ชายหนุ่มหันมาก่อนที่นางจะทันได้เอ่ยปาก ราวกับได้ยินเสียงเดินอันแผ่วเบาเพียงเท่านั้นก็รู้ได้ว่าเป็นใคร
“ท่านอ๋องเรียกพบข้าหรือเจ้าคะ” พอถามออกไปก็รู้สึกว่าโง่งม เห็นอยู่ว่าเขาบอกชัดเจนแล้ว และตัวนางก็มาถึงที่นี่แล้ว “ใช่แล้ว ข้าอยากพบเจ้า” ขณะที่พูดดวงตาคู่นั้นก็ไล่มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะแช่อยู่ที่ใบหน้าจนนางรู้สึกระส่ำระสายขึ้นมาอีกครั้ง “มาเถอะ” เขาเรียกให้นางเดินตามเข้าไปในสวนที่มีประตูกลม สะพานโค้ง บ่อน้ำขนาดใหญ่ ของตกแต่งปูนปั้นและประติมากรรมมากมาย ต้นไม้ใหญ่น้อยและมวลหมู่ดอกไม้แผ่ไปไกล สวนแห่งนี้ใหญ่กว่าที่จวนนางอย่างน้อยสามเท่า “ชุดนี้คือชุดที่ข้าคิดเอาไว้พอดี ข้าสามารถรู้ตั้งแต่แรกเห็นว่ามันต้องเหมาะกับเจ้ามากแน่” “ชุดนี้…หรือ…เจ้าคะ” นางตะกุกตะกักถาม มิกล้าสบสายตาคนตรงหน้าเพราะทำให้นางทำตัวไม่ถูก “ใช่” จู่ ๆ ร่างสูงก็หยุดเดินแล้วหันมา เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของนางเอาไว้ แม้จะเป็นเวลาชั่วครู่ ก่อนจะถอยออกไปกวาดตามองอย่างสำรวจ และดวงตาเขาก็ไม่ปกปิดความพอใจที่ฉายชัด ซึ่งทำให้นางใจสั่นอีกแล้ว “เอ่อ…แล้วข้าดูเป็นอย่างไรฝู่อิงเว่ยจ้องนกน้อยที่นำข่าวร้ายมาบอกไม่วางตา คล้ายกับนางกำลังรอคอยให้หญิงสาวที่นั่งก้มหน้างุดอยู่เบื้องหน้าพูดออกมาว่าเรื่องที่นางได้ยินได้ฟังเมื่อครู่ไม่เป็นความจริง แต่ความจริงก็คือนางโกรธจนตัวสั่นจนพูดอะไรไม่ออก ต้องนั่งนิ่งระงับอารมณ์เป็นครู่ใหญ่ แม้นางอยากจะกรีดร้องอาละวาดเพียงใดก็ตาม แต่นั่นจะมีแต่สร้างเรื่องให้บ่าวรับใช้นินทา ถึงมันจะช่วยระบายอารมณ์ของนางก็ตามที“เจ้าแน่ใจหรือ”“บ่าวแน่ใจเจ้าค่ะคุณหนู”“มีอะไรมากกว่านี้หรือไม่”“ไม่มีเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็รับไป”นางโยนถุงที่อัดแน่นไปด้วยเงินลงบนพื้น นกน้อยที่ไม่ซื่อสัตย์กับเจ้านายคว้าหมับเข้าที่ถุงก่อนจะลนลานถอยออกไป“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู”“เดี๋ยวก่อน ตอบข้ามาซิว่าท่านหญิงมู่หรงเยว่ชิงอะไรนั่นงามสักแค่ไหนกัน”คนถูกถามได้แต่ทำตัวลีบตะกุกตะกักตอบ ไม่แน่ใจว่าคุณหนูต้องการคำตอบที่แท้จริง หรือคำตอบเอาใจ“ข้าต้องการความจริง”“บ่าวเพิ่งเคยเห็นหญิงสาวที่งามสะพรั่งราวกับดอกไม
ตึกตัก ตึกตัก หัวใจนางเต้นแรงอีกแล้ว… “เหตุไฉนเจ้าจึงเดินตัวเกร็งเช่นนี้ ไม่สบายหรือ” แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเพราะอะไร แต่ก็อดที่จะตีหน้าซื่อถามไม่ได้ “ข้าแค่จัดท่าทางการเดินของตนเองก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ” นางหาเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ “จัดทำไมกัน” คราวนี้ลองแกล้งโอบเอวอย่างเต็มไม้เต็มมือบ้าง “ท่านอ๋อง!!!” นางแทบตะโกนร้อง แต่ในความเป็นจริง เสียงนางเพียงแค่ดังอยู่ในลำคอเท่านั้นด้วยตกตะลึงไม่คิดว่าเขาจะกินเต้าหู้นางกลางจวนต่อหน้าต่อตาใครเช่นนี้ “หืม” เขายังคงตีสีหน้าไม่รู้เรื่องต่อไป “คือ...