“เฮ้ แน่นอน! ฉันยังไม่ได้ไปเที่ยวรอบ ๆ ที่นี่เลย!”อดัมและไรลี่ย์ยิ้มก่อนที่พวกเขาจะเดินจากไปไรลี่ย์ไม่อยากจะเชื่อเลยและกระซิบกับเขาว่า “จริงจังนะอดัม? ทำไมนายต้องใช้ข้ออ้างเรื่องเดียวกับฉันด้วย?”“ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ แล้วทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นล่ะ? ฉันยังสังเกตเห็นว่าทุกคนมองมาที่เราแปลก ๆ… อย่าบอกนะว่าคนอื่น ๆ ก็ใช้เรื่องเดียวกันด้วย? คงไม่มีใครเชื่อเราแน่ถ้าเป็นแบบนั้น!”อดัมรู้สึกหมดหนทาง“นั่นสิ? มันจะทำให้เกิดความสงสัยได้ ถ้าเราทุกคนใช้ข้อแก้ตัวเรื่องเดียวกัน และอาจารย์คงจะไม่มีความสุขแน่ถ้าตัวตนของเขาในฐานะนักรบสูงสุดถูกเปิดเผย!”ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงของวิลเลี่ยมขณะที่เขาเดินเข้ามาหา รอยยิ้มนิด ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขาขณะที่เขาเดินเข้ามา“เหลือแค่อีธานคนเดียวที่ยังมาไม่ถึง หวังว่าเขาคงจะไม่ใช้ข้อแก้ตัวเรื่องเดียวกัน!”แอ็บเนอร์ยิ้มอย่างขมขื่นออกมาขณะที่เขาก็เดินเข้ามาร่วมด้วย “ไม่ว่ายังไงก็ตาม มันไม่สำคัญหรอกว่าพวกเขาจะสงสัยเกี่ยวกับเราหรือไม่ พวกเขาสอบสวนพวกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้อยู่แล้ว จริงไหม? แน่นอน ท่านอาจารย์อาจไม่พอใจกับเรื่องนี้!” “เบา ๆ หน่อยส
ผู้คนกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่อีธานพูดกับเฟนด์ อีธาน ฮายส์ หมอปาฏิหาริย์ที่มีความรู้ทางการแพทย์มากมาย มาขอให้เฟนด์สอนวิชาทางการแพทย์ให้? นั่นไม่ได้หมายความว่าเฟนด์มีทักษะทางการแพทย์เก่งกว่าเขางั้นเหรอ? ฟีโอน่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยืนอยู่เฉย ๆ ต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอจึงเดินมาทางพวกเขา “ท่านฮายส์ ท่านบอกว่าทักษะทางการแพทย์ของลูกเขยฉันดีกว่าของท่านอีกงั้นเหรอ? มันไม่จริงใช่ไหม? ท่านถูกกล่าวขานว่าเป็นหมอปาฏิหาริห์ หมอศักดิ์สิทธิ์!” ฟีโอน่าโพล่งออกมา อีธานรู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นแม่ยายของเฟนด์ ดังนั้นเขาจึงยิ้มให้เธอและตอบกลับไปว่า “ใช่แล้วคุณป้า ทักษะทางการแพทย์ของเขายอดเยี่ยมมาก!” อีธานหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ลองคิดดูนะ เทพสงครามผู้ทรงเกียรติพวกเขาได้รับบาดเจ็บในสนามรบและไม่ใช่บาดเจ็บแค่นิดเดียว นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าหมอธรรมดาคงไม่สามารถรักษาพวกเขาได้ และมีเพียงหมอที่มีทักษะเชี่ยวชาญเท่านั้นที่สามารถรักษาได้ ไม่ใช่เพียงแค่มีทักษะสูงเท่านั้น แต่ต้องเป็นระดับสูงสุด ๆ คุณน่าจะเข้าใจสิ่งที่ผมพูดนะ” อีธานคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงพูดต่อว่า “ดังนั้น ด้วยทักษะอ
ขณะที่ซีน่าครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นั้น เฟนด์ก็ได้นำสร้อยคอออกมาจากกล่องและวางสวมมันไว้บนคอของเซเลน่า “นั่นมัน?!” ซีน่ารู้สึกได้ว่าเลือดของเธอไหลผ่านเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว ลมหายใจทำงานหนักเมื่อเห็นสร้อยคอเส้นนั้น ดวงตาของเธอเหมือนจะหลุดออกจากเบ้าตา สร้อยคอนั่น… มันคือ หัวใจแห่งขุมนรก! เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือว่าสร้อยคอราคาแพงนี้ถูกซื้อโดยเศรษฐีลึกลับ ซีน่าไม่คิดว่าผู้ซื้อลึกลับคนนั้นจะเป็นเฟนด์มาก่อนเลย!“หัวใจแห่งขุมนรก!” “โอ้พระเจ้า! มันคือหัวใจแห่งขุมนรก!” “ดังนั้นเฟนด์นั่นเองที่เป็นคนซื้อมันมา! โอ้พระเจ้า… พระเจ้าช่วย! มันแพงมาก!” หญิงสาวหลายคนท่ามกลางผู้คน ซึ่งมักจะใช้เครื่องประดับหรูหรา ต่างพากันหายใจอย่างแรงและรู้สึกตื่นเต้นมากที่เห็นสร้อยคอตรงหน้า พวกเธอจ้องมองสร้อยคออย่างสนใจ เปลือกตาของเซเลน่าเปิดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหายใจอย่างแรงและความตื่นเต้นจากผู้คน เธอเหลือบมองลงไปที่สร้อยคอที่อยู่บนคอของเธอ… มีทับทิมก้อนใหญ่! จู่ ๆ ดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยน้ำตา “เฟนด์… คุณซื้อมัน! คุณซื้อมันจริง ๆ! นี่มันแพงมากเกินไป!” ในขณะนั้น เซเลน่ารู้สึกว่าความลำบากและความท
