“อย่าครับ ได้โปรด อย่าเลยพี่เซเลสติโน่! อย่ามือสั่นเลย ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง พวกเราคงตกอยู่ในอันตรายแน่!” ไมล์ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะกับสถานการณ์นี้ดี จู่ ๆ ความรู้สึกของเขาก็แทบจะลักออกมา “พี่เซเลสติโนครับ ผมไม่คิดว่าจะได้เจอพี่ที่นี่ โอเค! ผมจะจัดการให้เรียบร้อย แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาที่นี่ใหม่!” “พรุ่งนี้นายจะมาที่นี่อีกงั้นเหรอ?” สกายเลอร์ยิ้มนิด ๆ ไมล์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า พรุ่งนี้ผมจะมาหาพี่ มาดื่มและคุยกัน วันนี้ผมทำไม่ได้ เพราะยังมีคนรอผมอยู่ที่ข้างนอกนั่น!” “ฉันเห็นด้วย แต่ตอนนี้นายยังออกไปไม่ได้! ฉันจะรินชาให้นายสักถ้วย อย่างน้อยนายควรดื่มมันก่อนแล้วค่อยออกไป!” ไมล์สเป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาที่สนิทของเขา พวกเขาคนสองเคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันในสนามรบ ดังนั้น สกายเลอร์จึงอารมณ์ดีหลังจากที่เจอไมล์ “ฮ่าฮ่า! ได้เลย!” ไมล์คุยกับสกายเลอร์อยู่สักพัก แล้วก็ก้มลงดื่มชาตรงหน้า จากนั้นเขาก็เดินออกไปที่ประตูเอง “ทำไมสโตนยังไม่กลับมาอีก?” ฮันเตอร์และคนอื่น ๆ ที่รออยู่ข้างนอกเริ่มหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อย ๆ ไมล์อยู่ด้านในเกือบสิบนาทีแล้ว มันทำให้พ
“อืม...คนลึกลับที่อยู่ข้างในไม่ใช่คนที่เราจะไปทำให้โกรธเคืองได้ ถ้าเรายังทำตามแผนที่วางไว้ ก็เท่ากับว่าเราอยากขุดหลุมฝังศพให้ตัวเอง!” ไมล์หัวเราะเบา ๆ เพื่อทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดดีขึ้น “นายรู้ไหมว่าใครเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ด? เขาเป็นราชาสงครามแปดดารา เขาคือคุณสกายเลอร์ เซเลสติโน! เจ้านายเก่าของฉันตอนที่อยู่ในกองทัพ ยิ่งไปกว่านั้น เขาเคยช่วยชีวิตฉันไว้มาก่อนด้วย! ถ้าเราสู้กับเขา ภายในไม่กี่นาทีเราคงตายแน่!” “อะไรนะ? ราชาสงครามแปดดารา?” หนึ่งในราชาสงครามสี่ดาราตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน เขาตกใจมาก กลั้นหายใจจนแทบจะหมดสติ “สโตน นายไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? ราชาสงครามแปดดาราสกายเลอร์ เซเลสติโนอยู่ด้านในนั้น เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ด?” ราชาสงครามสี่ดาราแทบจะพูดออกมาไม่เป็นคำ “ไม่น่าเชื่อ! เป็นไปได้ยังไง?” สีหน้าของฮันเตอร์ไม่สู้ดีนัก ถ้าเป็นอย่างนั้น แผนการแก้แค้นของเขาคงจะต้องถูกล้มเลิกแน่ เว้นแต่...เว้นว่าแต่เขาจะรู้จักกับราชาสงครามเก้าดาราหรือเทพเจ้า... “ทำไมฉันจะต้องโกหกพวกนาย?” ไมล์จ้องฮันเตอร์อย่างหมดความอดทนแล้วพูดต้อว่า “เอาล่ะ มัวร์ กลับกันเถอะ ตอนนี้นายเข้าใจแล้วนะว่าทำไมเราถึ