ท่านคิดว่าชายหญิงควรใกล้ชิดกันถึงขนาดนี้เลยหรือเจ้าคะ แต่ข้าว่ามันไม่ค่อยเหมาะสม” นางค่อย ๆ บอกเขาอย่างระมัดระวัง อ้างความเหมาะสมเป็นดีที่สุด “โอ๊ะ ขออภัยท่านหญิง” เขาเอามือออกโดนพลัน “ท่านอย่าพูดเช่นนั้น ด้วยยศศักดิ์ของท่านแล้ว การพูดแบบนั้นมีแต่จะทำให้ข้าเป็นคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” “ข้ารู้ ๆ แต่ไม่สนใจมันไม่ได้เลยหรือ” เขาทำน้ำเสียงอ่อนพูดกับนางคล้ายอ้อนไปในที “ข้าพูดจริง ๆ นะชิงเอ๋อร์ แม้ข้าจะเข้มงวดกับทุกคนมาก แต่ข้าไม่ต้องการทำแบบนั้นกับเจ้า” “เพราะ
ทุกย่างก้าวของมู่หรงเยว่ชิงแผ่วเบาเชื่องช้าและเต็มไปด้วยการครุ่นคิดอยู่ในทุกฝีก้าวที่นางเหยียบย่างผ่านไป ภายในสวนกว้างใหญ่ที่มี ธารน้ำใสอยู่ตรงกลางพร้อมด้วยสะพานข้ามควรจะเป็นทัศนียภาพที่ทำให้ใครก็ตามรู้สึกผ่อนคลาย แต่เมื่อต้องมาเดินเคียงข้างบุรุษผู้มีศักดิ์เป็นถึงโอรสของฮ่องเต้ และมีสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป ความรื่นรมย์ก็กลายเป็นระแวดระวังตัวและสำรวมในคำพูดราวกับนางกำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายที่หากก้าวพลาดก็จะประสบกับอันตรายถึงชีวิต ทว่าใจนางกำลังไพล่นึกไปถึงใครอีกคน คนผู้นั้นมีศักดิ์ไม่ต่างกัน แต่นางกลับผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ “ข้าสังเกตได้ว่าเจ้าไม่เป็นตัวของตัวเองเลย” เสียงของชายหนุ่มดึงความคิดที่หลุดลอยของนางกลับมา นางเงยหน้าขึ้น รีบเรียบเรียงคำพูดในหัวก่อนจะตอบ “หม่อมฉันพยายามที่จะรักษามารยาทเพคะ” “มีคนรักษามารยาทจนมาตัวสั่นงันงกต่อหน้าข้ามากพอแล้ว ในตอนนี้หากเจ้าอยากจะวิ่งหรือกระโดดโลดเต้น ข้าก็จะไม่ว่าสักคำ” องค์ชายชางกล่าวเจือรอยยิ้ม “เดี๋ยวข้าก็ต้องกลับแล้ว เจ้าเลิกเกร็งแล้วปฏิบัติต่อข้าแบบปกติเถอะ” เยว่ชิงผ่อนลมหายใจ
คำพูดนั้นยิ่งสร้างความตกตะลึงให้นางกว่าตอนที่หลี่อวี้อ๋องมาโวยวายใส่เสียอีก “คุณหนูเจ้าคะ คนเราจะขุ่นเคืองใจเมื่อเห็นคนที่เรามีใจให้ไปจับมือถือแขนกับคนอื่นไปไย หากไม่ใช่เพราะความหึงหวง” “เจ้าบอกว่าคนที่เรามีใจให้อย่างนั้นหรือ” “เจ้าค่ะ มีใจรักใคร่ห่วงหาและปรารถนาจะเป็นคนที่อยู่ในนี้” เพ่ยเพ่ยทำท่าแตะที่หน้าอกข้างซ้ายของของตัวเองส่งยิ้มล้อเลียนผู้เป็นนาย “เหลวไหล” เยว่ชิงรู้สึกขัดเขินอย่างบอกไม่ถูก นางกล่าวแล้วจ้ำพรวด ๆ หนีสายตาของคนสนิทที่มองนางอย่างทะลุปรุโปร่ง “คุณหนูจะไม่เชื่อบ่าวก็ได้นะเจ้าคะ แต่จากที่บ่าวเห็นมานักต่อนัก อาการของท่านอ๋องตรงกับความหึงหวงทุกประการ” เพ่ยเพ่ยรีบเดินตามคุณหนูมาแต่ก็ยังไม่วายกระเซ้า “เลิกทำสายตาท่าทางแบบนั้นเสียที” นางร้องเอ็ด รีบเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ ยกสองแขนวางบนโต๊ะแล้วเอามือเท้าคางไว้ “ถึงเรื่องที่ข้ากล่าวไม่เป็นความจริง แต่มันก็ไม่ใช่การสมควรที่จะปล่อยให้หลี่อวี้อ๋องทรงขัดเคืองพระทัย” “ก็ถูกของเจ้า ข้าควรจะทำอย่างไรดี” “ไปยืนยันว่าท่านไม่ได้มีจิตพิศวาสต่อองค์ชายชาง ทางที่ดี
