่ากันว่ารสชาติความอร่อยไม่แพ้อาหารในพระราชวังเลยทีเดียว หรืออาจจะล้ำเลิศกว่าก็เป็นได้ เนื่องจากมีเหล่าเชื้อพระวงศ์เสด็จแวะเวียนมาเป็นประจำเถ้าแก่เจ้าของร้านละทิ้งงานทุกอย่างและลูกค้าทุกคน ตรงรี่เข้ามาคอยบริการสองหนุ่มสาวที่แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ ด้วยรู้ว่าวันนี้ตนเองจะได้รับทรัพย์อื้อซ่าแน่นอน “แน่ใจหรือว่าเจ้าจะกินหมด” ซ่งเฉียนจินบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของคหบดีซ่งเอ่ยถามเสียงเบา พยายามจะไม่ให้เป็นการเสียมารยาทแต่ทั้งอาหารเรียกน้ำย่อย เป็ดตัวอ้วนพี ไก่อบ เนื้อสัตว์ที่เลือกแต่ส่วนอร่อยนุ่มลิ้น ปลานึ่ง ขาหมู เนื้อตุ๋นยาจีน รวมทั้งอาหารง่าย ๆ อย่างผัดผัก น้ำแกง หมั่นโถวและซาลาเปา ล้ว
เฉินหลี่อวี้หรือที่รู้จักในนามหลี่อวี้อ๋องนั่งอยู่กับผู้ติดตามคนสนิทในโรงเตี๊ยมของคนพเนจร ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะกับเขาเลยแม้แต่น้อย เขามีศักดิ์เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เปี่ยมทั้งอำนาจบริวารและเป็นที่กลัวเกรงของทุกคนในราชสำนัก ด้วยเพราะแม้แต่ตัวฮ่องเต้เองก็ยังรับฟังคำแนะนำหรือคำคัดค้านในกิจการบ้านเมืองของหลี่อวี้อ๋องแต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตหรือจดจำได้ เขาจึงต้องแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดาสีซีดจางเนื้อหยาบ ราวกับคนใช้แรงงานหนัก เสียแต่ว่าพวกเสื้อผ้าซอมซ่อเหล่านี้ยังมิสามารถปิดปังความมีสง่าราศี ผิวพรรณผุดผ่องและท่วงท่าแบบคนชั้นสูงของชายหนุ่มได้ช่วงนี้หลี่อวี้อ๋องมักจะออกมาสืบราชการลับข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง แต่วันนี้นอกจากงานอันหนักหนาที่ทำอยู่ เขายังต้องการที่จะตามหากูเหนียงน้อยนางหนึ่งที่สะดุดตาเขาในตลาดเมื่อวานนี้ การจะรู้ชื่อแซ่ของนางคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก เพราะคงมีสตรีเพียงไม่กี่คนที่จะงดงามตราตรึงได้เช่นนาง และจะมีที่ไหนเหมาะไปกว่าโรงเตี๊ยมที่ผู้คนมากมายพร้อมจะตอบคำถาม หรือเล่าทุกความลับ เพียงเพื่อแลกกับเหล้าหนึ่งไหหรือไก่หนึ่งตัว อาจจะเป็นการง่ายกว่า หากเขาจะเพี
การเดินทางมาที่จวนของแม่ทัพใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองไม่ยากเย็นอะไรนัก บริเวณโดยรอบสงบเงียบราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ทันทีที่มาถึงหน้าประตู หลี่อวี้อ๋องก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่ผิดจากปกติ เมื่อฉีฟ่างแจ้งว่าเจ้านายของเขาต้องการพบกับท่านแม่ทัพ ก็ได้รับคำตอบว่าตอนนี้ท่านแม่ทัพมีแขกเข้าพบอยู่ก่อนแล้ว“แขกหรือ” เขาทวนคำ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเป็นแขกที่สำคัญมากทีเดียว