“ฮ่า ไม่ต้องห่วง นายน้อยควินตัน แน่นอน ฉันจำข้อตกลงของเราได้!” เสียงพูดทางโทรศัพท์ของพีซก็ดังขึ้นอีกครั้ง “แต่เราคงจะทำตามแผนเดิมของเราไม่ได้แล้ว!” สีหน้าของคาเลบมืดลงเมื่อได้ยินแบบนั้น หมอนี่เปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ว่าจู่ ๆ พีซจะเปลี่ยนแผนก็ตาม เพราะยังไงซะ ตระกูลแชฟฟ์แมนก็แข็งแกร่งเกินไป ไม่งั้นเขาคงไม่ไปหาพีซตั้งแต่แรกหรอก “เฮ้ เพราะก่อนหน้านี้มีผู้หญิงเพียงคนเดียว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราตกลงกันว่าจะผลัดกัน แต่ตอนนี้มันต่างออกไป มีผู้หญิงสองคน ฉันคิดดูแล้ว เอาคนสวย ๆ เมื่อวานให้ฉัน แล้วนายก็เอาผู้หญิงคนที่สวมหน้ากากไป เป็นไง?” วินาทีถัดมาพีซตอบกลับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหัวเราะคิกคัก เมื่อเขาได้ยินแบบนั้น หัวใจของคาเลบก็พองโตด้วยความดีใจ พีซไม่เคยเห็นผู้หญิงคนที่สวมหน้ากากมาก่อน ดังนั้นเขาอาจคิดว่าเธอคงจะไม่สวยเพราะเมื่อวานไม่ได้เจอ ในความเป็นจริง ผู้หญิงที่สวมหน้ากากก็มีเสน่ห์ไม่แพ้ผู้หญิงสวย ๆ คนเมื่อวานเลย “ก็ได้ รักษาคำพูดด้วยนะนายน้อยแชฟฟ์แมน อย่าเสียดายล่ะ!” คาเลบเห็นด้วยกับข้อเสนอทันทีและเน้นประเด็นนั้
พวกเขากัดฟันแน่นและทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับชายร่างใหญ่ ปัง! เกิดเสียงดังขึ้น ชายร่างใหญ่ยืนตัวตรงอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน แต่บอดี้การ์ดทั้งสองกลับถูกอัดกระเด็นถอยไปข้างหลัง “อ๊าก!” บอดี้การ์ดทั้งสองคนจับแขนของตัวเอง แขนที่พวกเขาเคยใช้โจมตีตอนนี้กระดูกหักแล้ว “ไม่เลวเลย แต่พวกแกอยากเดินเข้ามาตายเอง พวกแกอยากวิ่งเข้ามาหานักสู้สองคนนี้ของฉันเอง!” พีซยิ้มออกมาอย่างเย็นชา ปรากฏออร่าที่หยิ่งยโส “ฆ่า-ฆ่าพวกมันซะ!” คาเลบที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตะโกนออกมา เขาถูกทำร้ายมาตั้งสองครั้ง ในที่สุดเขาก็จะได้เห็นกรรมตามสนองศัตรูของเขา “ตายซะ!” ริมฝีปากของชายร่างใหญ่หยักเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น เขาดึงดาบออกมาจากด้านหลัง ฟุ่บ! เขาเหวี่ยงดาบอย่างรุนแรง ทันใดนั้นคลื่นดาบก็พุ่งตรงไปยังบอดี้การ์ดทั้งสองที่อยู่บนพื้น ฟุ่บ! คลื่นดาบอีกลูกพุ่งตัดหน้าบอดี้การ์ดทั้งสองไปในขณะที่พวกเขากำลังจะถูกฆ่า ขัดขวางคลื่นดาบของชายร่างใหญ่ “ใคร?” ชายร่างใหญ่ คาเลบและคนอื่น ๆ มองไปยังทิศทางที่คลื่นดาบลูกนั้นซัดมา “แกเป็นใคร?” สกายเลอร์โกรธจัด เขาเพิ่งจัดการไล่ไมล์และเพื่อนของไมล์ออกไปได้ไม่นาน เ