ฝีเท้าสม่ำเสมอย่ำไปบนทางที่ตัดผ่านบ้านเรือนอันเงียบสงบเมื่อปราศจากงานเทศกาลหรือการค้าขาย เขาก้าวเดินโดยไม่เหลียวหลังเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตแล้วเลี้ยวซ้ายตรงตรอกเล็ก ๆ ซึ่งมีทางแยกออกไปอีกหลายสาย เขาหยุดฟังเสียงย่ำเท้าหนัก ๆ ที่ตามมา เลี้ยวอีกครั้งผ่านบ้านตรงหัวมุม ผ่านเด็กน้อยที่เล่นกันอยู่แถวนั้นมาถึงแนวรั้วสูงก็อาศัยความชำนาญปีนข้ามไปอย่างง่ายดายหลี่อวี้อ๋องสลัดคนที่ตามติดเขามาตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาออกจากตำหนักใหญ่สำเร็จ มันเป็นคนมีฝีมือในการสะกดรอยพอตัว เขาเดาว่ามันคือหนึ่งในพวกกบฏ เพราะเขาไม่มีศัตรูอื่นใดอีกแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมา มีเพียงฝ่ายเขาเท่านั้นที่จับตาความเคลื่อนไหวของพวกมัน ไม่นึกเลยว่าในครั้งนี้มันจะเป็นฝ่ายลงมือก่อนเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจหากสถานะของเขาถูกเปิดเผยและถูกจดจำใบหน้าได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องหาทางตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเพื่อไม่ให้ถูกเผยตัว“ท่าน…”ฉีฟ่างวิ่งข้ามถนนเข้ามาหา เขายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก ชายหนุ่มถึงได้ชะลอฝีเท้าลงแล้วกล่าวด้วยเสียงสุขุม“คุณชาย ท่านอยู่นี่เอง ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ขอรับ”
“ดีจริง” เยว่ชิงมองถุงหอมที่แขวนอยู่กับชุดของเขาแล้วก็คิดว่านางมีฝีมือไม่น้อยเพราะความละเอียดของมันไม่แพ้ลายปักบนชุดเลย “เจ้าเก่งมาก มีฝีมือจริง ๆ เห็นทีข้าคงต้องไปพบมารดาของเจ้าแล้วชื่นชมที่นางสอนเจ้ามาได้ดีถึงเพียงนี้” “ท่านชมเกินไป” “ข้าชมจากใจจริง” “เช่นนั้นท่านแม่คงจะดีใจมาก หลังจากบ่นว่าข้ามีความเป็น กุลสตรีไม่มากพอมาตลอดทั้งชีวิต” “นางก็แค่ต้องเลือกลูกเขยให้ถูกคน ต้องหาคนที่จะเห็นความงามและคุณค่าของบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง” เขาใช้นิ้วเชยคางนางขึ้น ก่อนจะก้มลงมาใกล้ “เจ้าเห็นด้วยกับข้าหรือไม่” นางหลบตาเขาแล้วตอบ “แต่บุรุษเช่นนั้นคงหาไม่ได้โดยง่าย นอกจากเห็นคุณค่าในตัวของเยว่ชิงแล้ว ยังต้องใจกว้างดั่งแม่น้ำด้วย” “ใจกว้างดั่งแม่น้ำหรือ” หลี่อวี้อ๋องพยายามจะไม่หัวเราะแล้วแสร้งถามออกไป “ใจกว้างอย่างไรกัน” “รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พร้อมที่จะให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด” การพูดให้ตนเองได้ประโยชน์นางถนัดนักละ “ให้อะไรบ้าง” เขาชอบหลอกล่อให้นางเผลอลืมตัวจนพูดความคิดต่าง ๆ ออกมา “ให้ความรัก ความสุขและสิ่งที่จะนำมาซึ่งควา