ทุกอย่างถึงได้มีการคุ้มกันแน่นหนาและดูเป็นจริงเป็นจังถึงเพียงนี้ “ขอรับ”“ข้าจะรอ” “ถ้าเช่นนั้นก็เรียนเชิญท่านด้านในขอรับ ข้าน้อยจะไปรายงานนายท่านให้”“เดี๋ยว ยังไม่ต้องรายงาน รอให้แม่ทัพเสร็จธุระกับแขกก่อนก็ได้”“ขอรับ” บ่าวรับใช้รับคำอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่งหลี่อวี้อ๋องให้ฉีฟ่างรออยู่ด้านนอก ตัวเองก็เดินเข้ามาในจวนอันร่มรื่น มีลานขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางแบบบ้านของผู้มีอันจะกินทั่วไป เขาสอดส่ายสายตา หวังว่าจะเห็นกูเหนียงน้อยที่ตนเองลงทุนตามหา หลี่อวี้อ๋องไม่ได้เจอแม่ทัพมู่หรงเป็นการส่วนตัวหรือคุยธุระด้วยมานานแล้ว สาเหตุเพราะตอนนี้บ้านเมืองสงบสุข ร้างราจากศึกสงครามมาเนิ่นนาน แต่ตอนนี้มีข่าวก
ร่างเล็กในชุดสาวใช้เดินก้มหน้าก้มตาผ่านโรงครัวไปทางประตูหลังของจวน ฝีเท้าของนางเร่งรีบ แต่เสียงเดินแผ่วเบาราวกับไม่อยากให้ใครได้ยิน นางเหลียวมองด้านหลังเล็กน้อย เมื่อไม่เห็นใครหรือสิ่งใดผิดปกติ สองเท้าก็จ้ำพรวดผ่านประตูออกไปยืนท่ามกลางแสงแดดแผดกล้า ก่อนจะรีบเข้าไปในรถม้าที่ถูกเรียกมาจากข้างนอก โดยมีหญิงสาวอีกนางนั่งรออยู่ด้านในก่อนแล้ว“คุณหนู ทำแบบนี้จะดีหรือเจ้าคะ”“ชู่ววว”“แต่...”คราวนี้คนที่ถูกเรียกว่าคนหนูถลึงตาใส่สาวใช้ ก่อนจะเคาะที่หลังคารถม้ารับจ้าง เป็นสัญญาณว่าไปได้“เราไม่ได้ทำแบบนี้เป็นครั้งแรกเสียหน่อย และเจ้าก็ออกปากเตือนข้ามาตลอด ข้าเคยฟังหรืออย่างไรกัน”“ไม่ฟังเจ้าค่ะ”“ก็นั่นปะไร”มู่หรงเยว่ชิงในชุดสาวใช้ยิ้มอย่างซุกซน เพียงแค่นึกถึงตอนที่จะได้เที่ยวเล่น ห่างไกลจากการงานน่าเบื่อทั้งหลาย นางก็พลันมีความสุขขึ้นมา “ถ้าหากคุณชายรู้ เพ่ยเพ่ยคนนี้ต้องโดนเอ็ดอีกแน่ แต่นั่นยังไม่แย่เท่ากับที่ทุกคนจะหันมาห่วงคุณหนูหนักกว่าเดิม คราวนี้ท่านก็จะไปไหนมาไหนได้ยากยิ่งขึ้น”“เรื่องนั้นเอาไว้คิดทีหลังน่า” นางบอกปัด มู่หรงเยว่ชิงตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นในหมู่บ้าน ชมนกชมไม้ การเก็บเกี่
“คุณชาย ข้าต้องขออภัย ปล่อยข้าไปเถิด จะให้ข้าทำสิ่งใดข้าก็ยอม ขอร้องเถิดขอรับ” เมื่อใช้แรงสู้ไม่ได้ผล และพิจารณาดูแล้ว ชายผู้นี้ไม่น่าใช่คนธรรมดา คนที่เคยอวดเบ่งก็ต้องใช้วิธีขอร้องอ้อนวอนแทน“ฮึ เจ้าสุนัขนี่ไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย” เขาสะบัดมือออก ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเช็ดอย่างถือตัวยิ่งทำเช่นนั้น เยว่ชิงก็ยิ่งแน่ใจว่าเขาน่าจะเป็นคุณชาย บัณทิต ขุนนาง หรือที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือทหารในกองทัพเลยทีเดียว ถึงได้มีความสามารถในการต่อสู้ และคงไว้ซึ่งท่าทางเย่อหยิ่งไปในคราวเดียวกัน“เอาละ ทีนี้ก็เอ่ยขออภัยแม่นางทั้งสองซะ”คำขอโทษพรั่งพรูออกมาจากปากไอ้สุนัขหน้าเหม็นพร้อมด้วยสีหน้าเศร้าสลดเยว่ชิงมองอย่างไร้ความหมาย บอกให้เพ่ยเพ่ยเอาเงินให้ชายชราที่ยืนตัวลีบอยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะหันมาขอบคุณผู้ช่วยชีวิตของนาง“คุณชายท่านนี้ ข้าต้องขอบคุณท่านมาก สำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้”นางกล่าวด้วยเสียงและท่าทางที่ไม่อ่อนน้อมนัก เนื่องจากติดนิสัยพูดกับบ่าวรับใช้ในจวน แต่เมื่อรู้ตัวว่าถ้อยคำเหล่านั้นแสนจะห้วนสั้น จึงเติมคำที่ท้ายประโยคประโยคลงไปเพื่อความแนบเนียน “หมายถึง...ขอบคุณเหลือเกินเจ้าค่ะ”
การมาถึงของหลี่อวี้อ๋องเงียบเชียบปราศจากความเอิกเกริก เฉกเช่นเดียวกับการไปปรากฏตัวตามที่ต่าง ๆ ของเขาเพื่อสืบราชการลับ แม้ในจวนของท่านแม่ทัพใหญ่จะใหญ่โตกว้างขวาง แต่กลับไม่มีบ่าวไพร่เดินให้ขวักไขว่ดังเช่นจวนขุนนางอื่น ๆ หากเทียบกันแล้วจวนแห่งนี้มีบ่าวไพร่เพียงหนึ่งในสามของจวนขุนนางเหล่านั้นเท่านั้น แต่นี่ไม่ได้เป็นการแสดงความอัตคัดขัดสนแม้แต่น้อย ตระกูลมู่หรงแม้เพียงกระถางต้นไม้หนึ่งต้น ย่อมมีราคากว่าที่ดินสิบแปลง หลี่อวี้อ๋องรู้สึกรู้สึกพึงพอใจในบรรยากาศของจวนแห่งนี้ไม่น้อย ขณะที่กำลังเดินอยู่เขาได้สอดส่ายสายตาไปมาเพื่อจะมองหาท่านหญิง จอมแก่นด้วยตนเอง พยายามนึกว่าสาวน้อยเช่นนางจะโปรดปรานการทำสิ่งใดในช่วงสายของวันเช่นนี้ หากเป็นหญิงสาวทั่วไปที่เขารู้จัก คงจะไม่พ้นการไปนั่งพักผ่อน พูดคุยกับคนสนิทข้างกาย หรือเข้าอบรมบ่มนิสัย ไม่เช่นนั้นก็นั่งจิบชาเสียเฉย ๆ แต่ดูแล้ว มู่หรงเยว่ชิงคงจะไม่เป็นเช่นนั้น จวนใหญ่โตมักจะสร้างสวนเอาไว้หลายแห่ง ทั้งเพื่อพักผ่อน หย่อนใจ อวดความมั่งคั่ง หรือเพื่อปิดบังตัวเรือนชั้นในจากสายตาคนนอก นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจนัก หากจะนึกให้พิเรนท์สักหน่อย ก็เห
“อย่างเช่นสิ่งใดหรือเพคะ” เยว่ชิงทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวจึงเอ่ยปากถาม “อย่างเช่นพูดกับข้าเหมือนตอนก่อนที่เจ้าจะรู้ว่าข้าเป็นอ๋องน่ะ” “อ้อ” นางหลุบตาต่ำ รู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย “แล้วเรื่องที่หม่อมฉัน…ข้าต้องทำ…อย่างเช่นสิ่งใดหรือเจ้าคะ” “อย่างเช่นไปช่วยข้าเลือกลูกม้าตัวใหม่” “ลูกม้า!” สองพ่อลูกอุทานแล้วมองหน้ากัน “ใช่ แล้วข้าจะให้เจ้าตัวหนึ่งด้วย เลือกเอาตัวที่แพงที่สุดก็ได้ จะไปหรือไม่ไป” น้ำเสียงของหลี่อวี้อ๋องไม่ใช่การถามความสมัครใจ แต่เยว่ชิงไม่ได้สังเกต นางรีบตอบตกลงเพราะตื่นเต้นที่จะลูกม้าตัวที่แพงที่สุด ก่อนที่บิดาจะเป็นฝ่ายหยิกนางจนเนื้อเขียวแล้วตอบตกลงให้แทน