“อย่าโง่ไปหน่อยเลย! แค่ดูคนที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองแต่งงานสิ เทพสงครามสามคนก็ไปร่วมงาน พวกนักธุรกิจมหาเศรษฐีจากเมืองจินก็ไป และมีคนดังระดับท็อปอีกมากมาย มันน่าตื่นตาตื่นใจมาก! จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเฟนด์โกรธเพราะเราไม่ไปล่ะ?” ฟาเบียนพูดต่อด้วยท่าทีเคร่งขรึม “อีกอย่าง เงินที่เราเสียไปมันก็เล็กน้อย จริงไหม? ตอนนี้ไม่ควรมีความแค้นต่อกันมากนัก ถ้าเราไป เราจะสามารถเสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลชนชั้นสูง เจ้าหน้าที่ทหาร และคนอื่น ๆ ได้ เราอาจจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีกับเทพสงครามด้วย!” “ก็ได้ งั้นไปกันเถอะ” ในที่สุดลีโอก็ยอมจำนนขณะที่เขาพยักหน้า ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเตรียมตัวเพื่อไปที่โรงแรมระดับเจ็ดดาว “เราไปงานเลี้ยงกันเถอะ ท่านเฟอร์นันโด แคมป์เบลล์ ท่านเป็นไอดอลของฉัน!” พวกนักธุรกิจที่เคยคิดจะไปร่วมงานเลี้ยงหลายคน แต่ตัดสินใจไม่ไปร่วมงานเลี้ยงเพราะมันน่าขายหน้าที่ไม่มีของขวัญที่เหมาะสมไปมอบให้ ยังไงก็ตาม พวกเขาควรให้ของขวัญที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 80,000 เหรียญ ในสถานที่เช่นนั้น แต่พวกเขาก็ตัดสินใจไปร่วมงานเลี้ยงทันทีเมื่อเห็นเทพสงครามมางาน มันคงวิเศษมากถ้าพวกเขาได้เทพสงคราม เฟอร์นันโด แคมป์เบลล์
ฟีโอน่ารู้สึกเหมือนทุกอย่างเป็นความฝัน หลังจากที่เทพสงครามทั้งสี่คนมาร่วมงานเลี้ยงของลูกสาวเธอและอวยพรให้เฟนด์กับลูกสาวของเธอ ตอนนั้นเองที่ฟีโอน่ารู้ว่าข้องอ้างที่เฟนด์พูดว่าจะจัดงานให้ดังสนั่นไปทั่วทั้งเมืองไม่ใช่แค่คำพูดเปล่า ๆ เขาทำตามที่พูดไว้ได้ พวกเขาได้รับโชคอย่างตลก การมาของเทพสงครามทั้งสี่นั้นเหนือความคาดหมายมาก ตุ้บ! ท่ามกลางความตื่นเต้นของเธอ ก็มีเสียงดังมาจากข้างบน เฮลิคอปเตอร์อีกลำบินมาทางพวกเขา และมีชายอีกคนหนึ่งกระโดดลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ “คือ…นั่นคือ เทพสงคราม ท่านวิลเลี่ยม แนช!” หญิงสาวคนหนึ่งตะโกนออกมา และผู้คนก็พากันตกตะลึงอีกครั้ง มีเทพสงครามอีกคนมาร่วมงานเลี้ยง“พระเจ้าช่วย…! มันคือเรื่องจริง!" เจมส์ก็ตกตะลึง “ท่านแนช ท่านมาที่นี่ได้ยังไง?” ควีนนี่เดินไปหาเขาอย่างตื่นเต้น ดวงตาของเธอมองไปที่เขาซึ่งมีออร่าสง่าผ่าเผย วิลเลี่ยมยิ้มหวาน เขาได้เตรียมเรื่องราวของเขาไว้แล้ว “ช่วงก่อนหน้าที่ฉันจะประสบความสำเร็จ ฉันเคยได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้และเกือบจะเสียชีวิตเพราะบาดแผล โชคดีที่พี่ใหญ่เฟนด์เก่งมากจนช่วยชีวิตฉันไว้ได้ นั่นคือเหตุผลที่ฉัน…” ตอนนั้นเอง วิลเลี