ความโกรธขึ้งขุ่นเคืองใจของหลี่อวี้อ๋องพานให้ทุกคนในตำหนักร้อนรนจนเข้าหน้ากันไม่ติด เมื่อต้องดูแลรับใช้หรือเผชิญหน้าก็จะยืนตัวลีบอยู่ตรงกรอบประตู พูดตอบโต้ด้วยเสียงแผ่วเบา มีเพียงฉีฟ่างคนสนิทที่ยังคอยรับใช้ใกล้ชิดและทำตัวเป็นปกติ เพราะรู้ดีว่าสาเหตุที่ทำให้ท่านอ๋องต้องขุ่นเคืองพระทัยเช่นนี้เป็นเพราะเขาจับตัวคนที่สะกดรอยตามตนเองและท่านหญิงมู่หรงเยว่ชิงไม่ได้เสียที ลำพังตนเองคงไม่มีปัญหาอะไรนัก เพราะเขามีวิชาสามารถป้องกันตัวเองได้ แต่กับท่านหญิงเยว่ชิงแล้วเป็นคนละเรื่อง เขาไม่เข้าใจว่ามันต้องใจหยาบช้าเพียงใด ถึงต้องการจะทำร้ายนางได้ลง ร่างสูงถอนใจอย่างหนักหน่วง ทิ้งพู่กันลงกับโต๊ะก่อนจะเลื่อนตำราที่กำลังเขียนอยู่ออกห่างจากตัว ความคิดอ่านอยู่ที่ดรุณีน้อยซึ่งเขาเอ่ยปากเอาไว้ว่าจะไปหาในเร็ววัน แต่ก็ยังไม่สบโอกาสไปสักที “ฉีฟ่าง” ประตูถูกเปิดออก ฉีฟ่างรีบก้าวเท้าเข้ามาด้วยความว่องไว “ท่านอ๋อง” “ยังไม่ได้เบาะแสอะไรอีกหรือ” “ไม่มีเลยพ่ะย่ะค่ะ คล้ายกับว่าพวกมันรู้ทางหนีทีไล่และปกปิดร่องรอยอย่างดี” “ถ้าเช่นนั้นพวกมันคงไม่ใช่แค่ลูกน้องปลายแถวสินะ” “หร
ดวงตาของท่านอ๋องเปล่งประกาย ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืน เก็บข้าวเก็บของรวมถึงม้วนรูปภาพด้วยความเร่งรีบ “ถึงจะยังจับไอ้พวกชาติชั่วที่ปองร้ายนางไม่ได้ แต่ข้าก็อยากจะไปพบนางเดี๋ยวนี้” เขาทนคิดถึงนางไม่ไหวอีกต่อไป ฉีฟ่างรีบตรงไปที่ประตูเพื่อจะนำรถม้าออก แต่กลับถูกเรียกเอาไว้ “เดี๋ยว ข้าอยากหาของไปปลอบใจนางด้วย จะต้องมีสิ่งที่จะทำให้นางลืมเรื่องวุ่นวายนี่ไปชั่วครู่” ไม่ต้องใช้เวลาคิดนานนักก็รู้ว่าจะจัดหาของสิ่งใดให้กับนางบ้าง แต่หลี่อวี้อ๋องเพิ่มอาหารดี ๆ เข้าไปในรายการด้วย รวมถึงสิ่งที่คนในครอบครัวของนางน่าจะต้องชอบ การจะซื้อใจนางเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ เขารู้มาว่าทั้งพี่ชายและน้องชายต่างพากันกีดกันบุรุษทุกผู้ทุกคนที่เข้าหา มู่หรงเยว่ชิง แม้เขาจะเป็นอ๋องที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ แต่เขาก็อยากจะได้ความชื่นชอบจากคนที่นางรักมากกว่าใช้อำนาจบังคับ หลังจากรอมาได้ครึ่งชั่วยามด้วยความกระวนกระวาย หัวใจและความนึกคิดล่วงหน้าไปถึงจวนมู่หรงก่อนแล้ว นางกำนัลก็พากันถือของคาวของหวาน สมุนไพรชั้นเลิศ ของขวัญมากมายที่บางชิ้นเขาได้มาจาก แดนไกลอันหาค่ามิได้มาใส่เกวียนเทียมที่จอดรออยู
“อ๊ะ” เยว่ชิงสะดุ้งกับการถูกรุกล้ำเข้ามาในกายสาว นางรัดแขนรอบคอเขาแน่น สัมผัสของมันทำให้ภายในส่วนกลางกายบีบรัดจนร้อนระอุ พาให้นางเสียววูบวาบอย่างตั้งตัวไม่ติด นางกลั้นหายใจพลางซบหน้าอยู่กับไหล่กว้างเมื่อเขาขยับมือชักเข้าออกเริ่มจากเชื่องช้าไปสู่ความรัวเร็วจนร่างกายของนางรับไม่ไหว เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าที่มีเม็ดเหงื่อผุดพรายแหงนหงายไปด้านหลัง ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ขณะที่เส้นผมสีดำขลับปัดป่ายอยู่ตรงช่วงลำตัวของนาง ในตอนที่นางหลุดเสียงร้องครวญครางแล้วตัวกระตุกเกร็งภายใต้มือของเขา “ท่านอ๋อง” นางกล่าวเพียงเท่านั้นก่อนจะถอนหายใจหนักหน่วง คล้ายจะบอกว่าตัวเองได้รับความสุขสมเป็นอย่างดีแต่เหนื่อยเกินกว่าจะเอ่ยและปล่อยให้เขาจับพลิกตัวนอนลงกับเตียง “ข้าหวังว่าคงจะไม่มีใครเข้ามาขัดอีก เพราะคราวนี้ข้าจะไม่ยอมถอนกำลังเป็นแน่ หากข้าไม่ได้ชัยชนะ” “แล้วชัยชนะของท่านคือสิ่งใดกัน” นางถามราวกับจะยั่ว “เดี๋ยวเราก็จะได้รู้กัน” เขาปลุกปั่นความปรารถนาของนางขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับทำรุนแรงยิ่งกว่าเดิมอย่างหักห้ามใจไม่ไหว ทั้งบดขยี้กลีบปากบาง สองมือต้องการที่จะได้สัมผัสแตะต้องทุกตารางนิ้ว จนก
หญิงสาวยืนตัวตรงอยู่ข้างเตียง สวมเพียงชุดหลวม ๆ สำหรับ ซับในเอาไว้เรียบร้อย หลี่อวี้อ๋องมองนางแน่นิ่งราวกับจะมองให้ทะลุเนื้อผ้าเข้าไปจนกระทั่งเห็นถึงผิวเนื้อด้านใน คนที่ตกเป็นเป้าสายตาก็รู้ตัวดีจนถึงขนาดร้อน ๆ หนาว ๆ ต้องหาเรื่องเบี่ยงประเด็น “ฮ่องเต้เสด็จมาหรือเจ้าคะ” เขาพยักหน้าก่อนจะวางกล่องในมือเอาไว้บนโต๊ะ “เอาของขวัญมาให้ แต่ที่จริงน่าจะอยากแกล้งเสียมากกว่า” “แกล้ง?” “ก็จงใจมาขัดขวางตอนที่ข้าจะเข้าสนามรบน่ะซี่” คำพูดของเขาทำให้นางอายจนต้องก้มหน้างุด ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดในสายตาของเขานั้นนางก็น่าเอ็นดู น่าจับมาโอบกอดและรัดแน่น ๆ แล้วก็ไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากมีนางอยู่ในอ้อมแขนทั้งวันทั้งคืน “ข้าจะไปอาบน้ำก่อนละ” “ไปอาบน้ำก่อนอะไรหรือ ก่อนทำเรื่องนั้นหรืออย่างไร” เขาถามแกล้ง ๆ เยว่ชิงอ้าปากค้าง นับวันหลี่อวี้อ๋องที่กลายมาเป็นสามีของนางก็ยิ่งเจ้าเล่ห์เพทุบาย ขี้แกล้งและช่างหยอกเย้าเก่งขึ้นทุกที จนนางไม่รู้ว่าจะรับมือกับเขาอย่างไร “ไปเถอะ ข้าจะนอนรออย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่นี่” “ท่าน!” “ข้าพูดความจริงนี่” เขาตอบหน้าตาเฉย ก่อนจะพูดไล่หลังเมื่อนางกำลังจะเปิดประตูออกไป
งานอภิเษกสมรสของหลี่อวี้อ๋องกับมู่หรงเยว่ชิงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ถึงขนาดที่ฮ่องเต้มาเป็นประธานในงาน และเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงจำนวนมากต่างมาร่วมงาน ที่ด้านนอกชาวบ้านล้านตลาดก็พากันออกมาดูเจ้าสาวที่นั่งเกี้ยวแปดคนหาม ซึ่งด้านหลังมีสินเดิมของเจ้าสาวยาวเหยียดชนิดที่ว่าหัวขบวนเคลื่อนไปถึงถนนอีกสายแต่ท้ายขบวนที่ตั้งคอยอยู่ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับออกจากจวนแม่ทัพ สมแล้วที่นางเป็นถึง