ถึงแม้นางจะงุนงงไม่น้อยว่าการเลือกลูกม้าเป็นการทำคุณให้แผ่นดินไปได้อย่างไร และนางก็ไม่ได้อยากจะไปในที่แบบนั้นกับบุรุษที่เป็นถึงท่านอ๋อง แต่กลับหาเรื่องกลั่นแกล้งนางมาตั้งแต่เมื่อวานก็ตาม แต่นางไม่มีทางเลือกอื่นใดหลงเหลืออยู่เลย และหากจะคิดปลอบใจตนเอง ก็คงกล่าวได้ว่าอย่างน้อย นางก็จะได้เจ้าม้าน้อยน่ารักกลับมาด้วย “ข้าจะพานางกลับมาก่อนค่ำโดยไม่ทำให้นางเสื่อมเสียเกียร
การฝึกขี่ม้าที่หลี่อวี้อ๋องแอบอ้างจบลงในเวลาไม่นานนัก ด้วยเหตุผลที่ว่ามันอาจจะทำให้หญิงสาวบอบบางเช่นนางจะต้องปวดเมื่อยเนื้อตัว หากหักโหมฝึกฝนจนเกินไป แต่อันที่จริง เขาเพียงแต่คิดว่าการจะเป็นผึ้งที่ได้ดอมดมเกสรดอกไม้ จะต้องระวังไม่ให้ดอกไม้อันสวยงามชอกช้ำ การที่เขาให้เยว่ชิงนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกันแล้วเหยาะย่างไปรอบทุ่งเพื่อกินลมชมทิวทัศน์ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับในวันนี้ อีกประการหนึ่ง ในการที่จะทนต่อสิ่งเร้าอย่างเช่นเรือนร่างที่แม้จะอยู่ภายใต้อาภรณ์ปกปิด แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นความเย้ายวนใจได้ เส้นผมนุ่มสลวยดำขลับที่มักจะถูกลมพัดผ่านใต้จมูกของเขา คละเคล้าไปกับกลิ่นหอมกรุ่นจากเรือนร่างของนางเอง ก็เป็นการยากเหลือเกินที่จะทำจิตใจให้สงบอยู่ได้ “สรุปว่าเอาตัวนี้นะ” เขาถามย้ำ เมื่อเห็นนางลังเลใจในการจะเลือกลูกม้ากลับไปเลี้ยงตามที่เขาได้ลั่นวาจาเอาไว้ เยว่ชิงยกมือลูบจมูกลูกม้าสีขาวท่าทางปราดเปรียวเกินอายุ ก่อนจะเหลียวมองเจ้าตัวสีดำที่อยู่ในคอกถัดไป แล้วหันมามองท่านอ๋องที่ยืนเอามือไพล่หลังรออยู่ “ท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางถูกชะตากับเจ้ามาสีขาวตัวนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ถามค
“อ๊ะ” เยว่ชิงสะดุ้งกับการถูกรุกล้ำเข้ามาในกายสาว นางรัดแขนรอบคอเขาแน่น สัมผัสของมันทำให้ภายในส่วนกลางกายบีบรัดจนร้อนระอุ พาให้นางเสียววูบวาบอย่างตั้งตัวไม่ติด นางกลั้นหายใจพลางซบหน้าอยู่กับไหล่กว้างเมื่อเขาขยับมือชักเข้าออกเริ่มจากเชื่องช้าไปสู่ความรัวเร็วจนร่างกายของนางรับไม่ไหว เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าที่มีเม็ดเหงื่อผุดพรายแหงนหงายไปด้านหลัง ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ขณะที่เส้นผมสีดำขลับปัดป่ายอยู่ตรงช่วงลำตัวของนาง ในตอนที่นางหลุดเสียงร้องครวญครางแล้วตัวกระตุกเกร็งภายใต้มือของเขา “ท่านอ๋อง” นางกล่าวเพียงเท่านั้นก่อนจะถอนหายใจหนักหน่วง คล้ายจะบอกว่าตัวเองได้รับความสุขสมเป็นอย่างดีแต่เหนื่อยเกินกว่าจะเอ่ยและปล่อยให้เขาจับพลิกตัวนอนลงกับเตียง “ข้าหวังว่าคงจะไม่มีใครเข้ามาขัดอีก เพราะคราวนี้ข้าจะไม่ยอมถอนกำลังเป็นแน่ หากข้าไม่ได้ชัยชนะ” “แล้วชัยชนะของท่านคือสิ่งใดกัน” นางถามราวกับจะยั่ว “เดี๋ยวเราก็จะได้รู้กัน” เขาปลุกปั่นความปรารถนาของนางขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับทำรุนแรงยิ่งกว่าเดิมอย่างหักห้ามใจไม่ไหว ทั้งบดขยี้กลีบปากบาง สองมือต้องการที่จะได้สัมผัสแตะต้องทุกตารางนิ้ว จนก
หญิงสาวยืนตัวตรงอยู่ข้างเตียง สวมเพียงชุดหลวม ๆ สำหรับ ซับในเอาไว้เรียบร้อย หลี่อวี้อ๋องมองนางแน่นิ่งราวกับจะมองให้ทะลุเนื้อผ้าเข้าไปจนกระทั่งเห็นถึงผิวเนื้อด้านใน คนที่ตกเป็นเป้าสายตาก็รู้ตัวดีจนถึงขนาดร้อน ๆ หนาว ๆ ต้องหาเรื่องเบี่ยงประเด็น “ฮ่องเต้เสด็จมาหรือเจ้าคะ” เขาพยักหน้าก่อนจะวางกล่องในมือเอาไว้บนโต๊ะ “เอาของขวัญมาให้ แต่ที่จริงน่าจะอยากแกล้งเสียมากกว่า” “แกล้ง?” “ก็จงใจมาขัดขวางตอนที่ข้าจะเข้าสนามรบน่ะซี่” คำพูดของเขาทำให้นางอายจนต้องก้มหน้างุด ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดในสายตาของเขานั้นนางก็น่าเอ็นดู น่าจับมาโอบกอดและรัดแน่น ๆ แล้วก็ไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากมีนางอยู่ในอ้อมแขนทั้งวันทั้งคืน “ข้าจะไปอาบน้ำก่อนละ” “ไปอาบน้ำก่อนอะไรหรือ ก่อนทำเรื่องนั้นหรืออย่างไร” เขาถามแกล้ง ๆ เยว่ชิงอ้าปากค้าง นับวันหลี่อวี้อ๋องที่กลายมาเป็นสามีของนางก็ยิ่งเจ้าเล่ห์เพทุบาย ขี้แกล้งและช่างหยอกเย้าเก่งขึ้นทุกที จนนางไม่รู้ว่าจะรับมือกับเขาอย่างไร “ไปเถอะ ข้าจะนอนรออย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่นี่” “ท่าน!” “ข้าพูดความจริงนี่” เขาตอบหน้าตาเฉย ก่อนจะพูดไล่หลังเมื่อนางกำลังจะเปิดประตูออกไป
งานอภิเษกสมรสของหลี่อวี้อ๋องกับมู่หรงเยว่ชิงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ถึงขนาดที่ฮ่องเต้มาเป็นประธานในงาน และเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงจำนวนมากต่างมาร่วมงาน ที่ด้านนอกชาวบ้านล้านตลาดก็พากันออกมาดูเจ้าสาวที่นั่งเกี้ยวแปดคนหาม ซึ่งด้านหลังมีสินเดิมของเจ้าสาวยาวเหยียดชนิดที่ว่าหัวขบวนเคลื่อนไปถึงถนนอีกสายแต่ท้ายขบวนที่ตั้งคอยอยู่ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับออกจากจวนแม่ทัพ สมแล้วที่นางเป็นถึง ท่านหญิงตำลึงทอง แล้วหลังจากที่แต่งงานกับหลี่อวี้อ๋อง ตำลึงทองของนางเห็นจะมีแต่เพิ่มพูนขึ้นไปอีก พิธีการทุกอย่างราบรื่นสวยงามจนกระทั่งจะถึงตอนเข้าหอที่ทำให้เจ้าสาวอย่างเยว่ชิงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา นางได้รู้อะไรมาบ้างจากเพ่ยเพ่ย ก็ไม่ได้มีสิ่งใดมากมายนักเนื่องจากเรื่องเช่นนี้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้และมันยังน่าอายที่จะหยิบยกเอามาพูดบ่อย ๆ ด้วย สิ่งที่นางรู้ก็เห็นจะเป็นเรื่องห้ามนอนนิ่งเป็นหินแข็งเท่านั้นเอง บ่าวแก่แดด ในขณะที่นางนั่งกังวลเรื่องนี้อยู่ หลี่อวี้อ๋องก็ได้รับกลเม็ดเคล็ดลับมากมายที่จะทำให้มีบุตรอย่างง่ายดายจากทั้งพี่ชายอย่างฮ่องเต้และพ่อสามีหมาด ๆ ว่าด้วยท่
