วังหลวงหลายเดือนก่อนเพล้ง!!!"สองพ่อลูกนั่นคิดจะถอนกู่งั้นหรือ?" เผิงฮองเฮาเอ่ยออกมาด้วยโทสะเมื่อได้รับรายงานจากองครักษ์ของนางว่าบุตรชายคนดีกับเยี่ยอ๋องคนรักเก่ากำลังคิดที่จะถอนพิษกู่"ขอฮองเฮาโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ" อู่หมัวมัวนางกำนัลคนสนิทของนางเอ่ยปลอบ"หึ พวกมันคงคิดว่าตนเองนั้นฉลาดมากกระมัง คิดจะทำร้ายข้าด้วยการถอนกู่งั้นหรือ? ช่างโง่งมนัก""เป็นเช่นนั้นเพคะ""วันนี้เจ้าจัดการเรียบร้อยดีแล้วหรือไม่?""บ่าวจัดการให้อาหารกู่นางพญาตามคำสั่งของท่านเรียบร้อยแล้วเพคะ""ดี! ถึงอย่างไรเผิงไทเฮากับข้าก็มีสายเลือดเดียวกัน เลือดของนางก็เหมือนเลือดของข้า โชคดีที่ยายเฒ่าลู่อาหลางให้ข้าย้ายกู่นางพญาออกมาแล้วใช้โลหิตของท่านป้าเลี้ยงดูมันตั้งแต่เมื่อหกเดือนก่อน มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขเช่นไร สองพ่อลูกนั่นคิดจะสังหารข้าจริง ๆ สินะ!""พระองค์จะทรงให้บ่าวจัดการเช่นไรดีเพคะ?""จัดการพวกมันทั้งคู่ อย่าให้พวกมันถอนกู่ได้สำเร็จ""บ่าวทราบแล้วเพคะ บ่าวจะเร่งให้คนของเราไปจัดการทันทีเพคะ""ให้ยายเฒ่าลงมือจัดการด้วยตนเอง ข้าไม่ไว้ใจคนอื่น""เพคะ" นางกำนัลอาวุโสเดินออกจากตำหนักของเผิงฮองเฮาก่อนจะล
ในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้หากแต่เมิ่งจิ่วซือก็ยังมีท่าทีที่สงบนิ่งราวกับไม่ทุกข์ร้อน ต่างจากมู่หลงเองที่เป็นบุรุษแต่กลับรู้สึกหวาดหวั่น แม้จะพยายามให้ความสนใจกับการฝังเข็มตรงหน้าเป็นสำคัญหากแต่เสียงอาวุธที่ตกกระทบกันอยู่ตลอดเวลาด้านนอกนั้นก็ทำให้สมาธิของเขากระเจิดกระเจิงไม่น้อยเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม องครักษ์ของเมิ่งจิ่วซือและเป่ยติ้งหรงอ๋องยังคงรักษาสถานการณ์เอาไว้ได้เป็นอย่างดีแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่ยอมเลิกราเช่นกัน จนกระทั่งการถอนพิษเดินทางมาถึงในขั้นตอนสุดท้าย พิษกู่จำนวนมากถูกเข็มเงินขับไล่ให้หลั่งไหลออกมาในทิศทางเดียวกัน หนอนกู่ตัวเล็ก ๆ จำนวนไม่น้อยถูกหนอนเหมันต์กลืนกินจนขนาดตัวของมันใหญ่โตขึ้นและดูเหมือนว่าสีหน้าของเป่ยติ้งหรงอ๋องจะไม่ค่อยดีนักเมิ่งจิ่วซือจึงได้ตัดสินใจที่จะเปิดปากแผลที่แขนของชายหนุ่มอีกแผลก่อนที่จะหยิบเอาหนอนเหมันต์ที่อยู่ในขวดแก้ว มาวางบนปากแผลของชายหนุ่มอีกตัวท่ามกลางสีหน้าตกใจของเขา"จะ เจ้า! เจ้าอาจจะถูกพิษ""ข้าไม่เป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ" เมิ่งจิ่วซือเอ่ยเช่นนั้นหากแต่ว่าเป่ยติ้งหรงอ๋องยังคงมีสีหน้ากังวลใจและเมื่อปากแผลถูกเปิดออกถึงสองแผล ความเ
