แสงตะวันเริ่มลับขอบฟ้า จรีภรณ์ขยับตัวบิดร่างกายเพราะนั่งอ่านเอกสารทำงานท่าเดิมเป็นเวลานานๆ จนเส้นสายยึดไปหมด ก่อนหันหน้ามองนาฬิกาแล้วขยับตัวเก็บเรียงเอกสารที่สำคัญลงในลิ้นชักและล็อกเอาไว้เป็นอย่างดี บางส่วนก็นำไฟล์เข้าทางอีเมลเผื่อว่าต้องเช็กหรือเปิดตรวจสอบดู
หลังจากเก็บของเสร็จ หยิบกระเป๋าเดินมาปิดไฟและออกจากห้องทำงานไป เวลานี้ก็หกโมงเย็นเกือบทุ่มแล้ว เธอจะต้องแวะซื้อของอีก ถึงบ้านก็ดึกอยู่เหมือนกัน เห็นทีว่าเย็นนี้อาจต้องทานมื้อเย็นนอกบ้านเสียแล้วเธอหยิบโทรศัพท์กดรับเบอร์ของพี่สะใภ้ในขณะที่เดินมารอลิฟต์[ยัยพริมอยู่ไหนแล้วนี่เรา] ทันทีที่รับสายมารวีก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง“พริมกำลังออกจากบริษัทค่ะ เดี๋ยวพริมจะแวะซื้อของด้วย กะว่าคงไม่ทานข้าวที่บ้านนะคะ”[แล้วตาไม้อยู่ด้วยหรือเปล่า ?]“ไม่ค่ะ เห็นว่าวันนี้ติดธุระ” หญิงสาวกล่าวก่อนรีบพูดต่อไปในทันทีว่า “เดี๋ยวพริมขอตัวก่อนนะ เดี๋ยวรถจะไม่มีค่ะ”[จ้ะ ถ้ารถไม่มีโทรมาบอกนะ เดี๋ยวจะให้คนขับรถขับไปรับ]“ค่ะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ” เมื่อพูก๊อกๆ ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชายหนุ่มขยับตัวลุกจากที่นอนเดินมาเปิดประตู“มีอะไรหรือเปล่าครับ ?” กตตน์เอ่ยถามขึ้น“นี่มันจะห้าทุ่มแล้ว ทำไมยัยพริมยังไม่กลับมาอีกตาไม้” บวรลักษณ์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง“แม่โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย”“ผมว่าคงใกล้ถึงแล้ว...”“คุณนายคะ ! คุณนาย เกิดเรื่องแล้วค่ะ ! เกิดเรื่องแล้ว !” สาวใช้ ร่างท้วมรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก“อะไรของแกอีก”บวรลักษณ์หันไปถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดที่โดนขัดบทสนทนา“เมื่อกี้โรงพยาบาลโทรมาค่ะ บอกว่าคุณพริมอยู่ที่โรงพยาบาล”“หา ! ว่าอะไรนะ” บวรลักษณ์แทบจะเป็นลมทันทีที่ได้ยิน “ฟังไม่ผิดใช่ไหม ?”สาวใช้พยักหน้าสองครั้ง คนฟังแทบเป็นลมแต่ก็ตั้งสติเอาไว้“ไปบอกให้คนเอารถออก ฉันจะไปหายัยพริม ไปเร็วสิ !” บวรลักษณ์พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ แล้วรีบเดินกลับห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ในขณะที่กตตน์กำลังยืนอึ้งเมื่อได้ยินสาวใช้พูด.. .ชายหนุ่มถอยหลังเดินเข้าไปในห้อ
“ยัยพริม...”เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ ขยับปรับกะพริบรับแสงไฟที่ส่องเข้ามา หญิงสาวลืมตาขึ้นมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความมึนงง ดวงตากลมกลอกมองแม่สามี พี่เขยและพี่สะใภ้ที่ยืนมองด้วยสายตาเป็นห่วง และสายตาสุดท้ายส่งมองไปยังกตตน์ที่ยืนออกห่างจากเตียงของเธอ สีหน้าของเขายังคงนิ่งไม่แสดงความรู้สึกอะไร หญิงสาวเบือนสายตาไปมองทางอื่นโดยไม่สนใจคนตัวใหญ่ที่ยืนอยู่อีก“พริมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ” จรีภรณ์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่ว“มีคนมาช่วย โชคดีนะที่เราไม่ถูกทำร้ายอะไรเข้า เห็นไหม ! แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่ากลับบ้านดึกให้โทรบอกแม่จะให้คนขับรถไปรับ ครั้งนี้โชคดีแต่ครั้งหน้าล่ะ...” บวรลักษณ์พูดติเตือนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง“คุณแม่ครับ ให้พริมพักก่อนดีไหมครับ” กันตภณพูดขึ้นเมื่อเห็น ผู้เป็นแม่ตำหนิน้องสะใภ้บวรลักษณ์พยักหน้าพลางถอนหายใจออกมาอย่างหนัก “เมื่อกี้ตำรวจมาขอสอบปากคำ แต่หนูยังไม่ฟื้น วันพรุ่งนี้เขาจะมาใหม่ เราจำหน้าคนร้ายได้ใช่ไหม ?”จรีภรณ์พยักหน้าแทนคำตอบ“งั้นแม่ไม่กวนเวลาเราพักแล้ว ถ้ามีอะไรก็เรี
ร่างเล็กขยับตัวพลิกไปมาก่อนค่อยๆ ปรือตาขึ้นหันมองไปทางหน้าต่าง แสงตะวันกำลังลับขอบฟ้าอีกวัน นี่เผลอหลับไปยาวหลายชั่วโมงโดยไม่รู้ตัวเลยหรือ เธอขยับตัวลงจากเตียงยกมือขึ้นขยี้ผมด้วยความงัวเงียพอดีกับที่ประตูห้องเปิดเข้ามา สาวใช้คนหนึ่งถือถาดเดินเข้ามาในห้องวางไว้ที่โต๊ะ“คุณนายให้นำอาหารมื้อเย็นมาให้ค่ะ”“ขอบใจจ้ะ” จรีภรณ์กล่าวขอบคุณในขณะที่สาวใช้หมุนตัวเดินออกจากห้องไปชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลงพลางส่งสายตามองภรรยาก่อนเดินเข้ามาหา“คุณเป็นยังไงบ้าง”จรีภรณ์เหลือบมองกตตน์โดยที่ยังไม่ตอบในทันที เธอหมุนตัวเดินมานั่งที่โต๊ะก่อนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอีกครั้ง “เป็นการผจญภัยที่ดีมั้งคะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มส่งสายตามองก่อนก้าวเข้าไปใกล้ในขณะที่เธอกำลังตักอาหารเข้าปาก“ผมขอโทษ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด หากว่าเมื่อวานไม่ตอบรับดินเนอร์แพรวรุ้งไปก็คงกลับพร้อมกับเธอและไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจรีภรณ์ตักอาหารเข้าปากก่อนวางช้อนลงขยั
เช้านี้มีงานเยอะเพราะของเดิมเมื่อวันที่ไม่ได้ทำงานรวมกับงานใหม่ในบางส่วนวันนี้ ทำให้มีเยอะมากกว่าปกติ แต่โชคดีที่กันตภณช่วยงานในบางส่วนจนเสร็จไปแล้ว เหลือเวลาไม่ถึงชั่วโมงก่อนเที่ยงพอดีกับที่งานเสร็จแล้ว จรีภรณ์จึงมีเวลานำบัญชีที่ดูค้างไว้เมื่อวันจันทร์ออกมาตรวจสอบต่อได้บ้าง ข้อมูลและตัวเลขบางส่วนไม่ตรงกันจนน่าสงสัย ถึงแม้ความคาดเคลื่อนจะอยู่ในจุดที่รับได้ แต่ถ้าหากนำมารวมกันแล้วจำนวนเงินที่หายไปนั้นก็มากพอสมควรเหมือนกันหญิงสาวเอนแผ่นหลังพิงกับพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจออกมา ตัวเลขที่มีจำนวนมากทำให้ตาลายและมึนงงสับสนได้เช่นกัน อีกทั้งตอนนี้พริมมาก็ไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นเลยสักนิด เธอจึงตัดสินใจไปต่อไม่ถูกว่าควรจะทำอย่างไรต่อ อันที่จริงปีที่แล้วอาธีทัตเป็นคนดูแลเรื่องจำนวนเงินในส่วนนี้ แต่อยู่ ๆ ก็ถูกส่งเปลี่ยนมาให้เธอหรือว่าเอกสารชุดนี้ทางแผนกส่งมาผิด ? ก็ไม่น่าจะใช่...ไว้กลับบ้านค่อยลองปรึกษาเขาดูแล้วกันเธอคิดพลางเอื้อมมือเก็บเอกสารที่สำคัญลงในลิ้นชักและล็อกกุญแจขึ้น ก่อนจะจัดโต๊ะทำงานให้ดูเรียบร้อยเพราะมีเอกสารหลายชุดวางกระจายจนดูรกไปหมดเสียงปิดประตูดังขึ้นทำให้จรีภ