ท่านหญิงตำลึงทอง แล้วหลังจากที่แต่งงานกับหลี่อวี้อ๋อง ตำลึงทองของนางเห็นจะมีแต่เพิ่มพูนขึ้นไปอีก พิธีการทุกอย่างราบรื่นสวยงามจนกระทั่งจะถึงตอนเข้าหอที่ทำให้เจ้าสาวอย่างเยว่ชิงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา นางได้รู้อะไรมาบ้างจากเพ่ยเพ่ย ก็ไม่ได้มีสิ่งใดมากมายนักเนื่องจากเรื่องเช่นนี้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้และมันยังน่าอายที่จะหยิบยกเอามาพูดบ่อย ๆ ด้วย สิ่งที่นางรู้ก็เห็นจะเป็นเรื่องห้ามนอนนิ่งเป็นหินแข็งเท่านั้นเอง บ่าวแก่แดด ในขณะที่นางนั่งกังวลเรื่องนี้อยู่ หลี่อวี้อ๋องก็ได้รับกลเม็ดเคล็ดลับมากมายที่จะทำให้มีบุตรอย่างง่ายดายจากทั้งพี่ชายอย่างฮ่องเต้และพ่อสามีหมาด ๆ ว่าด้วยท่
มู่หรงเยว่ชิงเฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่พบเจอในฝัน หรืออันที่จริงคือตัวนางในชาติที่แล้ว ต้องตกตายเพราะเศษเงินเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น ช่างอนาถโดยแท้ ขนาดมาเกิดใหม่ในตระกูลที่มีอันจะกิน นิสัยขี้งก เอ้ย เอาเป็นว่า เห็นคุณค่าของเงินยังติดตัวมาอีก แต่ถ้าจะให้แก้ตอนนี้ก็คงสายไปเสียแล้วกระมัง “คุณหนูเจ้าคะ” เสียงเรียกของสาวใช้คนสนิทขัดความคิดของนาง “ท่านอ๋องมาถึงแล้วหรือ” “ถึงแล้วเจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับ ก้าวเดินไปยังประตูห้อง นางเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นไปเมื่อสิบวันที่แล้ว และแน่นอนว่าปิ่นที่นางเลือกใช้คือปิ่นทองลายหลันฮวาที่หลี่อวี้อ๋องมอบให้แก่นาง ซึ่งเป็นอันเดียวกับที่นางใช้ปักอยู่ทุกวันนี้ ตอนนี้เท่ากับว่านางผ่านพ้นจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และพร้อมสำหรับการออกเรือนแล้ว ช่างรวดเร็วจนน่าใจหาย นางเพียงแค่อายุสิบหกหนาวเท่านั้น ร่างบางที่นับวันความงามยิ่งฉายชัดเดินมาหยุดยืนข้างร่างสูงที่ยืนรออยู่ที่ศาลากลางสวน เมื่อเขาเห็นนางก็เผยยิ้มต้อนรับ กวาดสายตามองนางอย่างถวิลหา ช่วงนี้ทั้งสองคนมัวแต่ยุ่งอยู่กับพิธีอภิเษกที่จะมาถึงในไม่ช้า และนางก็จะต้องถนอมเนื้อตัวจน
“รับปิ่นข้าไปแล้วเท่ากับว่าเจ้าเป็นของข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว รอหลังเจ้าปักปิ่นเราจะจัดงานมงคลกันทันที” “ไม่เร็วไปหน่อยหรือเจ้าคะ” “ข้าเตรียมการไว้หมดแล้ว” “นี่ท่าน” หญิงสาวเบิกตาโต “ข้าจะยอมให้เจ้าตกเป็นของคนอื่นได้อย่างไรกัน ไหนจะหลานชายข้าอีก” “แล้วฝ่าบาท…” “เสด็จพี่ย่อมทำตามที่ข้าต้องการ” เขาพูดพลางหยิบอะไรบางอย่างออกมาชูให้นางดู เป็นม้วนผ้าสีทอง “นี่อย่างไรล่ะ รอเพียงเจ้าฟื้นจะได้ประกาศราชโองการฉบับนี้เสียที” “ราชโองการอันใดเจ้าคะ” นางคาดเดาไว้ในใจ แต่ก็เอ่ยปากถาม “สมรสพระราชทานระหว่างชินอ๋องเฉินหลี่อวี้ พระอนุชาใน เสวียนจงฮ่องเต้ กับท่านหญิงมู่หรงเยว่ชิง ธิดาของแม่ทัพใหญ่มู่หรง