“ฮ่า แกช่างหยาบคายจริง ๆ ฟังนะสหาย ฉัน พีซ แชฟฟ์แมน นายน้อยตระกูลชนชั้นสอง แกกล้ามาล้อเลียนฉันงั้นเหรอ? แกกล้าดียังไงมาทำให้ตระกลูแชฟฟ์แมนโกรธเคือง?” พีซระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น “อีกอย่าง ฉันไม่คิดว่าแกจะเอาชนะนักสู้สองคนที่ฉันพามาด้วยได้หรอก!” “ตระกูลชนชั้นสอง?” แม้แต่สกายเลอร์ก็ยังตกใจกับคำพูดของเขา เพราะเฟนด์และคนอื่น ๆ เพิ่งมาถึงที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นเฟนด์บอกว่าเขามีเรื่องอื่นที่ต้องไปจัดการ เขาไม่อยากสร้างปัญหาในเมืองนางแอ่นถ้าสกายเลอร์ฆ่านายน้อยจากตระกูลชนชั้นสองคนนี้จริง ๆ มันคงเป็นประเด็นแพร่ออกไปแน่ หัวหน้าของตระกูลแชฟฟ์แมนและนักสู้คนอื่น ๆ ของพวกเขาก็จะมาตามแก้แค้นให้นายน้อยของพวกเขาอย่างแน่นอน เขาไม่ได้เกรงกลัวตระกูลแชฟฟ์แมนหรอก แต่ตระกูลนี้มีสมาชิกจำนวนมาก ถ้าเขาทำลายตระกูลแชฟฟ์แมนทั้งตระกูล ในไม่ช้า เฟนด์ เซเลน่า และคนอื่น ๆ คงเป็นที่สนใจของตระกูลที่มีอำนาจตระกูลอื่นแน่ ตอนที่เขาคิดเรื่องนี้ได้ สกายเลอร์จึงรู้สึกว่าเขาควรจะละเว้นชีวิตนายน้อยนั่นไว้ ยังไม่ฆ่านายน้อยแชฟฟ์แมนกับนายน้อยควินตันในตอนนี้ อีกอย่าง เฟนด์กับลาน่าก็ไม่อยู่ จะเกิดอะไ
“อย่า-อย่าฆ่าพวกเราเลย!” ขาของคาเลบอ่อนแรง เขาคุกเขาลงทันทีเมื่อรู้ตัวว่าเหลือเพียงเขากับพีซเท่านั้น “ได้โปรด ปล่อยฉันไปสักครั้งเถอะนะ ฉันเป็นนายน้อยของตระกูลชนชั้นสอง ฉันไม่กล้าทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว!” พีซไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เท้าของเขาเย็นเฉียบ เขาหวาดกลัวมากจนกางเกงเปียก เช่นเดียวกันกับคาเลบ เข่าของเขาอ่อนลงและคุกเข่าลงกับพื้น ในขณะนั้น สกายเลอร์น่ากลัวมาก เขาฆ่าคนโดยไม่กระพริบตาเลย พวกเขาไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่น่ากลัวอย่างนี้มาก่อน “พวกนั้นทำให้ลูกศิษย์ของฉันสองคนบาดเจ็บ ฉันฆ่าคนพวกนั้นทั้งหมดเพื่อเป็นการลงโทษ งั้นถือว่าเสมอกันนะ ไปให้พ้นสายตาฉันซะ!” สกายเลอร์จ้องเขม็งไปที่ชายสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ฉันจะไม่ปล่อยแกไปง่าย ๆ อีกแน่ ถ้าพวกแกกล้ามาโผล่ที่นี่อีก!” “ไม่ต้องห่วง เราจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว!” คาเลบเช็ดเหงื่อเย็นที่เกาะอยู่บนหน้า จากนั้นเขาก็ดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน “เราจะไม่มาที่นี่อีก!” พีซพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็สะดุดและเกือบจะล้มลงกับพื้นอีกครั้ง คาเลบจึงช่วยพยุงให้เขาลุกขึ้น จากนั้นทั้งสองก็รีบเดินออกจากประตูไป “เศษสวะ!” สกายเลอร์พูดด้วยน้ำเสียงห
