“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? น้อยไปเหรอ?” ริมฝีปากของเฟนด์หยักเป็นรอยยิ้มขมขื่นขณะที่เขาพูดกับหญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงหน้า “ไม่ค่ะ ไม่เลย มันมากเกินไปด้วยซ้ำ ฉันไม่คิดว่าเราจะได้ค่าจ้างมากขนาดนี้!” ทั้งสองคนรีบโบกมือและตอบกลับอย่างรวดเร็วในตอนนั้นเอง เห็นชายชราคนหนึ่งอยู่ที่ทางเข้า เขาแต่งตัวสกปรกและดูเหมือนขอทาน เขามองเข้ามาภายในร้านขายยาด้วยความลังเลที่ปรากฏอยู่ในสายตาของเขา เฟนด์มองไปที่ชายชราและรู้สึกว่าเขานั้นกำลังลังเล เฟนด์เขาก้าวออกไปและถามว่า “คุณกำลังมองหาอะไรอยู่หรือเปล่าครับ?” ชายชราขมวดคิ้ว เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมาในที่สุด “พ่อหนุ่ม ย-ยาจีนมีราคาถูกกว่ายาตะวันตกมากใช่ไหม?” เฟนด์เข้าใจทุกอย่างทันที ชายชราอยากรับการรักษา แต่เขากังวลว่าเขาอาจจะมีเงินไม่พอจ่ายค่ารักษาพยาบาล เฟนด์ส่งยิ้มหวานไปให้ “ใช่แล้วครับ การรักษาด้วยยาจีนถูกกว่าการไปโรงพยาบาลใหญ่ตั้งเยอะ แต่มีคนไม่มากนักที่จะกล้ามารักษากับเรา เพียงเพราะมีไม่กี่คนหรอกที่มั่นใจในการรักษาของเรา” เฟนด์วิเคราะห์ชายชราอย่างละเอียด “แต่คุณดูแข็งแรงดีนะครับ คุณไม่ได้ป่วยใช่ไหม?” ชายชราหยิบถุงพลาสติกออกมาจากก
“พ-พวกคุณเป็นใคร?” หญิงสาวตกใจเมื่อเห็นพวกเขา เธอกังวลว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนดี “อย่ากลัวไปเลย บรีแอนน่า ปู่พาแพทย์แผนจีนคนนี้มาที่นี่เพื่อรักษาอาการของหลาน!” ชายชราขอทานรีบอธิบายให้หลานสาวฟังอย่างรวดเร็ว หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้นเฟนด์เดินเข้าไปและย่อตัวลง วางมือบนไหล่ของเธอ “นอนลงก่อน!”หญิงสาวทำตามที่เฟนด์พูด อดทนกับความเจ็บปวด เฟนด์เริ่มนวดเบา ๆ บริเวณรอบเอวของเธอ “เฮ้ คุณมีอาการกระดูกเคล็ด ผมไม่มีทางเลือก อย่าถือสาผมเลยนะ!”เฟนด์พูดออกมาอย่างอาย ๆ ก่อนจะขยับมือลงต่ำ หยุดอยู่เหนือก้นของเธอบรีแอนน่าหน้าแดง หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันอย่างเงียบ ๆเธอรู้ดีว่าเงินเพียงน้อยนิดของปู่เธอคงไม่พอสำหรับหมอคนไหนที่จะจ่ายยาให้เธอหมอคนนี้เต็มใจมาตั้งไกลเพื่อมารักษาเธอ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก เขาไม่เพิกเฉยต่อปู่ของเธอและไม่สนใจรูปลักษณ์ที่สกปรกของเธอเลย เขาคงไม่ใช่คนเลวแต่ตำแหน่งมือของเขาก็ทำให้หญิงสาวอย่างเธอเขินอาย แก้มของเธอแดงราวกับมะเขือเทศ“ทนอีกหน่อย อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว!”เฟนด์นวดตรงต้นขาแล้วกดเบา ๆ“อ๊าา!”บรีแอนน่าส่งเสียงร้