วังหลวงแคว้นต้าซ่งในขณะที่เผิงไทเฮากำลังทรงบรรทม จู่ ๆ ร่างกายของนางก็รู้สึกร้อนดั่งไฟ หญิงชรารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาท่ามกลางใบหน้าที่ขาวซีดและเนื้อตัวที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง"ไทเฮาทรงเป็นอันใดไปหรือเพคะ?""ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายอย่างไรก็ไม่รู้" เผิงไทเฮายกมือของนางขึ้นคลึงที่ขมับเบา ๆ สีหน้าไม่สู้ดีทำให้หมัวมัวคนสนิทต้องเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใย"ให้บ่าวตามหมอหลวงดีหรือไม่เพคะ""เช่นนั้น เจ้าก็ไปตามหมอหลวงเถิด""เพคะ บ่าวจะรีบให้คนไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้เลยเพคะ"คล้อยหลังจากที่ข่งหมัวมัวคนสนิทของนางเดินออกไปสั่งการให้นางกำนัลรีบไปตามหัวหน้าหมอหลวงมายังตำหนัก หญิงชราก็เกิดอาการหน้ามืดตาลาย ก่อนจะกระอักเลือดออกมากองโต ท่ามกลางความตื่นตกใจของเหล่านางกำนัลที่กำลังเดินเข้ามาในห้องบรรทม"ไทเฮาเพคะ ไทเฮาเพคะ เร็วเข้าพวกเจ้ารีบไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า แล้วก็รีบไปที่ตำหนักของฝ่าบาทแจ้งให้กงกงทราบ" หัวหน้านางกำนัลเอ่ยสั่งการอย่างรีบร้อนก่อนจะให้นางกำนัลคนที่เหลือช่วยกันพยุงพระวรกายของไทเฮาขึ้นไปบรรทมบนเตียงพร้อมกับช่วยเช็ดทำความสะอาดพื้นตำหนักที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดง"เจ้าค่ะกูกู"เพียงไม่นาน
ราวกับสวรรค์ต้องการลงโทษทัณฑ์หลังจากที่ฮองเฮาแคว้นต้าซ่งทรงเสด็จออกมาถือศีลที่วัดหลวงที่เมืองเถียนซาน ในคืนหนึ่งอยู่ ๆ ก็เกิดพายุหิมะตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาตกหนักนานเจ็ดวันเจ็ดคืน หลังจากนั้นชาวบ้านก็ได้รับความเดือดร้อนอย่างที่สุดเพราะไม่สามารถสัญจรไปมาได้ตามปกติ ทั้งเหล่าทหารทั้งหลายยังต้องไปช่วยกันเก็บหิมะออกจากลานวัดเพื่อความสะดวกของเหล่าราชวงศ์ทำให้ชาวบ้านต่างรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่เมื่อฮองเฮาเสด็จมาประทับเพื่อถือศีลสวดภาวนาแต่ก็ยังทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไปด้วย เรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลายเสียงนินทาเหล่านี้ทำให้เจ้าเมืองที่ต้องการประจบเอาใจฮองเฮา