โชคชะตาและพรหมลิขิต !!เขาตั้งใจขายขนมจีบให้ชัดๆ ให้ตายสิไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง มันไม่ดีเลยสักนิดเพราะเขาไม่รู้เลยว่าพริมมานั้นแต่งงานมีสามีเรียบร้อยแล้ว...และหล่อนก็รักสามีมากจรีภรณ์ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า ในขณะที่เดินเข้ามายังโต๊ะทำงานวางกระเป๋าและนั่งลงที่เก้าอี้เอนแผ่นหลังพิงพนัก ก่อนจะเอื้อมมือหยิบเอกสารที่วางอยู่ขึ้นมาจัดการทำต่อ ไม่นานนักเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่จะเปิดออกภพธรเดินเข้ามาในขณะที่เธอละสายตาจากงานและเงยหน้าขึ้นมอง“ตารางนัดหมายพบลูกค้าครับ” ภพธรพูดพร้อมกับยื่นแฟ้มบางๆ ส่งให้เจ้านาย จรีภรณ์เอื้อมมือรับเปิดกวาดสายตาอ่านก่อนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้“พรุ่งนี้จะมีการนัดประชุมคณะผู้บริหารและคณะกรรมการในตอนเช้า ส่วนในตอนบ่ายมีนัดคุยกับลูกค้ารายสำคัญครับ” เลขาหนุ่มรายงานและแจ้งกำหนดการของวันพรุ่งนี้“โอเคค่ะ เออ…เดี๋ยวช่วยทำสำเนางบประมาณของอาธีทัตด้วยนะคะ แล้วเรื่องนี้อย่าบอกให้ใครรู้นะคะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นกล่าวพร้อมกับปิดแฟ้มที่ภพธรนำมาให้วางไว้ที่ข้างมุมโต๊ะ“ได
หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จแล้ว จรีภรณ์ขอให้ชายหนุ่มแวะซื้อของใช้จำเป็นที่ห้างสรรพสินค้าเล็กน้อยก่อนที่จะกลับ กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบห้าทุ่ม ทันทีที่ลงจากรถต่างคนต่างเดินเข้าไปในบ้านโดยที่เธอแบกของที่ซื้อมาเต็มมือแต่เขาเดินไปหน้าตาเฉยๆ มีบ้างไหม! น้ำใจที่จะช่วยถือของน่ะโชคดีที่สาวใช้ยังอยู่จึงเข้ามาช่วยขนของนำไปไว้ที่ห้องให้ จรีภรณ์เดินตามเข้ามาวางเอกสารลงบนโต๊ะเหลือบมองกตตน์ที่กำลังยืนถอดเน็คไท“ฉันอาบก่อนนะ”รีบพูดขึ้นในทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังถอดเสื้อผ้า“ผมถอดเสื้อผ้าแล้ว” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ฉันก็กำลังเตรียมเสื้อผ้าและเดินเข้าห้องน้ำแล้ว”หญิงสาวเดินมาหยิบเสื้อผ้าในตู้ก่อนหันมามองชายหนุ่ม“ฉันจะอาบค่ะ”กตตน์มองคนตัวเล็กที่ยืนกรานคำพูดเดิมจนต้องถอนหายใจออกมา“งั้นเราก็อาบน้ำพร้อมกันไหม?”นี่เป็นคำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของชายหนุ่มตรงหน้า เขาเพี้ยนไปแล้วหรือไงกัน!“คุณอยากอาบก็ไปอาบก่อนเลยไป๊!” เมื่อพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไปนั่งรอที่โต๊ะโซฟาเ
ในเช้าวันนี้มีประชุมคณะกรรมการและผู้บริหารรวมถึงหัวหน้าทุกแผนกเพื่อปรึกษาหารือกัน บรรยากาศภายในห้องประชุมเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเมื่อประเด็นแรกที่เปิดมานั้น คือ การนำเสนอรายงานยอดขายของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนัก“นี่ก็หลายเดือนแล้ว ตั้งแต่สินค้าออกจำหน่าย ยอดขายแต่ละเดือนไม่ดีขึ้น หนำซ้ำยังลดลงเรื่อยๆ ผมว่าเราควรแก้ปัญหาเพิ่มยอดขายโดยเร็ว” ธีทัตเอ่ยขึ้นพลางส่งสายตาหันไปมองกตตน์ เพราะสินค้าตัวนี้ชายหนุ่มรับผิดชอบเป็นผู้ดูแล“เรายังขาดการเข้าถึงผู้บริโภคและการโปรโมทที่ดี...”“สินค้าทุกตัวของเราขายดีติดแบรนด์ทั้งหมด แต่มีเพียงครีมบำรุงที่ยอดขายไม่ดี...