มู่หรงเยว่ชิงเฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่พบเจอในฝัน หรืออันที่จริงคือตัวนางในชาติที่แล้ว ต้องตกตายเพราะเศษเงินเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น ช่างอนาถโดยแท้ ขนาดมาเกิดใหม่ในตระกูลที่มีอันจะกิน นิสัยขี้งก เอ้ย เอาเป็นว่า เห็นคุณค่าของเงินยังติดตัวมาอีก แต่ถ้าจะให้แก้ตอนนี้ก็คงสายไปเสียแล้วกระมัง “คุณหนูเจ้าคะ” เสียงเรียกของสาวใช้คนสนิทขัดความคิดของนาง “ท่านอ๋องมาถึงแล้วหรือ” “ถึงแล้วเจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับ ก้าวเดินไปยังประตูห้อง นางเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นไปเมื่อสิบวันที่แล้ว และแน่นอนว่าปิ่นที่นางเลือกใช้คือปิ่นทองลายหลันฮวาที่หลี่อวี้อ๋องมอบให้แก่นาง ซึ่งเป็นอันเดียวกับที่นางใช้ปักอยู่ทุกวันนี้ ตอนนี้เท่ากับว่านางผ่านพ้นจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และพร้อมสำหรับการออกเรือนแล้ว ช่างรวดเร็วจนน่าใจหาย นางเพียงแค่อายุสิบหกหนาวเท่านั้น ร่างบางที่นับวันความงามยิ่งฉายชัดเดินมาหยุดยืนข้างร่างสูงที่ยืนรออยู่ที่ศาลากลางสวน เมื่อเขาเห็นนางก็เผยยิ้มต้อนรับ กวาดสายตามองนางอย่างถวิลหา ช่วงนี้ทั้งสองคนมัวแต่ยุ่งอยู่กับพิธีอภิเษกที่จะมาถึงในไม่ช้า และนางก็จะต้องถนอมเนื้อตัวจน
“รับปิ่นข้าไปแล้วเท่ากับว่าเจ้าเป็นของข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว รอหลังเจ้าปักปิ่นเราจะจัดงานมงคลกันทันที” “ไม่เร็วไปหน่อยหรือเจ้าคะ” “ข้าเตรียมการไว้หมดแล้ว” “นี่ท่าน” หญิงสาวเบิกตาโต “ข้าจะยอมให้เจ้าตกเป็นของคนอื่นได้อย่างไรกัน ไหนจะหลานชายข้าอีก” “แล้วฝ่าบาท…” “เสด็จพี่ย่อมทำตามที่ข้าต้องการ” เขาพูดพลางหยิบอะไรบางอย่างออกมาชูให้นางดู เป็นม้วนผ้าสีทอง “นี่อย่างไรล่ะ รอเพียงเจ้าฟื้นจะได้ประกาศราชโองการฉบับนี้เสียที” “ราชโองการอันใดเจ้าคะ” นางคาดเดาไว้ในใจ แต่ก็เอ่ยปากถาม “สมรสพระราชทานระหว่างชินอ๋องเฉินหลี่อวี้ พระอนุชาใน เสวียนจงฮ่องเต้ กับท่านหญิงมู่หรงเยว่ชิง ธิดาของแม่ทัพใหญ่มู่หรง เซียนหลิวอย่างไรเล่า” “ท่านมั่นใจอย่างไรว่าข้าจะแต่งกับท่าน” นางนึกหมั่นไส้ “เจ้าย่อมแต่งให้ข้า เพราะไม่มีใครเหมาะสมกับเจ้าและใจกว้างเท่าข้าอีกแล้ว” “องค์ชายชาง…” นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเขาขโมยจูบ “หากยังพูดถึงชายอื่นข้าจะจูบเจ้าอีก” “ท่านนี่มัน…ร้ายกาจนัก ฮึ่ย! แต่ข้าก็รักท่าน” นางแสร้งต่อว่าและบอกรักเขาไปในตัว ก็เขาอยากฟัง