“ค-คุณครับ เราเป็นแค่ขอทาน คุณช่วยพวกเราไว้มากแล้ว มันจะดูไม่ดีถ้ามีขอทานไปทำงานในบ้านของคุณ จริงไหม?” ชายชรารู้สึกประทับใจมาก แต่เขาก็พูดออกมาอย่างรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย “เฮ้ ต่อไปคุณจะไม่ใช่ขอทานอีกแล้วถ้าคุณไปทำงานกับผม ที่สำคัญกว่านั้น มันรวมค่าอาหารและที่พักด้วย ดังนั้นคุณก็ไม่ต้องกังวลกับเกี่ยวกับเรื่องนี้!” เฟนด์หัวเราะแล้วตอบกลับไป “ข-ขอบคุณครับคุณหมอ!” บรีแอนน่าน้ำตาไหล มันเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเธอ เธอก้าวออกมาและขอบคุณเฟนด์มาก ๆ “ไปกันเถอะ ก่อนอื่น ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พวกคุณกัน พวกคุณจะได้กลับอาบน้ำและพักผ่อนให้สบาย แล้วพรุ่งนี้พวกคุณค่อยมาเริ่มงาน!” “และผมจะให้ค่าจ้างหนึ่งหมื่นเหรียญต่อเดือน เป็นไง?” เฟนด์พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงและยิ้มออกมา “พ่อหนุ่ม นี่-นี่มันไม่มากเกินไปเหรอ? คุณไม่ต้องให้ค่าจ้างเรามากขนาดนั้นหรอก ให้ค่าจ้างเราเท่าไหร่ก็ได้ ตราบใดที่เรามีที่พักและมีอาหารให้กิน เราก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว!” ชายชราขอทานกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป “ฮ่าฮ่า อย่าพูดอย่างนั้นเลย ผมปฏิบัติต่อทุกคนเท่าเทียมกัน ลูกน้องของผมทุกคนก็ได้รับค่าจ้างด้วยเหมือนกัน มันทำ
“เฟนด์ ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ตอนที่คุณกับคุณเซเลน่าไม่อยู่ ผมไม่อยากสร้างปัญหาให้กลับพวกเราที่เพิ่งมาถึงเมืองนางแอ่น อีกอย่าง นักสู้สองคนจากตระกูล แชฟฟ์แมนนั้นแข็งแกร่งมาก อาจจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับราชาสงครามหกดาราหรือเจ็ดดาราเลย ผมฆ่าพวกเขาเพื่อที่จะสอนบทเรียนให้พวกนั้น” สกายเลอร์อธิบายทุกอย่างให้เฟนด์ฟัง เมื่อเห็นเฟนด์กลับมาถึงแล้วเฟนด์หยิบยาออกมาสองเม็ดและส่งให้บอดี้การ์ดคนละเม็ด จากนั้นเขาก็มองไปที่สกายเลอร์ “ทำได้ดีมาก นายแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราไม่ใช่คนที่จะมาถูกรังแกได้” เขาพูด “แม้กระทั่งตระกูลชนชั้นสองก็ยังกลัว ตอนที่นายฆ่านักสู้สองคนของพวกเขาในพริบตา!”“ฮ่า นี่ผมก็นึกว่าคุณจะตำหนิผมเรื่องที่ผมทำลงไป!” สกายเลอร์อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นว่าเฟนด์ไม่ได้โกรธเขา แต่เจ้านายของเขากลับพอใจในการตัดสินใจของเขา “ทำไมฉันจะต้องตำหนินายล่ะ? บอดี้การ์ดสองคนนี้เป็นลูกศิษย์ของนาย และพวกเขาก็เป็นนักสู้ที่แข็งแกร่ง พวกเขาฆ่านักรบจำนวนมากจากฝั่งศัตรูในสนามรบ เมื่อพวกเขาได้รับบาดเจ็บ แน่นอน นายไม่ควรปล่อยคนที่มาทำร้ายลูกศิษย์นายไป!”เฟนด์โล่งใจมาก หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็มองไปที่บอดี้การ์ด