เซียนหลิวอย่างไรเล่า” “ท่านมั่นใจอย่างไรว่าข้าจะแต่งกับท่าน” นางนึกหมั่นไส้ “เจ้าย่อมแต่งให้ข้า เพราะไม่มีใครเหมาะสมกับเจ้าและใจกว้างเท่าข้าอีกแล้ว” “องค์ชายชาง…” นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเขาขโมยจูบ “หากยังพูดถึงชายอื่นข้าจะจูบเจ้าอีก” “ท่านนี่มัน…ร้ายกาจนัก ฮึ่ย! แต่ข้าก็รักท่าน” นางแสร้งต่อว่าและบอกรักเขาไปในตัว ก็เขาอยากฟัง
มู่หรงเยว่ชิงไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด นางไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือความฝันหรือจริงกันแน่ หรือว่านางอาจตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง เพราะหลายวันมานี้นางได้แต่ตามดูชีวิตของหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งมีใบหน้าเหมือนกันกับนางมิผิดเพี้ยน นางได้ยินเสียงเรียกชื่ออันคุ้นเคยมาจากที่ไกล ๆ แต่นางกลับสนใจที่จะตามดูชีวิตของหญิงสาวนางนี้มากกว่าสถานที่ที่หญิงสาวนางนี้อยู่คล้ายโลกที่นางไม่รู้จัก ผู้คนแต่งตัวผิดแผก มีสิ่งก่อสร้างแปลกตา บ้างก็สูงเสียดฟ้าจนนางนึกว่าอาจเชื่อมไปถึงสวรรค์ก็เป็นได้ ข้าวของที่นางไม่รู้จักมากมาย บนถนนก็มียานพาหนะแปลก ๆ แล่นไปด้วยความเร็วสูงโดยที่ไม่ต้องใช้ม้าเทียมหญิงสาวนางนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างลำบากกว่านางนัก เริ่มตั้งแต่ตื่นแต่เช้าออกจากบ้านที่เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ไปทำงาน เวลาที่นางต้องการซื้ออะไรแม้จะเป็นอาหารก็ตาม นางจะต้องคอยนึกถึงเงินในกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา พอเวลานางอยู่คนเดียวในห้องก็มักจะเหม่อมองแล้วหยิบภาพคนซึ่งน่าจะเป็นครอบครัวของนางขึ้นมาดู และทุกครั้งแววตาของนางจะสะท้อนทั้งความรู้สึกเศร้าเสียใจ เจ็บช้ำ และสุดท้ายจะเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นชี
แม่ทัพมู่หรงเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องด้วยความร้อนใจเมื่อเพ่ยเพ่ยสังเกตเห็นว่านิ้วของเยว่ชิงกระตุกและมีเสียงแผ่วเบาออกมาจากลำคอของนางอันเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นคืนสติ เขาจึงตามหมอมาตรวจอาการอย่างเร่งด่วน ผ่านมาเป็นครู่ใหญ่แล้ว หมอก็ยังตรวจไม่เสร็จสักที “ท่านพ่อทราบเรื่องหรือยังขอรับ” เซียวหนานเดินหน้าตั้งเข้ามาหา “เรื่องอะไร ตอนนี้หมอกำลังตรวจน้องเจ้าอยู่ จะมีอะไรเร่งด่วนไปกว่านี้อีก” “เรื่องที่ฝู่อิงเว่ยเป็นคนวางแผนฆ่าเยว่ชิง” “เจ้าว่าอะไรนะ” “บุตรีใต้เท้าฝู่เป็นคนวางแผนปองร้ายน้องทั้งสองครั้งขอรับ” “ทำไม” เขานึกไม่ออกว่าจะมีเหตุผลใดให้นางกระทำการโหดเหี้ยมเช่นนี้ ในเมื่อทั้งสองตระกูลไม่เคยมีความบาดหมางต่อกันมาก่อน ใต้เท้าฝู่เองก็มีไมตรีจิตรกับเขามาโดยตลอด ยิ่งกับลูกสาวแล้ว เขาไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เยว่ชิงเลย “ข้าเองก็เพิ่งรู้ว่านางเคยถูกทาบทามเอาไว้ให้อภิเษกกับท่านอ๋องขอรับ” “อย่างนั้นรึ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเรื่องก็พอจะเข้าเค้า” “ขอรับ แต่ไม่ใช่การตกลงอย่างจริงจัง เป็นเพียงการรับสั่งของฮ่องเต้ครั้งสองค