ถึงกับเร่งตามหาคนที่ปล่อยข่าวลือไม่ดีออกมาลงโทษก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านมากขึ้นหลังจากมีการสั่งลงโทษผู้ที่ปล่อยข่าวลือเสียหายเหล่านั้นแล้วเพียงไม่กี่วันก็เกิดเหตุการณ์สุดสะพรึงขึ้นอีกครั้ง เมื่อหิมะที่ตกหนักมานานเกิดการทับถมกันในค่ำคืนหนึ่งที่เงียบสงบก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุทำให้หิมะถล่มลงมาจากภูเขาสูงก่อนจะกลบทับหมู่บ้านที่อยู่บริเวณตีนเขาได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก แต่แม้ว่าจะได้รับความเ
สองปีผ่านไปช่วงเวลาการไว้ทุกข์ของเผิงไทเฮาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ตู๋กูรั่วหวามีอายุหกขวบปีแล้วส่วนตู๋กูรั่วเหยียนก็ครบกำหนดสองขวบปีไปเมื่อเร็ว ๆ นี้เองนับเวลารอก็ใกล้จะถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องออกเดินทางเพื่อเข้าเมืองหลวงแล้ว เมื่อถึงเวลาจริง ๆ เมิ่งจิ่วซือก็อดที่จะเกิดความกังวลมิได้ ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดอีกแต่นางก็จะปกป้องครอบครัวของนางให้ดีที่สุดจวนอ๋องกำลังวุ่นวายในการเก็บสัมภาระทุกอย่างจัดลงหีบ ครั้งนี้พวกเขาคิดที่จะเดินทางด้วยทางน้ำเพราะสะดวกกว่าและใช้เวลาไม่ยาวนานเท่ากับการเดินทางด้วยรถม้า
การเดินทางโดยเรือสามารถย่นระยะเวลาในการเดินทางได้เร็วกว่าครึ่งของการเดินทางด้วยรถม้าเป็นเพราะไม่จำเป็นที่จะต้องหยุดพักในช่วงเวลากลางคืน หลังจากที่เดินทางมากว่าเจ็ดวันในค่ำคืนหนึ่งที่ทุกคนต่างก็กำลังหลับใหลอยู่นั้น ก็มีรายงานว่าเรือที่เดินทางล่วงหน้าไปก่อนหน้านี้ถูกวางระเบิดจนกระทั่งเรือทั้งเรือเกิดเพลิงไหม้ก่อนจะจมลงสู่ใต้น้ำ โชคดีที่เป็นเพียงการตบตาทำให้ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนทางด้านรถม้าที่ออกเดินทางในภายหลังเองก็ถูกลอบทำร้ายเช่นกันพวกมันคงจะคิดว่าเพื่อป้องกันไม่ให้แผนการผิดพลาดจึงได้ลงมือทั้งสองทางพร้อม ๆ กันเช่นนี้ในการเดินทางมาเมืองหลวงในครั้งนี้เป่ยติ้งหรงอ๋องไม่ได้คิดที่จะกลับมามือเปล่าหากแต่เขาต้องการกลับมาเพื่อขุดรากถอนโคนตระกูลเผิงให้สิ้นซาก ในมือของเขานั้นมีหลักฐานความผิดของตระกูลเผิงอยู่หลายข้อกล่าวหาและแต่ละข้อกล่าวหาก็รุนแรงมากพอจะทำให้ตระกูลเผิงถึงกับล่มสลายได้เลยคนเหล่านั้นคงจะไม่ยอมอยู่เฉยอย่างแน่นอนและการเดินทางในครั้งนี้ย่อมไม่จบลงโดยง่าย คาดการณ์ว่าคนเหล่านั้นจะต้องสืบความให้แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วเขาและครอบครัวนั้นได้ตายจากไปแล้วจริง ๆ หรือไม่?