ผมว่าควรพิจารณาได้แล้วนะ” ธีทัตพูดขึ้นด้วยเสียงนิ่งทำให้ ทุกคนในห้องต่างเงียบไม่มีใครกล้าที่จะตอบโต้“ปกติแล้ว เราไม่ได้ทำผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงนี่คะ ส่วนมากจะเป็นพวกเครื่องสำอางและที่มาร์คหน้าหรือครีมสำหรับบำรุงหน้ามากกว่า สินค้าตัวนี้เป็นตัวแรกที่เปิดตีตลาดออกมา การเลือกซื้ออาจจะยังไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากพอ พริมเห็นว่าเราควรทำการโปรโมทโดยการเข้าหาผู้บริโภค
“กินอะไรกันมาหรือยัง”ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงของแม่สามีก็เอ่ยถามขึ้น“ยังค่ะ”“พอดีเลยเมื่อกี้แม่ให้คนเอากับข้าวไปอุ่น ตอนนี้คงเสร็จแล้ว”จรีภรณ์พยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมกับบวรลักษณ์หลังจากรับประทานอาหารมื้อดึกเสร็จแล้ว จรีภรณ์ก็ขึ้นมาหยิบเสื้อผ้าและเข้าห้องน้ำในทันที ส่วนกตตน์นั้นเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองแสงของข้อความตรงหน้าที่กะพริบขึ้น ก่อนกดอ่านและตอบปลายสายไป...ไม่เป็นไรค่ะ แพรวจะรอวันที่ไม้ว่าง...ปฏิเสธไปจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ว่าได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอ เพียงแต่ความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้ทำให้แน่นหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก เขาสับสนและยอมรับว่าเริ่มมีความรู้สึกดีกับพริมมามากขึ้นเรื่อยๆชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเสียงดัง เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าด้วยความอ่อนล้า ก่อนจะส่งสายตามองไปยังประตูห้องน้ำที่กำลังเปิดออก เธอเดินออกมาจัดการเป่าผมและทาครีมก่อนที่จะขยับตัวขึ้นนอนบนเตียงไม่ถึงยี่สิบนาที เขาสาวเท้าเดินมาที่เตียงและขยับตัวขึ้นนอนเบาๆ พลางส่งสายตามองหญิงสาวบนเตียงที่นอนหลับแล้ว ก
ครั้นเห็นสีหน้าของภรรยาก็รู้สึกสนุก เขายิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “คุณอยากให้ผมหยุดไหม?”นั่นเป็นคำถามที่เขาควรถามหรือไม่?!จรีภรณ์ก้มหน้านิ่งลงด้วยความอายร่างกายกำลังเรียกร้องหาเขา ถ้าให้เธอหยุดตอนนี้...หญิงสาวขยับตัวลงเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม“ไม่อยากมีกอหญ้าให้ต้นน้ำแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงหวานพูดเชิญชวนชายหนุ่ม กตตน์ใจอ่อนทันตา เพราะเสียงและสายตาที่ชวนเขาขนาดนี้มีหรือจะปฏิเสธลงได้กตตน์ดันหญิงสาวชิดกับขอบโต๊ะเขาจูบเธอก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กวางนอนกับโต๊ะทำงาน ของและกองเอกสารที่วางอยู่มุมโต๊ะถูกปัดหล่นที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจชายหนุ่มฝั่งปลายจมูกลงที่ส่วนอ่อนไหวอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เขาสามารถทำให้เธอตอบสนองและครางออกมาได้มากกว่าเดิม“คุณชอบไหม?”&nb