เฟนด์ไม่เซ้าซี้ถามอะไรต่อไม่ว่าจะมีผลอะไรก็ตาม เหมือนว่าพวกเขาไม่อยากสนทนาด้วยต่อเช่นกัน สุดท้ายแล้วทุกคนก็มีความลับเป็นของตัวเอง“นี่มันก็จะเที่ยงแล้ว พวกคุณน่าจะหิวมาก ผมให้ในครัวเตรียมอาหารกลางวันให้แล้ว! พักผ่อนตามสบายได้เลย แล้วเราจะให้เอเลนจัดการงานของคุณวันพรุ่งนี้เอง!” หลังจากวางแผนแล้วเฟนด์ก็เตรียมอะไรบางอย่าง ก่อนขอให้พวกเขาออกไปหลังจากมาไกลแล้ว บรีแอนน่า ซัลลิวาน ก็พูดกับ นาธาเนียล ซัลลิวานว่า “คุณปู่คะ ทำไมเราไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลวู๊ดมาก่อนเลย? เหมือนว่าสกายเลอร์ เซเลสติโน จะเก่งมากนะ ที่ฆ่าผู้เชี่ยวชาญสองคนที่เทียบเท่าได้กับราชาสงครามหกหรือเจ็ดดาราได้ เขามีทักษะอย่างเหลือเชื่อ!”นาธาเนียลยิ้มและตอบกลับ “ใช่ เฟนด์กับเซเลน่าก็ค่อนข้างรวยเหมือนกัน คฤหาสน์ยี่สิบหลัง แต่ดูเหมือนส่วนใหญ่จะมันจะว่างเปล่านะ นี่หมายความว่าพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น ถึงอย่างนั้น ทำไมถึงได้กล้าไปรุกรานตระกูลชนชั้นสองในเมื่อไม่ได้แข็งแกร่ง? เขาไม่กลัวศัตรูจะรุกรานกลับเลยเหรอขณะที่ฆ่าผู้เชี่ยวชาญของตระกูลชนชั้นสองไป?”บรีแอนน่าก็พยักหน้าเห็นด้วย “ลองคิดดูสิคะ คุณปู่ มันหมายความว่ายังไงที่ผู้เช
คาเลบเดินเข้าไปใกล้ฮันเตอร์ และแนะนำว่าอย่าทำอะไรเฟนด์ฮันเตอร์ถามด้วยความสงสัยพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจ “รู้ได้ไง? ไม่ใช่ว่าแกเป็นคนอยากให้ฉันสั่งสอนพวกนั้นรึไง? นี่ปัญหาที่แกก่อขึ้นไม่ใช่เหรอ?”มันเป็นความจริงที่ฮันเตอร์เสียนิ้วไปหนึ่งนิ้วเพราะคาเลบ หลานชายเขา ทำให้เขาค่อนข้างขมขื่นนักนอกจากนั้น อีกฝ่ายก็ได้ให้ความเคารพกับเขา และขอให้เขาไปคนเดียว เพราะ ไมลส์ สโตน คือลูกน้องเก่าของสกายเลอร์ เซเลสติโน่ ถ้าไมลส์ไม่อยู่ที่นั่น หรือไม่มีความสัมพันธ์ดี ๆ กับราชาสงครามแปดดารา พวกเขาทั้งหมดก็คงตายกันไปหมดแล้วเมื่อคิดถึงเรื่องวันนี้มันก็ยังมีผลกับความรู้สึกเขา ทั้งหมดเป็นความผิดของคาเลบ ถ้าเขาต้องมาตายแบบนี้“เฮ้อ... ลุงนี่ไม่รู้อะไรเลย ผมโกรธจริง ๆ ตอนที่คิดว่าลุงเสียนิ้วไปแล้ว ผมคิดหาคนมาช่วยทำงานสกปรก ๆ ไง!"คาเลบรินชาก่อนจะพูดว่า "ลุงรู้ดีใช่ไหมว่านายน้อยแชฟฟ์แมนชอบผู้หญิงขนาดไหน? ผมยุไป แล้วก็พาบอดี้การ์ดนิดหน่อยตามไปด้วย พวกเขาแข็งแกร่งระดับราชาสงครามหกดาราเชียวนา แต่ต้องมาโดนฆ่าตายซะนี่! อีกฝ่ายไว้ชีวิตเราในที่สุดแล้วก็ปล่อยเรามา!""ราชาสงครามหกดาราโดนฆ่าเหรอ?" ฮันเตอร์สูดหายใจเข้