เป่ยติ้งหรงอ๋องแวะพักค้างแรมที่หัวเมืองอิ๋นซานระหว่างทางที่ใช้เดินทางมายังเมืองหลวงแคว้นต้าซ่ง เมืองอิ๋นซานเป็นหัวเมืองขนาดเล็กชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและค้าขาย ที่นี่มีท่าเรือเล็ก ๆ อยู่หากแต่เพราะไม่ใช่หัวเมืองหลักท่าเรือจึงไม่ได้มีความคึกคักมากเท่าที่ควร ชายหนุ่มเลือกเช่าจวนแห่งหนึ่งอยู่แทนการพักแรมที่โรงเตี๊ยมเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลายเป็นจุดสนใจมากเกินไป"เราจะพักที่เมืองนี้สักพักแล้วค่อยออกเดินทางต่อ""เจ้าค่ะ เอาละพวกเจ้าพาคุณหนูคุณชายไปพักเถิด" เมิ่งจิ่วซือหันมาเอ่ยกับสาวใช้ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจสามีอีกครั้ง
ทางด้านตู๋กูรั่วหวาที่เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยกำลังจะถูกแม่เล้าผู้นั้นนำตัวไปก็คิดจะเข้าไปขัดขวาง หากแต่อยู่ ๆ ก็ถูกมือใหญ่ของใครบางคนปิดที่ริมฝีปากเอาไว้เสียก่อน นางรู้สึกตกใจมากก่อนจะดีดดิ้นจนสุดแรงศอกเล็กกำลังจะทิ่มแทงไปที่ร่างสูงหากแต่คนคนนั้นกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน"ข้าเอง!" ยิ่งได้ยินเช่นนั้นเด็กน้อยก็ยิ่งงุนงง ข้าเองไหนกัน? และเมื่อหันกลับมามองก็พบชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าที่หล่อเหลาเช่นนี้นางย่อมไม่ลืมอยู่แล้ว"ท่านอาเสิ่น? ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ""ชู
เผิงฮองเฮายืนมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีและฮ่องเต้แห้งแคว้นต้าซ่งด้วยแววตาเรียบนิ่ง ภายหลังจากวันที่นางเริ่มต้นที่จะดำเนินแผนการในขั้นตอนสุดท้าย นางก็ได้สั่งให้ยายเฒ่าลู่อาหลางวางยาพิษแก่ฝ่าบาทก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มป่วยลงแล้วนางก็ว่าราชการหลังม่านแทนในวันนี้จะเป็นการประกาศราชโองการแต่งตั้งให้โอรสองค์รองของนางขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาท ก่อนที่จะมีคำสั่งตัดสินโทษเป่ยติ้งหรงอ๋องในคราวเดียวกันไม่ว่าอย่างไรโอรสองค์โตผู้นี้ก็ไม่สามารถที่จะเก็บไว้ได้"ท่านพ่อมีคำสั่งว่าอย่างไรบ้าง" เผิงฮองเฮาเอ่ยกับหมัวมัวคนสนิท"นายท่านให
ทางด้านตู๋กูรั่วหวาที่นั่งแอบอยู่ในพุ่มไม้มานานกว่าชั่วยาม นางไม่กล้าเสี่ยงออกไปจากตรงนี้เพราะกลัวว่าพวกมันจะย้อนกลับมาแล้วพบนางและน้องชายเข้า หากเป็นเช่นนั้นด้วยเรี่ยวแรงที่มีคงไม่อาจต่อสู้กับทหารเหล่านั้นได้เป็นแน่ มิสู้อยู่รั้งรอตรงนี้ให้ท้องฟ้ามืดลงสักหน่อยแล้วค่อยออกจากที่ซ่อนจะดีเสียกว่าเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ได้แต่อดทนรอจนกว่าท้องฟ้าจะมืดลงจ๊อกกกแต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดเสียงบางอย่างดังขึ้น ตู๋กูรั่วหวาหันหน้ากลับไปมองตามเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ก่อนจะเห็นน้องชายตัวน้อยนั่งทำตาปริบ ๆ อย่างน่าเอ็นดู พร้อมกับเสียงท้องร้องที่บ่งบอกว่าหิวมากแล้ว