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? น้อยไปเหรอ?” ริมฝีปากของเฟนด์หยักเป็นรอยยิ้มขมขื่นขณะที่เขาพูดกับหญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงหน้า “ไม่ค่ะ ไม่เลย มันมากเกินไปด้วยซ้ำ ฉันไม่คิดว่าเราจะได้ค่าจ้างมากขนาดนี้!” ทั้งสองคนรีบโบกมือและตอบกลับอย่างรวดเร็วในตอนนั้นเอง เห็นชายชราคนหนึ่งอยู่ที่ทางเข้า เขาแต่งตัวสกปรกและดูเหมือนขอทาน เขามองเข้ามาภายในร้านขายยาด้วยความลังเลที่ปรากฏอยู่ในสายตาของเขา เฟนด์มองไปที่ชายชราและรู้สึกว่าเขานั้นกำลังลังเล เฟนด์เขาก้าวออกไปและถามว่า “คุณกำลังมองหาอะไรอยู่หรือเปล่าครับ?” ชายชราขมวดคิ้ว เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมาในที่สุด “พ่อหนุ่ม ย-ยาจีนมีราคาถูกกว่ายาตะวันตกมากใช่ไหม?” เฟนด์เข้าใจทุกอย่างทันที ชายชราอยากรับการรักษา แต่เขากังวลว่าเขาอาจจะมีเงินไม่พอจ่ายค่ารักษาพยาบาล เฟนด์ส่งยิ้มหวานไปให้ “ใช่แล้วครับ การรักษาด้วยยาจีนถูกกว่าการไปโรงพยาบาลใหญ่ตั้งเยอะ แต่มีคนไม่มากนักที่จะกล้ามารักษากับเรา เพียงเพราะมีไม่กี่คนหรอกที่มั่นใจในการรักษาของเรา” เฟนด์วิเคราะห์ชายชราอย่างละเอียด “แต่คุณดูแข็งแรงดีนะครับ คุณไม่ได้ป่วยใช่ไหม?” ชายชราหยิบถุงพลาสติกออกมาจากก
“พ-พวกคุณเป็นใคร?” หญิงสาวตกใจเมื่อเห็นพวกเขา เธอกังวลว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนดี “อย่ากลัวไปเลย บรีแอนน่า ปู่พาแพทย์แผนจีนคนนี้มาที่นี่เพื่อรักษาอาการของหลาน!” ชายชราขอทานรีบอธิบายให้หลานสาวฟังอย่างรวดเร็ว หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้นเฟนด์เดินเข้าไปและย่อตัวลง วางมือบนไหล่ของเธอ “นอนลงก่อน!”หญิงสาวทำตามที่เฟนด์พูด อดทนกับความเจ็บปวด เฟนด์เริ่มนวดเบา ๆ บริเวณรอบเอวของเธอ “เฮ้ คุณมีอาการกระดูกเคล็ด ผมไม่มีทางเลือก อย่าถือสาผมเลยนะ!”เฟนด์พูดออกมาอย่างอาย ๆ ก่อนจะขยับมือลงต่ำ หยุดอยู่เหนือก้นของเธอบรีแอนน่าหน้าแดง หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันอย่างเงียบ ๆเธอรู้ดีว่าเงินเพียงน้อยนิดของปู่เธอคงไม่พอสำหรับหมอคนไหนที่จะจ่ายยาให้เธอหมอคนนี้เต็มใจมาตั้งไกลเพื่อมารักษาเธอ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก เขาไม่เพิกเฉยต่อปู่ของเธอและไม่สนใจรูปลักษณ์ที่สกปรกของเธอเลย เขาคงไม่ใช่คนเลวแต่ตำแหน่งมือของเขาก็ทำให้หญิงสาวอย่างเธอเขินอาย แก้มของเธอแดงราวกับมะเขือเทศ“ทนอีกหน่อย อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว!”เฟนด์นวดตรงต้นขาแล้วกดเบา ๆ“อ๊าา!”บรีแอนน่าส่งเสียงร้
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