ตุ้บ! เหมือนก่อนหน้านี้ เสียงที่ดังเบา ๆ ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวบนจุดชมวิวที่ยื่นออกมา “เทพสงครามอีกคน ท่านแซม จอห์นสัน!” ทุกคนตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อจำเขาได้ มีเทพสงครามเพิ่มมาอีกคนแล้วในงานเลี้ยงนี้ อันที่จริง ทุกคนก็คิดว่าคงเป็นเทพสงครามเมื่อพวกเขาเห็นชายคนนั้นกระโดดลงมาจากที่สูงแบบนั้น เขากล้ากระโดดลงมาจากความสูงระดับ 100 หรือ 200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และไม่ได้รับบาดเจ็บเลย คงมีเพียงเทพสงครามเท่านั้นที่ทำได้ “ท่านจอห์นสัน ท่านก็มาด้วย! ท่านดูหล่อมาก!” “โอ้ เยี่ยมเลย! การมาร่วมงานเลี้ยงนี้คุ้มค่ากับเวลาของฉันมาก มีเทพสงครามหกคนอยู่ที่นี่ พระเจ้า ฉันจะบ้าแล้ว!” “ฉันไม่เคยเห็นเทพสงครามหลายคนขนาดนี้พร้อมกันตลอดหลายปีที่อยู่ในสนามรบเลย ฉันเคยเห็นแค่คนเดียว แต่นี่พวกท่านอยู่ที่นี่พร้อมกันทั้งหกคนเลย!” จอมพล ผู้บัญชาการ และคนอื่น ๆ ต่างพากันตื่นเต้น ภาพการทักทายเทพสงครามทำให้พวกเขาใจเต้นระรัว “โอ้พระเจ้า เทพสงครามอีกคน!” ในเวลาเดียวกัน ที่ชั้นบนสุดของโรงแรมระดับหกดาวฝั่งตรงข้าม เซซิเลียและสมาชิกในตระกูลโกลด์มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ พวกเขาเห็นเทพสงครามอี
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันนั้น ก็มีเฮลิคอปเตอร์อีกสองลำปรากฏขึ้นในระยะไกล ซึ่งกำลังค่อย ๆ บินมาทางโรงแรม รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเซเลน่า “อย่าบอกนะว่าเทพสงครามอีกสามคนกำลังมา?” เธอกระซิบถามเฟนด์ “เมื่อเทพสงครามสองคนนั้นมาถึง ก็จะขาดเทพสงครามอีกแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะมาร่วมเลี้ยงของเรา!” เฟนด์พยักหน้า “พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก อย่างน้อยพวกเขาก็อยากมาเจอคุณ ถ้าพวกเขาไม่มาร่วมงานแต่งงานของผม? ผมจะอัดพวกเขาสักทีสองทีถ้าพวกเขาไม่มา!” เซเลน่ากลอกตาไปที่เฟนด์แม้ว่าเธอจะมีความสุข “คุณได้เลื่อนขั้นงั้นเหรอ? ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวสั่นมาก ของขวัญที่เราได้รับในวันนี้ก็พอที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโรงแรม และถึงจ่ายค่าใช้จ่ายหมดแล้วเราก็ยังมีเงินเหลืออีกมาก!” รอยยิ้มของเซเลน่าค่อย ๆ ลดลงเมื่อเธอคิดขึ้นมาได้ว่า “แล้วเราจะต้องตอบแทนคืนไหมตอนที่พวกท่านแต่งงาน?” เซเลน่าพูด “เมื่อถึงตอนนั้น เราคงจะต้องให้เงินจำนวนมากเลยนะ!” เฟนด์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อได้ยินแบบนั้น “อย่ากังวลไปเลยที่รัก พวกเขาแต่งงานกันแล้ว ดูนั่นสิ ภรรยาของเฟอร์นันโดสองคนและลูกชายของเขามาถึงแล้ว!” เฟนด์พูดขณะช