หลังจากที่เป่ยติ้งหรงอ๋องถูกเชิญตัวไปที่ศาลอาญาเพียงชั่วยามอยู่ ๆ ก็มีเหล่าทหารรักษาเมืองจำนวนมากเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องของนางเอาไว้"พระชายาเพคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ มีคำสั่งให้ทหารรักษาเมืองเข้าปิดล้อมจวนอ๋องเพคะ" อาฉือเข้ามารายงานนายหญิงของตนหลังจากที่มีองครักษ์เข้ามาแจ้งว่ามีทหารรักษาเมืองเข้ามาปิดล้อมจวนอ๋องอย่างแน่นหนาแม้แต่มดสักตัวยังไม่สามารถผ่านเข้าออกได้"ปิดล้อมจวนงั้นหรือ? ด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่แล้วท่านอ๋องเล่าเป็นเช่นไรบ้าง""ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านเข้าออกจวนได้เลยเพคะ ในตอนนี้จึงยังไม่ทราบว่าด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่" อาฉือเอ่ยรายงาน"ให้องครักษ์ที่ท่านอ๋องทิ้งไว้หาทางติดต่อกับคุณชายเสิ่นและท่านชายอันชิงที่อยู่นอกประตูเมือง""เพคะ บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เพคะ"ขณะนั้นเกาหมัวมัวก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อนใบหน้าของหญิงชรามีท่าทางตื่นตระหนก"เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ?""เชิญพระชายาเสด็จออกไปดูด้วยพระองค์เองเถิดเพคะ มีราชโองการมาเพคะ""ราชโองการ?" เมิ่งจ
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!อู่หมัวมัวรีบไล่เหล่าขันทีและนางกำนัลออกไปจากตำหนักจนหมดเมื่อเห็นว่าเผิงฮองเฮากำลังจะอาละวาด นางไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเห็นหรือมาได้ยินสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"บุตรชายตัวดีของข้าอีกแล้วหรือ?""ฮองเฮาทรงเย็นพระทัยไว้เพคะ จะต้องมีทางแก้ไขอย่างแน่นอน" อู่หมัวมัวเอ่ยปลอบนายหญิงของตนเมื่อตอนกลางวันที่ยายเฒ่าลู่อาหลางได้เริ่มทำพิธีไสยเวทนั้นจู่ ๆ ก็ม
หลังจากที่พวกเขาขึ้นมาบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พายุฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมิ่งจิ่วซือรับผ้าจากมือสาวใช้ขึ้นมาซับที่ผมของลูก ๆ ของนาง สามีจึงได้เอ่ยขึ้น"เจ้ากับลูกอยู่ที่นี่อย่าได้ออกไปที่ใดเดี๋ยวพี่จะรีบกลับมา" กล่าวเสร็จเป่ยติ้งหรงอ๋องก็หันหลังเตรียมตัวที่จะลงจากรถม้าหากแต่ได้ยินเสียงภรรยาร้องเรียกจึงได้หยุดแล้วหันกลับมามอง"ท่านพี่!""หืม มีอันใดงั้นหรือ?""
