เพราะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าฉันจะมาถึงเวลานี้ พี่เกี๊ยวเลยเตรียมอาหารเอาไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็แค่มาอุ่นและเอาขึ้นโต๊ะ พวกเราที่ขับรถมาเหนื่อยๆ พอได้กินข้าวอุ่นๆ ก็รู้สึกเหมือนได้คลายความเมื่อยล้าลงได้บ้างแต่ว่า...ฉันกลับไม่ได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับของกินตรงหน้าสักเท่าไร เพราะเรื่องที่คาใจอยู่ก่อนหน้านี้พี่เกี๊ยวยังไม่ยอมเปิดปากเล่าเสียที“นี่พี่เกี๊ยวคะ นั่งกินข้าวกันแล้วก็เล่าสักทีสิ คาใจจะแย่อยู่แล้วนะคะเนี่ย”เป็นพี่หวานที่ถามแทนใจฉันขึ้นมา ซึ่งพี่เกี๊ยวที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากได้ยินอย่างนั้นก็วางช้อนทันที“อะๆ ในเมื่ออยากรู้กันพี่ก็ไม่คิดขัดศรัทธาใครหรอกนะ ตั้งใจฟังดีๆ ล่ะพี่จะเล่าให้ฟัง”“อือๆ” ทั้งฉันและพี่หวานพยักหน้าพร้อมกัน“เมื่อก่อนป้านวลแกก็อยู่นี่แหละ มีลูกสาวน่ารักอยู่คนหนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพี่เลย แต่เพราะปัญหาหนี้สิน ป้าแกเลยต้องทิ้งลูกไว้ที่บ้านกับผัวแล้วก็แม่ผัว แล้วไปทำงานที่กรุงเทพฯ”“ตั้งแต่เมื่อไรเหรอคะ?” ฉันถามแทรกไปด้วยความสงสัย“ก็...น่าจะสัก 20 ปีก่อนมั้ง จำเวลาแม่นๆ ไม่ได้ แต่ช่วงนั้นพี่ยังเรียนมหาลัยอยู่ ก็เห็นป้าแกหิ้วกระเป๋าขึ้นรถไปกรุงเท
(พาร์ทพิเศษ น้ำหวาน)โอ๊ย เพิ่งจะเคยเห็นคนที่ทั้งนิสัยแย่แล้วก็ยังโง่อีก โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไอ้หมอนี่มันเกิดมารวยแล้วก็หน้าตาดี ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนเอาไปตลอดชีวิต“เอาเหล้ามาอีก!!”“แต่บอสครับ บอสดื่มไปเยอะมากแล้วนะครับ”“ไม่สน กูบอกให้เอามา!!!”ฮอล...นี่ฉันกำลังนับญาติกับคนที่น่าสมเพชขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ ดูจากที่เขาทำอยู่ คงไม่ได้กำลังเสียใจเรื่องที่ไล่ติญ่าออกจากบ้านไปใช่ไหม เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นแม่จะเอาปืนไล่ยิงเขาให้พรุนไปเลยแง๊ว~อีกครั้งเวลาที่คนในบ้านมีเรื่องเครียดอะไรในใจ เจ้าชัลก้าน้อยจะเข้ามาถูไถที่ขาของคนนั้นเพื่อปลอบโยน แต่เหมือนว่าจะเข้าไปผิดจังหวะ ทำให้โดนไอ้คามินทร์เตะเข้าให้เต็มๆพลั่ก!“เห้ย ไอ้บ้านี่ไปเตะแมวทำไม!”ฉันรีบวิ่งเข้าไปอุ้มชัลก้าออกมาจากไอ้บ้าตรงนั้นในทันที มันที่เห็นหน้าฉันก็ชักสีหน้าใส่ ก่อนจะส่งสายตาให้ราล์ฟที่น่าจะรับมือกับอารมณ์ของมันมาทั้งวันทั้งคืนออกไปจากห้องนี้ ราล์ฟเห็นดังนั้นถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแต่ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป จังหวะที่เดินผ่านตัวฉันก็ได้ส่งสายตามาให้พร้อมทั้งเอ่ยเสียงแผ่ว“ผมฝ