จวนมู่หรงไม่เคยอึมครึมและหม่นเศร้าขนาดนี้มาก่อน เมื่อไม่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหญิงสาวที่มักจะปรากฏตัวพร้อมกับความ รื่นเริงเสมอ ทุกอย่างก็เงียบเหงาลงจนไม่เหลือความรื่นรมย์ใด ๆ อีก แม้แต่ดอกไม้ในสวนก็ดูจะเหี่ยวเฉาตามร่างที่นอนไร้สติอยู่บนเตียงในห้องที่ รายล้อมไปด้วยของมีค่าที่นางรักนักหนา สมาชิกทุกคนจะผลัดเปลี่ยนกันมาอยู่เป็นเพื่อน หวังอย่าง เต็มเปี่ยมว่านางจะตื่นขึ้นมาและเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งและนั่งอยู่ด้วยตลอดเวลา แค่รอเวลาที่นางจะตื่นขึ้นมาเท่านั้น และวันนี้ถึงทีหลี่อวี้อ๋องที่จะได้นั่งอยู่กับนาง เขาเอาหนังสือมาอ่านให้นางฟังด้วย แต่ก็ไม่มีวี่แวววว่านางจะรู้สึกตัว เขานั่งมองหน้านางอยู่เป็นนานจนกระทั่งตัดสินใจกลับ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผลทำให้มู่หรงเยว่ชิงได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ กระดูกบางส่วนหัก ทุกคนได้แต่หวังว่าการกระทบกระเทือนนี้จะไม่ส่งผลต่อสมองหรือความทรงจำ ซึ่งแม้แต่ หมอหลวงที่ฮ่องเต้ส่งมาให้ก็ไม่อาจรับประกันได้ “ท่านอ๋อง” “ข้าจะต้องเห็นนางบาดเจ็บอีกกี่ครั้งกัน ฉีฟ่าง” องครักษ์หนุ่มหยุดยืนอยู่ด้าน
เป็นอย่างที่คาดเมื่อฮูหยินคิดว่าการมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากจะเพื่อตอบแทนน้ำใจไมตรีแล้วยังแสดงออกถึงการยอมรับความรู้สึกที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ นางจึงยอมให้ลูกสาวออกไปหาซื้อของ ข้างนอกถือเป็นการแก้เบื่อด้วย โดยให้บ่าวรับใช้อีกสองคนนอกจาก เพ่ยเพ่ยตามไปด้วย มู่หรงเยว่ชิงไม่เคยเบื่อหน่ายต่อความคึกคักของผู้คนข้างนอก ร้านรวงที่พ่อค้าแม่ค้าขยันเรียกความสนใจจากลูกค้าและร้านอาหารที่มีกลิ่นหอมเชิญชวนให้นักเดินทางแวะเข้าไปตลอดเวลา นางได้ของเต็มไม้เต็มมือเช่นเคย แต่ความคิดที่จะถักเชือกประดับหยกสวย ๆ สักเส้นดูจะเข้าท่ากว่าความคิดอื่น จึงวางใจที่จะกลับจวนเพื่อไปดำเนินการต่อ ไม่ได้อยู่เดินเล่นอ้อยอิ่งดังเช่นทุกครั้ง บ่าวรับใช้หนึ่งคนไปเอารถม้า อีกสองคนคอยประกบนางไม่ห่าง แต่รออยู่นานสองนานก็ไม่มาสักที “จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ” “ข้าจะไปตามนะขอรับ” “เอาสิ” เยว่ชิงพยักหน้าอนุญาต แล้วบ่าวชายก็วิ่งหายไปอีกทาง คราวนี้รอไม่นานนัก รถม้าประจำตระกูลก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้า ทั้งนางและ เพ่ยเพ่ยก้าวขึ้นไปนั่งด้านในอย่างเรียบร้อย แรกเริ่มเดิมท