วันงานพิธีด้วยเพราะฝนตกลงมาแล้วหากแต่งานพิธีได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ทำให้การจัดงานพิธีขอฝนกลายเป็นงานพิธีเฉลิมฉลองและขอบคุณเทพเจ้าที่ประทานฝนแทน ยังคงมีการร่ายรำของเหล่าเทพธิดาทั้งหลายโดยชุดการแสดงนั้นมีทั้งการบรรเลงดนตรีและการร่ายรำที่อ่อนช้อยตามที่ได้รับการฝึกมาอย่างหนักในงานพิธีวันนี้จัดขึ้นที่ลานประลองนอกวังหลวงขุนนางทั้งหลายไม่ว่าจะระดับใดล้วนสามารถพาคนในครอบครัวเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้ ทั้งยังอนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ได้เช่นกันโดยจะถูกจัดพื้นที่ให้อยู่กันคนละส่วนกับเหล่าขุนนาง ซึ่งในบรรดาขุนนางก็ยังถูกจัดที่นั่งให้ตามลำดับขั้นและตำแหน่ง
วันงานคัดเลือกเทพธิดาล้วนได้รับความสนใจจากเหล่าสตรีชนชั้นสูงทั่วทั้งเมืองหลวง ด้วยว่าต้องการให้ลูกหลานของตนนั้นมีหน้ามีตาเพิ่มมากขึ้นหากแต่ข่าวการมาถึงเมืองหลวงของเป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นดูจะได้รับความสนใจยิ่งกว่า เมื่อขบวนรถม้ายาวนับลี้เดินทางผ่านประตูเมืองเข้ามาเหล่าทหารนายกองต่างพากันตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตกใจสิ่งใดก่อนระหว่างการที่เป่ยติ้งหรงอ๋องนั้นเสด็จมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยหรือควรตื่นตกใจเรื่องที่เมื่อขบวนรถม้าของเป่ยติ้งหรงอ๋องมาถึงเมืองหลวงท้องฟ้ากลับตั้งเค้าเมฆฝนดำทะมึนก่อนจะโหมกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักในไม่กี่เพลาต่อมา ทำเอาประชาชนทั้งหลายต่างพากันสรรเสริญพระบารมีของเป่ยติ้งหรงอ๋องที่มีต่อแคว้นต้าซ่ง ทั้งยังมีข่าวลือว่าเป่ยติ้งหรงอ๋องคือโอรสสวรรค์ที่แท้จริงสร้างความไม่พอใจให้กับเผิงฮองเฮาที่ทราบข่าวเป็นอย่างยิ่ง
ฮองเฮามีรับสั่งให้หมอเทวดาลู่อาหลางเข้าให้การรักษาฝ่าบาทจนกระทั่งหลายวันผ่านไปอาการของฝ่าบาทก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้ในตอนแรกเหล่าบรรดาหมอหลวงจะมีการคัดค้านหากแต่เมื่อเวลาต่อมาพระอาการของฝ่าบาททรงดีขึ้นพวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกันอีก แม้ว่าเหล่าขุนนางจะรู้สึกคับข้องในใจไม่น้อยเกี่ยวกับการรักษาที่เป็นความลับไม่ยอมเปิดเผยต่อพวกเขาก็ตามหากแต่สุดท้ายเพราะอำนาจของตระกูลเผิงทำให้พวกเขาจำเป็นจะต้องเงียบปากไปเสียดื้อ ๆ ทางด้านหมอหลวงที่ให้การรักษาฝ่าบาทมาตลอดเองก็รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างมาก หมอเทวดาลู่อาหลางผู้นั้นมิรู้ว่าใช้สิ่งใดรักษาฝ่าบาทจึงได้ดีวันดีคืนราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน แม้ว่าจะมีข้อสงสัยอยู่มากแต่เขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาจนกระทั่งในวันหนึ่งที่ต
ทางด้านวังหลวง แคว้นต้าซ่งหมอหลวงต่างพากันวิ่งวุ่นชุลมุนเพราะสาเหตุที่อยู่ ๆ ฝ่าบาทก็เกิดอาการประชวรขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่ยังหาสาเหตุมิได้"เป็นเช่นไร ฝ่าบาทป่วยเป็นอันใดกันแน่?""ทูลฮองเฮา ฝ่าบาทชีพจรไม่คงที่ ลมหายใจแผ่วเบา น่าจะเกิดจากการสะเทือนพระทัยเรื่องข่าวลือของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ" หมอหลวงที่เดิมทีก็หาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ เพียงแต่อาการที่ตรวจพบก็เป็นเช่นที่เขากล่าวทูลฮองเฮาไปจริง ๆ เช่นนั้นเขาจึงคาดการณ์ว่าเรื่องนี้คงจะเกี่ยวกับข่าวลือของเป่ยติ้งหรงอ๋องไม่มากก็น้อย