ต้นน้ำวิ่งออกมาจากห้องหันมองประตูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอดทน เพราะอยากจะมีน้องสาวไวๆ จึงต้องยอมนอนคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทั้งยังต้องปล่อยให้พ่ออยู่แม่ด้วยกันนานๆ“กำลังอดทน?”จรีภรณ์ทวนคำพูดของลูกชายก่อนจะวางงานเเละลุกขึ้นทันทีทว่าประตูห้องเปิดเข้ามาเสียก่อน“มาเอาของหรือคะฉันจะไปดูลูกหน่อย”หญิงสาวพูดขณะเตรียมก้าวไปทว่ามือแกร่งของชายหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน“ต้นน้ำไม่เป็นอะไรหรอกคุณโอ๋ลูกมาไปจนติดคุณเเล้วรู้ไหม"กตตน์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเเล้วเอ่ยต่อไปว่า“ต้นน้ำแกบอกว่าอยากมีน้องสาว…”จรีภรณ์ส่งสายตามองสามีเธอรับรู้ถึงน้ำเสียงกะล่อนของเขาได้“คุณไม่ได้พูดอะไรกับลูกใช่ไหม?!”“ผมเปล่าพูดอะไร&rdqu
จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วทุกอย่างไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเเปลงไปมากกว่าเก่าเพียงเเต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนเเปลงไปคือความรู้สึกของเขาหลายปีมานี้จนกระทั่งมีลูกชายคนเเรกเธอรับรู้การเปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้มากรวมทั้งตัวของเธอด้วยเเต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอไปตลอดคือ'พริมมา'ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่มีวันลืมได้ว่าร่างกายนี้…เสียงลมหายใจนี้เป็นของหล่อนที่มอบให้เธอได้กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งหนึ่ง“แม่ค้าบบ”เสียงของเด็กชายวัยสี่ปีกว่าๆดังขึ้นขณะที่เสียงฝีเท้าวิ่งพราดเข้ามาหาผู้เป็นแม่มือน้อยๆดึงชายกระโปรงชุดนอนเป็นเชิงเรียกให้มารดาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาหันมามอง“มีอะไรครับคนเก่งของแม่”จรีภรณ์ละสายตาจากเอกสารหันมองลูกชายตัวน้อยเด็กชายส่งสมุดวาดรูปให้กับผู้เป็นแม่
ขวัญข้าวจัดกระเป๋าขณะที่มือก็ถือกุญแจเอาไว้ แต่ถือไว้ไม่ดีจึงทำให้หล่นลงพื้น ไม่เพียงแค่นั้นขณะก้มลงเก็บสายสะพายกระเป๋าก็ร่วงลงมาด้วยทำให้น้ำหนักทั้งหมดอยู่ที่แขนซ้าย หญิงสาวมีใบหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะของที่เยอะทำให้หยิบจับอะไรไม่สะดวก แต่ก็โทษใครไม่ได้ที่ดันซื้อมาเยอะเองเพราะคิดว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกทำรายงานยาว เกรงว่าจะหิวเลยจัดซะเต็ม‘ของเธอใช่ไหม ?’ เสียงทุ้มเอ่ยทักขึ้นขณะที่ยื่นมือส่งกุญแจให้กับเธอ ขวัญข้าวพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเขาอีกแล้ว...!!‘ขอบคุณค่ะ’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือรับ‘พักอยู่ห้องนี้เหรอ’ ธนวินทร์เอ่ยถามขึ้น‘ค่ะ’‘เหรอ’ เขายิ้ม ‘เราพักอยู่ห้องข้างๆ เธอนะ’ขวัญข้าวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนหันมาเปิดประตูห้อง แต่ก็นึกเพราะคนเก่าที่อยู่เป็นรุ่นพี่ผู้หญิง แสดงว่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน‘เธอชื่ออะไรเหรอ ?’ ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้ คนตัวเล็กมองอยู่นานก่อนจะตอบกลับ‘ข้าวค่ะ’&lsquo
หลังเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของวัน อาจารย์ผู้สอนเก็บของและเดินออกไปจากห้อง พะแพงลุกขึ้นวางของแล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนในกลุ่มก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง‘วันนี้ไปส่องผู้ชายกัน !’‘ที่ไหน ! / ไปตอนไหน !’ แก้วและปรางพูดขึ้นพร้อมกันขณะที่ ขวัญข้าวนิ่งเงียบทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่พะแพงพูด‘ข้าว แกต้องไปด้วยนะ’‘การบ้านยังไม่เสร็จเลย’ หญิงสาวหาข้ออ้าง‘แกทำการบ้านทุกวันนั่นแหละ ! อย่าอ้าง วันนี้ต้องไปด้วย ! เห็นว่าเด็กบริหารหล่อๆ มาเล่นกีฬาที่สนามเยอะเลย’หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าเพื่อนรักทั้งสามคนทำตาปริบๆ‘ไม่ต้อง ! แกต้องไปส่องผู้ชาย ทำการบ้านไปด้วยได้บรรยากาศดีจะตาย’ แก้วพูดขึ้นขวัญข้าวทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงที่นั่งรวมตัวอยู่กับเพื่อนแล้ว ‘ส่องผู้ชาย’ ขวัญข้าวแทบไม่มีอะไรทำจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกมเป็นการฆ่าเวลา จนกระทั่งผ่านไปถึงสองชั่วโมงเพื่อนทั้งสามของเธอก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับหอ หญิงสา
มีคนบอกว่าการพบกันของคนสองคนมาจากโชคชะตา แต่สำหรับเธอแล้วเหมือน ‘กรรม’ มากกว่า การพบกันไม่ใช่ว่าจะเกิดเรื่องราวดีๆ ระหว่างกันขึ้นเสมอไป มันอาจจะโชคร้ายและแสนเศร้ามากๆ เลยก็ได้ แม้จะมีความสุขแต่ทว่าผลสุดท้ายแล้วคือความเจ็บปวดดีๆ นี่เองเสียงฝีเท้าจากส้นสูงคู่หนึ่งก้าวหยุดอยู่ที่บ้านไม้สองชั้นบรรยากาศ ร่มรื่นมีไม้ดอก ไม้ประดับปลูกล้อมรอบไว้ อีกทั้งในบ้านก็มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นที่คอยให้ร่มเงา เธอเอื้อมมือกดกริ่งเรียกคนในบ้านและยืนรอ“กลับมาแล้วเหรอข้าว” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาเปิดประตูบ้านให้“กลับมาแล้วค่ะแม่” ขวัญข้าวขานรับทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวขนสัมภาระเข้ามาในบ้านแล้วเดินมากอดผู้เป็นมารดา“คิดถึงจังเลยค่ะ”สองปีได้ที่ต้องไปทำงานที่เมืองนอกโดยแทบไม่มีเวลากลับมาเลย ปีหนึ่งกลับมาแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ต่อให้จะโทรคุยกันในช่วงที่มีเวลาว่างก็ตาม แต่ก็ไม่เท่ากับการพบหน้าคุยกันอยู่ดี“จ้ะ...แล้วนี่กลับมาทำงานที่นี่เลยไหม ?”“ค่ะ เพราะงานวิจัยที่นั่นเสร็จแล้ว&rdquo
จรีภรณ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งหันมองไปรอบๆ ห้องแล้วมอง ชายหนุ่มที่ฟุบหน้าลงกับเตียงขณะที่กุมมือของเธอเอาไว้อยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ราวกับความฝันก็ไม่ปาน...เธอกลับเข้าร่างของพริมมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว หญิงสาวขยับมือเพียงเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวและปรือตาขึ้นมอง“พริม”จรีภรณ์ไม่มีคำพูดใดๆ จะพูดออกมาในตอนนี้นอกจากน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดออกมาได้กับการที่กลับมามองหน้าและสัมผัสเขาอยู่ใกล้กันแบบนี้อีกครั้งหนึ่งกตตน์ลุกขึ้นยกมือขึ้นสัมผัสแก้มนวลของภรรยา เขาใช้มือปาดหยดน้ำใสบนใบหน้าของเธอขณะที่โน้มตัวลง