“เฮ้ แน่นอน! ฉันยังไม่ได้ไปเที่ยวรอบ ๆ ที่นี่เลย!”อดัมและไรลี่ย์ยิ้มก่อนที่พวกเขาจะเดินจากไปไรลี่ย์ไม่อยากจะเชื่อเลยและกระซิบกับเขาว่า “จริงจังนะอดัม? ทำไมนายต้องใช้ข้ออ้างเรื่องเดียวกับฉันด้วย?”“ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ แล้วทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นล่ะ? ฉันยังสังเกตเห็นว่าทุกคนมองมาที่เราแปลก ๆ… อย่าบอกนะว่าคนอื่น ๆ ก็ใช้เรื่องเดียวกันด้วย? คงไม่มีใครเชื่อเราแน่ถ้าเป็นแบบนั้น!”อดัมรู้สึกหมดหนทาง“นั่นสิ? มันจะทำให้เกิดความสงสัยได้ ถ้าเราทุกคนใช้ข้อแก้ตัวเรื่องเดียวกัน และอาจารย์คงจะไม่มีความสุขแน่ถ้าตัวตนของเขาในฐานะนักรบสูงสุดถูกเปิดเผย!”ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงของวิลเลี่ยมขณะที่เขาเดินเข้ามาหา รอยยิ้มนิด ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขาขณะที่เขาเดินเข้ามา“เหลือแค่อีธานคนเดียวที่ยังมาไม่ถึง หวังว่าเขาคงจะไม่ใช้ข้อแก้ตัวเรื่องเดียวกัน!”แอ็บเนอร์ยิ้มอย่างขมขื่นออกมาขณะที่เขาก็เดินเข้ามาร่วมด้วย “ไม่ว่ายังไงก็ตาม มันไม่สำคัญหรอกว่าพวกเขาจะสงสัยเกี่ยวกับเราหรือไม่ พวกเขาสอบสวนพวกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้อยู่แล้ว จริงไหม? แน่นอน ท่านอาจารย์อาจไม่พอใจกับเรื่องนี้!” “เบา ๆ หน่อยส
ผู้คนกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่อีธานพูดกับเฟนด์ อีธาน ฮายส์ หมอปาฏิหาริย์ที่มีความรู้ทางการแพทย์มากมาย มาขอให้เฟนด์สอนวิชาทางการแพทย์ให้? นั่นไม่ได้หมายความว่าเฟนด์มีทักษะทางการแพทย์เก่งกว่าเขางั้นเหรอ? ฟีโอน่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยืนอยู่เฉย ๆ ต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอจึงเดินมาทางพวกเขา “ท่านฮายส์ ท่านบอกว่าทักษะทางการแพทย์ของลูกเขยฉันดีกว่าของท่านอีกงั้นเหรอ? มันไม่จริงใช่ไหม? ท่านถูกกล่าวขานว่าเป็นหมอปาฏิหาริห์ หมอศักดิ์สิทธิ์!” ฟีโอน่าโพล่งออกมา อีธานรู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นแม่ยายของเฟนด์ ดังนั้นเขาจึงยิ้มให้เธอและตอบกลับไปว่า “ใช่แล้วคุณป้า ทักษะทางการแพทย์ของเขายอดเยี่ยมมาก!” อีธานหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ลองคิดดูนะ เทพสงครามผู้ทรงเกียรติพวกเขาได้รับบาดเจ็บในสนามรบและไม่ใช่บาดเจ็บแค่นิดเดียว นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าหมอธรรมดาคงไม่สามารถรักษาพวกเขาได้ และมีเพียงหมอที่มีทักษะเชี่ยวชาญเท่านั้นที่สามารถรักษาได้ ไม่ใช่เพียงแค่มีทักษะสูงเท่านั้น แต่ต้องเป็นระดับสูงสุด ๆ คุณน่าจะเข้าใจสิ่งที่ผมพูดนะ” อีธานคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงพูดต่อว่า “ดังนั้น ด้วยทักษะอ