(คามินทร์)‘เฮียหิวไหมคะ ญ่าไปหาอะไรให้กินนะ’‘ไม่อยากกินข้าว ขอกินญ่าแทนได้ไหม’‘กินหญ้าทำไมคะ เป็นควายเหรอ?’‘ไม่ได้เป็นควาย เป็นปอบ จะกินคนเนี่ย’ไอ้เหี้ยเอ๊ย...กูกำลังทำอะไรอยู่วะเนี่ย ก่อนหน้านี้ผมนอนไม่เคยหลับเลย เพราะเรื่องของอันฉีมันคอยหลอกหลอนผมอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งที่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วกลับไปนอนต่อไม่ได้ ต้องเดินออกไปหาอะไรทำเพื่อให้ลืมมันความรู้สึกผิดมันแย่นะ มันไม่มีวันหายไปต่อให้เราผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาแล้วหลายปีก็ตาม ภาพที่จันทร์จ๋าตายไปต่อหน้า สิ่งที่ไอ้มาร์คพูด ทุกอย่างมันรวมอยู่ในหัวของผมจนทำให้ผมหลุดร้องไห้ออกมาเป็นครั้งแรกผม...กำลังจะกลายเป็นคนบ้า ผมคิดว่าตัวเองคงจะดูแลติญ่าหรือใครไม่ได้อีกแล้ว ผมตัดสินใจทำตัวแย่ๆ ไล่เธอจากไป พร้อมทั้งเก็บกระเป๋าให้แล้วให้เงินไปจำนวนหนึ่ง คิดว่าแค่นั้นมันคงจะพอ จนกระทั่งไอ้วินทร์มาบอกผมเรื่องเด็กในท้อง...เชื่อไหมว่าวินาทีนั้นโลกที่พังทลายของผมมันพังลงมายิ่งกว่าเดิม ผมได้แต่นั่งร้องไห้เหมือนคนบ้าตลอดเวลา ให้คนออกตามหาเธอทุกที่ แล้วก็เจอว่าเธอนั้นอยู่เชียงใหม่กับคนที่ผมไว้ใจมากที่สุดน้ำหวาน...
มินิมาร์ทที่นี่นั้นตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่เลย แค่นั่งรถสองแถวมาลงก็ถึงแล้ว แต่ขากลับนั้นเราต้องตั้งเวลาในมือถือให้ดี เพราะจากนี้จะเป็นรถเที่ยวสุดท้ายซึ่งถ้าพลาดเราอาจจะต้องเดินกลับบ้าน เนื่องจากเป็นเมืองที่ไม่ได้เป็นเมืองท่าของขนส่งสาธารณะ เลยทำให้ไม่ค่อยมีวินมอเตอร์ไซค์หรือแท็กซี่ให้บริการเวลาที่พาคิรินนั่งรถสองแถว ปกติแล้วรถมันจะเต็มอยู่ตลอด แล้วก็จอดบ่อยมากๆ ทำให้ทั้งร้อนแล้วก็อึดอัด พี่เกี๊ยวเลยชอบพาฉันนั่งมอเตอร์ไซค์ไปไหนมาไหนมากกว่า แต่ไม่รู้ทำไม วันไหนที่ฉันนั่งรถเองเหมือนจะมีโชค นอกจากคนจะไม่มีแล้วคนขับเองก็ไม่ค่อยจอด เลยทำให้ไปถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็ว“เท่าไรคะ”ฉันพาน้องคิรินลงจากสองแถวอ้อมมาทางด้านฝั่งคนขับ ก่อนจะหยิบเงินขึ้นมายื่นให้ด้วยความเคยชิน“ซาวบาทลูก” (ยี่สิบบาทลูก)“นี่ค่ะ”ปี๊น!ทว่าในขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงแตรดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของกลุ่มคนที่อยู่หน้ามินิมาร์ท ฉันสะดุ้งตกใจมองไปยังลูกชายที่อยู่ข้างตัวก่อนเลย แล้วก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเพราะตอนนี้คิรินไม่ได้อยู่ข้างตัวฉันแล้ว“คิริน!!!”ฉันเผลอปล่อยมือลูกตอนที่หยิบเงินไปจ่ายแค่เสี้ยว
(คามินทร์)‘ยุงๆ ยุงเองก็หยงทางเหมือนกันหยากั๊บ’ผมไม่เคยรักเด็ก ไม่เคยเลยสักครั้ง เมื่อก่อนถ้าเจอเด็กกวนตีนผมอยากจะเตะด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นลูกตัวเอง แค่คำพูดที่พูดไม่ชัดสองสามคำ ก็ทำให้ผมร้องไห้ได้เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน ผมเจอคิรินหลงทางอยู่ในงานเทศกาลประจำปี ที่จริงจะว่าเจอก็ไม่ได้ เพราะผมเป็นคนแอบตามสองแม่ลูกจนเจอว่าติญ่าพลัดหลงกับลูกตอนที่คนเยอะ ผมควรจะพาคิรินไปส่งให้แม่ของเขา แต่กลับใช้โอกาสนั้นนั่งพูดคุยกันหลายคำ‘ไอ้หนู แม่ไปไหนแล้วล่ะ’ ผมถามคิรินที่กำลังร้องไห้ขี้มูกโป่ง แต่พอเห็นหน้าผมเขาก็ขมวดคิ้วตามประสาเด็ก‘แม่หาย’ เสียงเล็กๆ ตอบกลับมา‘หายไปไหน แล้วพ่อล่ะ’ตอนที่ถาม หัวใจของผมเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ด้วยลุ้นว่าเขาจะรู้ไหม แต่คำตอบของเขาก็ทำให้ผมถึงกับกุมขมับ‘ตายแย้ว’เหอะ ยัยติญ่า เธอกล้าสอนลูกผิดๆ แบบนี้ได้ยังไง ตัวเองสอนลูกว่าผมตายแล้ว แต่ก็ยังตั้งชื่อคล้ายสามีเก่าคนนี้ แค่นี้หัวใจของผมมันก็พองฟูจนลืมเรื่องหงุดหงิดไปหมดแล้ว แต่ถึงจะเคืองนิดหน่อยกับสิ่งที่ได้ยิน แต่คำพูดต่อมาของคิรินก็ทำให้ผมชะงักไป‘พ่อตายคือยัย พี่ฉามมีพ่อ พี่ฉามมีแม่ ท
“ดีใจที่ได้เจอนะ/ไปให้พ้นหน้าฉัน”คำที่เราเอ่ยทักกันนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เชื่อไหมว่าได้ยินคำนั้นแล้วสิ่งเดียวที่ผมรู้สึกคือในใจมันชาไปหมด ชาจนไม่รู้ว่ามันจะเรียกว่าความเจ็บดีหรือเปล่า คนตรงหน้าไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เธอแค่กอดอกแล้วมองหน้าผม ทั้งคำพูดและท่าทางมันดูคุ้นจนผมนึกสะท้อนอยู่ในใจนี่สินะ คือความรู้สึกของเธอในวันนั้น“เราไปคุยกันที่อื่น ที่ไม่ใช่ตรงนี้ดีไหม?”ถึงเธอจะไม่ได้อยากคุยเท่าไรก็เถอะ แต่ตอนนี้ที่โรงพยาบาล มันคงไม่ใช่ที่ที่เหมาะสำหรับคุยเรื่องนั้นสักเท่าไรแต่คนตรงหน้าไม่ได้คิดเหมือนกัน“เรื่องของเรามันไม่ได้มีอะไรให้คุยเยอะขนาดนั้นหรอกค่ะ ขอตัวนะคะ”เธอทำท่าจะเดินผ่านตัวผมไปเพื่อขึ้นรถ ผมเองก็ควรจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้ทำไม...ผมถึงเลือกที่จะดึงแขนเธอเอาไว้ ทั้งที่รู้ว่าอาจจะได้รับการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย แต่ร่างกายของผมมันกลับไม่ฟังอะไรเลย“เรา...ไม่มีเรื่องต้องคุยกันมากขนาดนั้นจริงน่ะเหรอ” ผมมีเรื่องมากมายที่อยากเล่าให้ฟัง มีเรื่องมากมายที่อยากจะถาม ต่อให้ผมมีเวลาสักสิบปี ผมก็ไม่สามารถที่จะพูดมันออกมาได้หมด รู้ไหมว่าทุกครั้งที่ผมอยู่คนเด
ไม่รู้ว่าฉันพูดแบบนี้ไปกี่ครั้งแล้ว แต่ขอร้องได้ไหม เลิกทำให้ฉันหงุดหงิดซะที ฉันนั่งกอดอกอยู่บนโซฟามองสองคนพ่อลูกหยอกล้อกันอยู่หน้าทีวี ตอนนี้เวลาสองทุ่มครึ่งแล้วซึ่งคิรินจะต้องเข้านอนตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่พอมีคนมาเล่นด้วยกลายเป็นว่าเขาคึกไม่ยอมนอนสักทีสายตาของฉันมองไปยังหน้าจอทีวีที่ยังเล่นเพลงจากช่อง Cocomelon ด้วยความร้อนใจเล็กๆ อีกไม่กี่นาทีซีรี่ส์ที่รอคอยก็จะมาแล้ว พวกเขาจะเล่นด้วยกันไปจนถึงเมื่อไร อีตานี่ก็อีกคน เพราะเขาคนเดียวฉันถึงได้เสียระบบการฝึกวินัยลูกไปจนหมด คอยดูเถอะคิรินหลับเมื่อไรฉันจะไล่ตีให้ตายเลยแล้วเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าฉันไม่อยากใช้ความรุนแรงต่อหน้าลูก เลยทำเป็นใช้ลูกเป็นข้ออ้างเนียนอยู่ในบ้านหลังนี้ คิดว่าจะทำไปได้ตลอดอย่างนั้นสินะ ไม่มีทางซะล่ะ“ปะป๊าๆ” คิรินเรียกเขาพร้อมทั้งสะกิดเบาๆ ที่แขนของคนข้างกายดูเอาเถอะ ก่อนหน้านี้อะไรก็แม่ค้าบๆ เรียกแม่ทั้งวันจนฉันจะเป็นประสาทตาย แต่มาตอนนี้กลับมีแต่ปะป๊าหลุดออกมาจากปาก แม่นี่กลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้วมั้งเรียกกันยังไม่พอ ยังดึงตัวไปกระซิบได้ยินกันสองคนอีก ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!!“คิริน”ฉันเ
“เย้! คิยินชอบปะป๊าที่ฉุดเยย”ไม่รู้ว่าฉันคิดถูกไหมเรื่องที่ให้เขาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งอาทิตย์ ยอมรับว่าแรกๆ ฉันเองก็หงุดหงิดที่มีเขามาอยู่ด้วย ยิ่งพอเห็นรอยยิ้มของลูกที่อยู่กับเขาแล้วยิ้มกว้างกว่าปกติ มันก็ทำให้ฉันเกิดอาการน้อยใจขึ้นมาเสียดื้อๆ“คิรินดูนี่สิ ปะป๊าปั้นเสือได้ด้วยนะ”“เย้ๆ เฉือๆ”ก็แค่ปั้นดินน้ำมันไม่ใช่หรือไง เมื่อก่อนแม่ก็ปั้นให้ดูไม่เห็นแกจะตื่นเต้นขนาดนี้เลยคิริน ดูท่าทางกระดี๊กระด๊าดีใจจนน่าหมั่นไส้นั่นสิ มันทำให้ฉันไม่อยากออกไปทำงานเลย“วันนี้คิรินต้องไปหาพี่หนึ่งที่เนิร์สนะครับจำได้ไหม ไปล้างมือได้แล้วปะ”เขาพยายามจะดึงความสนใจของลูก ฉันเองก็มีเหมือนกัน พี่เลี้ยงที่เนิร์สสวยมาก ทั้งยังใจดีจนคิรินติดหนึบ ไม่มีทางที่เขาจะนอกใจพี่เลี้ยงคนสวยมากับไอ้มาเฟียหน้าโหดนี่ได้หรอกแต่ไม่คิดว่าพอฉันพูดชื่อพี่หนึ่ง คิรินกลับมองฉันสลับกับคนข้างกายอย่างชั่งใจ“อืมมมมม” เจ้าเด็กลากเสียงยาวอย่างใช้ความคิด“ไม่ต้องคิดแล้ว พี่หนึ่งรออยู่นะ ปะ ไปกัน”เพื่อนใหม่เหรอจะสู้คนสวยที่รออยู่ได้ สุดท้ายแล้วคนที่อ่อนประสบการณ์ด้านการเลี้ยงเด็กอย่างคามินทร์ก็ต้องพ่ายแพ้
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ
เรากลับมากรุงเทพฯทันทีที่รู้เรื่อง ก่อนเดินทางผมและติญ่ารวมทั้งพี่เลี้ยงทั้งสี่ของคิรินเตรียมตัวกันหนักมากๆ เพราะกลัวว่าคิรินจะงอแงตลอดทาง แต่โชคดีที่แค่ขึ้นเครื่องก็หลับปุ๋ย เลยทำให้ทั้งพ่อและแม่มีเวลาพักผ่อนก่อนถึงกรุงเทพฯทันทีที่มาถึงผมได้ให้น้ำหวานมารับคิรินไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับศพป้านวลกลับมาทำพิธี ระหว่างทางนั้นผมต้องจับมือติญ่าเอาไว้ตลอด เธอดูเสียใจจนไม่สนแล้วว่าตอนนี้จะมีผมอยู่ข้างกายหรือไม่“ขอบคุณนะคะคุณหมอ เดี๋ยวพิมพิจะเอาเอกสารนี้ไปให้ญาติของป้าเองค่ะ”พวกเรามาถึงที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ทว่าเมื่อมาถึง มีคนจัดการทุกอย่างแม้แต่เรื่องการจ่ายเงินค่าดำเนินการต่างๆ ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พิมพินั่นเองพอเธอเห็นพวกเรา หญิงสาวในชุดดำที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมก็ได้เดินตรงเข้ามา เธอยกมือไหว้ผมตามประสาผู้น้อยไหว้ผู้ใหญ่ก่อนจะทักเสียงเรียบ“สวัสดีค่ะพี่คามินทร์ ติญ่า”“สวัสดีพิมพิ มารับศพป้านวลเหรอ?”“ค่ะ ป้าแกไม่ได้มีญาติที่ไหน ก่อนเสียท่านก็ดูแลแม่หนูอย่างดี หนูเลย...”“เอามาให้ฉัน”ติญ่าพูดเสียงแผ่ว เธอยื่นมือสั่นๆ ไปรับเอาเ