จุมพิตที่หน้าผากของเธอเบาๆ“ผมรักคุณ” เป็นเสียงกระซิบที่มีความหมายต่อเธอเหลือเกิน หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยปากพูดตอบเขาด้วยเสียงแผ่ว“ฉันก็รักคุณค่ะ”ท้องฟ้ามืดสนิทในยามวิกาลไร้หมู่ดาว มีเพียงแสงจันทร์สีเหลืองนวลส่องความสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ บนดาดฟ้าของโรงพยาบาลกับเสียงการจราจรที่ดังผ่านหูเป็นบางครั้งบางคราว พริมมายกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าขณะที่
“เป็นเธอน่ะดีแล้วจริงๆ...” พริมมาพูดอีกครั้งก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้ามาหาจรีภรณ์ แววตาเศร้าสะท้อนออกมามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง“เพราะเธอคือคนที่เขารักยังไงล่ะ...”จรีภรณ์เงยหน้าขึ้นมองพริมมาด้วยแววตาสับสนและไม่เข้าใจความหมาย ร่างกายของเธอสั่นเทาออกมาจนแทบควบคุมไม่ได้ หล่อนต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ? บอกเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เธอดีใจงั้นเหรอ?สำหรับเธอ ทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่ที่ออกจากร่างของพริมมา“เธอน่ะพูดบ้าอะไร คนที่เขารักก็คือพริมมาต่างหาก !” เจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก แต่ทว่านี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ความจริงที่กตตน์ ‘รัก’ พริมมา“ไม่หรอก...” พริมมาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาสามวันทั้งการกระทำและการเปลี่ยนแปลงของเขาชัดเจน อีกอย่างกตตน์ต้องการพริมมาในแบบจรีภรณ์มากกว่าเธอที่เป็นพริมมาตัวจริงเสียอีก“อย่าพูดบ้าๆ...”‘เวลาของเจ้าได้หมดลงแล้ว’ เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว หากแต่ไร้ร่างของเจ้าของเสียง จรีภรณ์หันม
“ขอบคุณนะคะ” พริมมาพูดด้วยเสียงแผ่วขณะที่ยมทูตค่อยๆ หายไปกับอากาศ...ขอบคุณที่ทำให้อยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง“เสร็จงานแล้วหรือ จะกลับเลยไหม ?” กันตภณเอ่ยถามขึ้นขณะที่เห็นน้องชายเดินมารอลิฟต์เช่นกัน“ยังครับ ผมจะไปหาพริมก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” กตตน์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งคนเป็นพี่ยิ้มที่มุมปากขณะมองท่าทางของน้องชายก่อนเอ่ยขึ้น “สุดท้ายก็ตัดสินใจได้แล้วสินะ”“ครับ”“แล้วแพรวรุ้งล่ะ จัดการงานเสร็จหรือยัง” กันตภณเอ่ยถาม“เผาไปเมื่อสองวันก่อน สวดแค่สามวันครับ เห็นชาวบ้านและป้าเจ้าของแมนชั่นบอกว่าแม่ของเธอไม่มางานศพของเธอ ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแพรวมากนัก ผมคบกับเธอโดยที่ไม่ได้สนเรื่องส่วนตัวมากเท่าไหร่ อีกอย่างแพรวตายเพราะผม...” สำหรับกตตน์คิดว่ามันไม่จำเป็นเลยสักนิดถ้าเกิดว่าเขารู้สึกเพียงแค่ชอบเธอ ทว่าสุดท้ายแล้วเขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตาย...“ก็อาจจะบางทีหรืออาจจะไม่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถ้ามัวแต่ยึดกับอดีตโดยลืมปัจจุบันไปแล้วล่ะก็...บางทีคนที่ต้อง