มู่หรงเยว่ชิงไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด นางไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือความฝันหรือจริงกันแน่ หรือว่านางอาจตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง เพราะหลายวันมานี้นางได้แต่ตามดูชีวิตของหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งมีใบหน้าเหมือนกันกับนางมิผิดเพี้ยน นางได้ยินเสียงเรียกชื่ออันคุ้นเคยมาจากที่ไกล ๆ แต่นางกลับสนใจที่จะตามดูชีวิตของหญิงสาวนางนี้มากกว่าสถานที่ที่หญิงสาวนางนี้อยู่คล้ายโลกที่นางไม่รู้จัก ผู้คนแต่งตัวผิดแผก มีสิ่งก่อสร้างแปลกตา บ้างก็สูงเสียดฟ้าจนนางนึกว่าอาจเชื่อมไปถึงสวรรค์ก็เป็นได้ ข้าวของที่นางไม่รู้จักมากมาย บนถนนก็มียานพาหนะแปลก ๆ แล่นไปด้วยความเร็วสูงโดยที่ไม่ต้องใช้ม้าเทียมหญิงสาวนางนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างลำบากกว่านางนัก เริ่มตั้งแต่ตื่นแต่เช้าออกจากบ้านที่เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ไปทำงาน เวลาที่นางต้องการซื้ออะไรแม้จะเป็นอาหารก็ตาม นางจะต้องคอยนึกถึงเงินในกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา พอเวลานางอยู่คนเดียวในห้องก็มักจะเหม่อมองแล้วหยิบภาพคนซึ่งน่าจะเป็นครอบครัวของนางขึ้นมาดู และทุกครั้งแววตาของนางจะสะท้อนทั้งความรู้สึกเศร้าเสียใจ เจ็บช้ำ และสุดท้ายจะเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นชี
แม่ทัพมู่หรงเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องด้วยความร้อนใจเมื่อเพ่ยเพ่ยสังเกตเห็นว่านิ้วของเยว่ชิงกระตุกและมีเสียงแผ่วเบาออกมาจากลำคอของนางอันเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นคืนสติ เขาจึงตามหมอมาตรวจอาการอย่างเร่งด่วน ผ่านมาเป็นครู่ใหญ่แล้ว หมอก็ยังตรวจไม่เสร็จสักที “ท่านพ่อทราบเรื่องหรือยังขอรับ” เซียวหนานเดินหน้าตั้งเข้ามาหา “เรื่องอะไร ตอนนี้หมอกำลังตรวจน้องเจ้าอยู่ จะมีอะไรเร่งด่วนไปกว่านี้อีก” “เรื่องที่ฝู่อิงเว่ยเป็นคนวางแผนฆ่าเยว่ชิง” “เจ้าว่าอะไรนะ” “บุตรีใต้เท้าฝู่เป็นคนวางแผนปองร้ายน้องทั้งสองครั้งขอรับ” “ทำไม” เขานึกไม่ออกว่าจะมีเหตุผลใดให้นางกระทำการโหดเหี้ยมเช่นนี้ ในเมื่อทั้งสองตระกูลไม่เคยมีความบาดหมางต่อกันมาก่อน ใต้เท้าฝู่เองก็มีไมตรีจิตรกับเขามาโดยตลอด ยิ่งกับลูกสาวแล้ว เขาไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เยว่ชิงเลย “ข้าเองก็เพิ่งรู้ว่านางเคยถูกทาบทามเอาไว้ให้อภิเษกกับท่านอ๋องขอรับ” “อย่างนั้นรึ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเรื่องก็พอจะเข้าเค้า” “ขอรับ แต่ไม่ใช่การตกลงอย่างจริงจัง เป็นเพียงการรับสั่งของฮ่องเต้ครั้งสองค