ขณะที่ซีน่าครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นั้น เฟนด์ก็ได้นำสร้อยคอออกมาจากกล่องและวางสวมมันไว้บนคอของเซเลน่า “นั่นมัน?!” ซีน่ารู้สึกได้ว่าเลือดของเธอไหลผ่านเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว ลมหายใจทำงานหนักเมื่อเห็นสร้อยคอเส้นนั้น ดวงตาของเธอเหมือนจะหลุดออกจากเบ้าตา สร้อยคอนั่น… มันคือ หัวใจแห่งขุมนรก! เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือว่าสร้อยคอราคาแพงนี้ถูกซื้อโดยเศรษฐีลึกลับ ซีน่าไม่คิดว่าผู้ซื้อลึกลับคนนั้นจะเป็นเฟนด์มาก่อนเลย!“หัวใจแห่งขุมนรก!” “โอ้พระเจ้า! มันคือหัวใจแห่งขุมนรก!” “ดังนั้นเฟนด์นั่นเองที่เป็นคนซื้อมันมา! โอ้พระเจ้า… พระเจ้าช่วย! มันแพงมาก!” หญิงสาวหลายคนท่ามกลางผู้คน ซึ่งมักจะใช้เครื่องประดับหรูหรา ต่างพากันหายใจอย่างแรงและรู้สึกตื่นเต้นมากที่เห็นสร้อยคอตรงหน้า พวกเธอจ้องมองสร้อยคออย่างสนใจ เปลือกตาของเซเลน่าเปิดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหายใจอย่างแรงและความตื่นเต้นจากผู้คน เธอเหลือบมองลงไปที่สร้อยคอที่อยู่บนคอของเธอ… มีทับทิมก้อนใหญ่! จู่ ๆ ดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยน้ำตา “เฟนด์… คุณซื้อมัน! คุณซื้อมันจริง ๆ! นี่มันแพงมากเกินไป!” ในขณะนั้น เซเลน่ารู้สึกว่าความลำบากและความท
คนที่สามารถร่วมถ่ายภาพหมู่ได้คือคนที่มาจากตระกูลชนชั้นหนึ่งและคนที่มีฐานะดังกล่าวเท่านั้น เช่น เจมส์ เดรค เรื่องนี้มันทำให้เคน นีล และคนอื่น ๆ อิจฉา เพราะพวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะได้เข้าร่วม เนื่องจากอีวานเป็นคนในตระกูลเทย์เลอร์ เขาจึงร่วมถ่ายรูปได้ ในทางกลับกัน ซีน่าตามติดอีวานอยู่ข้างหลัง และยืนอยู่ตรงมุมด้านหลัง แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่รูปถ่ายและเธอแทบจะไม่รู้จักใครเลย แต่มันก็เป็นเกียรติและเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับซีน่า “ที่รัก…ฉันก็ยังรู้สึกว่าสร้อยคอนี้แพงเกินไป เราหาโอกาสขายมันดีกว่าไหม?” เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว เซเลน่าก็มองไปที่หัวใจแห่งขุมนรกที่สวมอยู่บนคอของเธอ ความรู้สึกขอเธอทำให้เธอสับสนมาก เธอจึงพูดความกังวลของเธอให้เขาฟัง คำพูดของเซเลน่าทำให้เฟนด์ตกตะลึง เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้เซเลน่าและกระซิบที่ข้างหูเธอว่า “ที่รัก ผมพูดตรง ๆ เลยนะ สร้อยคอแบบนี้ไม่แพงเลย และตอนนี้คุณก็มีเงินเกือบหมื่นล้านในกระเป๋าของคุณแล้ว มันไม่ได้แพงมากเท่าไหร่หรอก เอางี้ คุณลองคิดดูนะ สามีของคุณเป็นหมอส่วนตัวของเทพสงคราม คุณคิดของขวัญที่ได้จากผมจะน้อยไปไหม?” เซเลน่าสูดหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากที่เธอฟังเ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