ฮันเตอร์พยักหน้าตามคำพูดของคาเลบอย่างเห็นด้วย “ก็เป็นไปได้ แต่มันจะดีถ้าเราไม่ไปยั่วยุอะไรพวกเขา ใครจะไปรู้ว่าคนพวกนี้ทำให้ราชาสงครามแปดดารามาทำงานเป็นบอดี้การ์ดพวกเขาได้!”ฮันเตอร์พูดต่อว่า “ที่จริงแล้ว ฉันไม่คิดว่านายน้อยแชฟฟ์แมนจะยอมแพ้หรอกนะ สุดท้ายแล้วเขาก็เสียผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งระดับราชาสงครามหกดาราไป เขาปิดบังมันไม่ได้หรอก เมื่อตระกูลแชฟฟ์แมนรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องทำอะไรสักอย่างแน่ ๆ”คาเลบพยักหน้า “นี่เป็นเรื่องดีสำหรับเรา เราไม่ต้องทำอะไรเลยแค่ปล่อยให้พวกนั้นสู้กันเอง!”แม้จะคิดบวก แต่คาเลบก็รู้สึกขมขื่นกับความจริงที่ว่าเขาไม่มีโอกาสเลยกับผู้หญิงพวกนั้นถ้าได้สู้คาเลบออกจากบ้านของฮันเตอร์ไปหลังจากที่ดื่มชามาสักพักขณะนั้น…สมาชิกตระกูลเทย์เลอร์โดนจับได้ในเมืองที่ไม่ไกลจากอาณาเขตกลางพวกเทย์เลอร์คุกเข่าลงกับพื้นอย่างตัวสั่นและมองไปรอบ ๆ ด้วยความกังวลใจ“บอกมาตรง ๆ ! ว่าใครฆ่าลูกชายฉัน และลูกชายของนายท่านตระกูลฟรีแมน ถ้าไม่บอก ฉันจะฆ่าพวกแก!” เทา แลมเบิร์ต ผู้อาวุโสลำดับสามของตระกูลแลมเบิร์ตโกรธมากเมื่อนึกถึงการตายของ ลูคัส ลูกชายของเขา ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเขา
“ใช่ แต่นายใหญ่ตระกูลเทย์เลอร์ได้คิดอะไรออกขึ้นมา เขาได้ขอให้คุณเซเลน่ากับผู้ชายคนนั้น เฟนด์ แต่งงานกันปลอม ๆ เมื่อพวกเขาได้แต่งงานกัน ลูกเขยก็ได้ไปสนามรบแทนนายน้อยอีวาน แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย!” “เฟนด์ทำตัวติดดิน ถ้าเขาไม่จัดงานแต่งใหม่กับคุณเซเลน่า เราคงไม่ได้รู้ว่าเขาเก่งจนเก้ามหาเทพสงครามมาร่วมงานแต่งด้วย!” เขาอธิบายให้พวกเทาฟัง “คนเราจะแข็งแกร่งได้ยังไงหลังจากใช้เวลามาห้าปีในสนามรบ? นายต้องเข้าใจก่อนว่าคนที่ฆ่าลูกชายฉันและคนอื่น ๆ ได้จะต้องมีความสามารถเทียบเท่ากับราชาสงครามบางคนที่มีดาราระดับสูง ดูเหมือนคนที่ชื่อเฟนด์อะไรนี่จะเก่งมากเลยนะ” เทาคาดการณ์“เฟนด์ วู๊ด! เราปล่อยคนอื่นไปได้ แต่เฟนด์ ภรรยา แล้วก็ครอบครัว จะต้องหนีไปด้วยกันแน่ เราต้องตามหาและฆ่ามันทั้งหมด ฉันถึงจะได้แก้แค้น! ฉันไม่สนหรอกนะว่าเขาจะเป็นเพื่อนกับเก้ามหาเทพสงคราม คนพวกนั้นไปงานแต่งเพื่อแสดงความเคารพ เป็นไปได้ว่าพวกเขาคงไม่มาล้างแค้นให้หมอหรอก!” นายท่านฟรีแมนโกรธมาก เขาไม่ต้องการอะไรมากกว่าไปกว่าการได้ฉีกเฟนด์เป็นชิ้น ๆ “พวกมันอยู่ไหนตอนนี้? หายไปไหนกัน? บอกเรามาไม่งั้นแกตาย!” เทาเล็งปลา
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