จวนมู่หรงไม่เคยอึมครึมและหม่นเศร้าขนาดนี้มาก่อน เมื่อไม่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหญิงสาวที่มักจะปรากฏตัวพร้อมกับความ รื่นเริงเสมอ ทุกอย่างก็เงียบเหงาลงจนไม่เหลือความรื่นรมย์ใด ๆ อีก แม้แต่ดอกไม้ในสวนก็ดูจะเหี่ยวเฉาตามร่างที่นอนไร้สติอยู่บนเตียงในห้องที่ รายล้อมไปด้วยของมีค่าที่นางรักนักหนา สมาชิกทุกคนจะผลัดเปลี่ยนกันมาอยู่เป็นเพื่อน หวังอย่าง เต็มเปี่ยมว่านางจะตื่นขึ้นมาและเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งและนั่งอยู่ด้วยตลอดเวลา แค่รอเวลาที่นางจะตื่นขึ้นมาเท่านั้น และวันนี้ถึงทีหลี่อวี้อ๋องที่จะได้นั่งอยู่กับนาง เขาเอาหนังสือมาอ่านให้นางฟังด้วย แต่ก็ไม่มีวี่แวววว่านางจะรู้สึกตัว เขานั่งมองหน้านางอยู่เป็นนานจนกระทั่งตัดสินใจกลับ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผลทำให้มู่หรงเยว่ชิงได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ กระดูกบางส่วนหัก ทุกคนได้แต่หวังว่าการกระทบกระเทือนนี้จะไม่ส่งผลต่อสมองหรือความทรงจำ ซึ่งแม้แต่ หมอหลวงที่ฮ่องเต้ส่งมาให้ก็ไม่อาจรับประกันได้ “ท่านอ๋อง” “ข้าจะต้องเห็นนางบาดเจ็บอีกกี่ครั้งกัน ฉีฟ่าง” องครักษ์หนุ่มหยุดยืนอยู่ด้าน
เป็นอย่างที่คาดเมื่อฮูหยินคิดว่าการมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากจะเพื่อตอบแทนน้ำใจไมตรีแล้วยังแสดงออกถึงการยอมรับความรู้สึกที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ นางจึงยอมให้ลูกสาวออกไปหาซื้อของ ข้างนอกถือเป็นการแก้เบื่อด้วย โดยให้บ่าวรับใช้อีกสองคนนอกจาก เพ่ยเพ่ยตามไปด้วย มู่หรงเยว่ชิงไม่เคยเบื่อหน่ายต่อความคึกคักของผู้คนข้างนอก ร้านรวงที่พ่อค้าแม่ค้าขยันเรียกความสนใจจากลูกค้าและร้านอาหารที่มีกลิ่นหอมเชิญชวนให้นักเดินทางแวะเข้าไปตลอดเวลา นางได้ของเต็มไม้เต็มมือเช่นเคย แต่ความคิดที่จะถักเชือกประดับหยกสวย ๆ สักเส้นดูจะเข้าท่ากว่าความคิดอื่น จึงวางใจที่จะกลับจวนเพื่อไปดำเนินการต่อ ไม่ได้อยู่เดินเล่นอ้อยอิ่งดังเช่นทุกครั้ง บ่าวรับใช้หนึ่งคนไปเอารถม้า อีกสองคนคอยประกบนางไม่ห่าง แต่รออยู่นานสองนานก็ไม่มาสักที “จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ” “ข้าจะไปตามนะขอรับ” “เอาสิ” เยว่ชิงพยักหน้าอนุญาต แล้วบ่าวชายก็วิ่งหายไปอีกทาง คราวนี้รอไม่นานนัก รถม้าประจำตระกูลก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้า ทั้งนางและ เพ่ยเพ่ยก้าวขึ้นไปนั่งด้านในอย่างเรียบร้อย แรกเริ่มเดิมท