ผมเดินตามเมียขึ้นมาที่ชั้นบน กะว่าอยากจะจัดการเด็กดื้อสักหน่อย ทว่ากลับได้ยินเสียงเล็กๆ สะอื้นมาจากห้องของคิริน ก่อนที่ติญ่าจะอุ้มลูกออกมา ปากเธอก็พึมพำปลอบลูกไม่หยุด“ไม่มีอะไรนะครับ แม่ขอโทษน้า ผีไม่มีหรอก”“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”คิรินร้องไห้สะอึกสะอื้นกอดคอแม่เป็นการใหญ่ มือเล็กชี้เข้าไปในห้องแล้วพูดแต่คำว่า ผี ผี ผี อยู่ตลอด จนกระทั่งหลับไปอีกครั้งในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ตอนนี้ติญ่าพาคิรินมานอนในห้องของตัวเอง ผมได้แต่ยืนมองไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของเธอรอจนกระทั่งเธอลูบหลังคิรินหลับไป เลยถามออกไปเสียงแผ่ว“มีอะไรหรือเปล่า ละเมอเหรอ?”ติญ่ามองไปที่ลูกซึ่งตอนนี้หลับไปแล้ว แต่ก็ยังมีอาการสะอื้นให้เห็นอยู่เป็นระยะ“ก็นิดหน่อยค่ะ”สีหน้าที่ดูเป็นกังวลของเธอทำให้ผมพลอยกังวลไปด้วย ติญ่าไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอได้เดินไปยังห้องลูกก่อนจะสำรวจที่หน้าต่างด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก“ช่วงนี้คิรินบอกว่าเจอผีที่หน้าต่างบ่อยๆ ค่ะ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะเผลอเปิดหนังผีดูด้วยกันเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเลยทำให้ลูกฝันร้าย แต่อยู่ดีๆ ลูกก็บอกว่าเห็นจริงๆ อยู่ที่ต้นไม้ข้าง
กลับมาถึงบ้านก็นั่นแหละ แบตหมดตามระเบียบ ผมพาคิรินไปนอนบนห้องแล้วก็ไปดูคนป่วยที่น่าจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้บ้างแล้วจากการพักมาทั้งวัน แต่กลับพบว่าเธอยังอยู่ในชุดนอนตัวเดิมแล้วดื่มน้ำเย็นลงไปหลายอึก“ดื่มน้ำเย็นแล้วจะหายไหมไข้น่ะ”ผมตรงเข้าไปหาเธอแล้วกอดอกพูดยิ้มๆ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ชอบดื่มน้ำเย็นเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดื่มแล้วก็เสียวฟันจนชอบทำหน้าประหลาดๆ ตลอดเวลา อย่างเช่นตอนนี้ก็ด้วย“หายเจ็บคอหรือยังครับ?”ผมถามเพราะเมื่อเช้ายังได้ยินเสียงเธอแหบแห้งเป็นนักร้องหมอลำอยู่เลย ถึงแม้กลับมาเสียงเธอจะเป็นปกติแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะหายง่ายๆ“หายแล้ว ไปซื้อยามากิน”“ยาอะไร?”“ถามทำไม”พูดจบก็ชักสีหน้าใส่ผมด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินหายเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง ถ้าให้เดานี่คงเป็นการอาบน้ำครั้งแรกในรอบวัน นึกไปถึงเมื่อวานที่เธอเปลือยล่อนจ้อนต่อหน้าผมในสภาพที่หมดสติ ถ้าเป็นผมคนเมื่อก่อนที่เธอไม่ได้โกรธอยู่ล่ะก็ เธอไม่รอดแน่ระหว่างที่รอติญ่าอาบน้ำ ผมก็สั่งกับข้าวรอไปด้วย ที่นี่เป็นอำเภอเล็กๆ ดึกอย่างนี้ไม่ได้มีบริการเดลิเวอร์รี่ให้บริการ เลยต้องใช้เดลิเวอร์รี่จำเป็นอย่างราล์ฟไปซื้อมาใ