คนที่สามารถร่วมถ่ายภาพหมู่ได้คือคนที่มาจากตระกูลชนชั้นหนึ่งและคนที่มีฐานะดังกล่าวเท่านั้น เช่น เจมส์ เดรค เรื่องนี้มันทำให้เคน นีล และคนอื่น ๆ อิจฉา เพราะพวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะได้เข้าร่วม เนื่องจากอีวานเป็นคนในตระกูลเทย์เลอร์ เขาจึงร่วมถ่ายรูปได้ ในทางกลับกัน ซีน่าตามติดอีวานอยู่ข้างหลัง และยืนอยู่ตรงมุมด้านหลัง แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่รูปถ่ายและเธอแทบจะไม่รู้จักใครเลย แต่มันก็เป็นเกียรติและเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับซีน่า “ที่รัก…ฉันก็ยังรู้สึกว่าสร้อยคอนี้แพงเกินไป เราหาโอกาสขายมันดีกว่าไหม?” เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว เซเลน่าก็มองไปที่หัวใจแห่งขุมนรกที่สวมอยู่บนคอของเธอ ความรู้สึกขอเธอทำให้เธอสับสนมาก เธอจึงพูดความกังวลของเธอให้เขาฟัง คำพูดของเซเลน่าทำให้เฟนด์ตกตะลึง เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้เซเลน่าและกระซิบที่ข้างหูเธอว่า “ที่รัก ผมพูดตรง ๆ เลยนะ สร้อยคอแบบนี้ไม่แพงเลย และตอนนี้คุณก็มีเงินเกือบหมื่นล้านในกระเป๋าของคุณแล้ว มันไม่ได้แพงมากเท่าไหร่หรอก เอางี้ คุณลองคิดดูนะ สามีของคุณเป็นหมอส่วนตัวของเทพสงคราม คุณคิดของขวัญที่ได้จากผมจะน้อยไปไหม?” เซเลน่าสูดหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากที่เธอฟังเ
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อใดก็ตามที่ เก้าเทพสงคราม นายท่านและนายหญิงวู๊ด รวมถึงครอบครัวของพวกเขามาที่โรงแรมของเรา ค่าใช้จ่ายทุกอย่างจะฟรี!” เจ้าของโรงแรมยิ้มอย่างสุภาพและประกาศสิทธิพิเศษออกมา “ว้าว นั่นมันยอดเยี่ยมมากเลย! ที่รัก เรามาที่นี่กันบ่อย ๆ เพื่อกินฟรีกัน!” ฟีโอน่าแทบจะซ่อนความสุขของเธอเอาไว้ไม่มิด เธอตะโกนใส่หูของแอนดรูว์ สีหน้าของแอนดรูว์กลับซีดเผือด “จะมาบ่อย ๆ จริงเหรอ? มันก็โอเคอยู่นะถ้าจะมาบ้าง แต่ถ้ามาบ่อย ๆ จะไม่รู้สึกอายเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น เงินที่เก้าเทพสงครามมอบให้เซเลน่าในวันนี้ก็มีถึงเก้าพันล้านเหรียญ และมีส่วนที่คนอื่นให้เราอีก เราก็น่าจะมีเงินประมาณหนึ่งหมื่นล้านเหรียญ จริงไหม? ตอนนี้เรามีเงินมากแล้ว คุณจ่ายค่าอาหารเองไม่ได้เหรอ?” ฟีโอน่าเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เธอและครอบครัวร่ำรวยแล้วจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษแบบนั้น อย่างไรก็ตาม เธอกลอกตาไปที่แอนดรูว์และพูดว่า “คุณรู้อะไรบ้าง? นี่แสดงถึงฐานะและภาพลักษณ์ของครอบครัวเราในเมืองนี้! แม้ว่าเจมส์ เดรค จะมาทานอาหารที่นี่ เขาก็ต้องจ่ายเงิน! ตระกูลเดรคไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขาแค่ใช้ฐานะและชื่องเ
เซซิเลียยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ แต่เธอก็ทำอะไรกับมันไม่ได้ เธอทำได้เพียงกัดฟันและปลอบตัวเอง เพราะรู้ว่าอีกไม่นานเฟนด์กำลังจะตาย เขาอาจจะระเบิดตายได้ทุกเวลา เธออยากดูว่าเขาจะตายยังไง พวกเขาทานอาหารเสร็จกันแล้ว เฟนด์และคนอื่น ๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ทำอาหารเสร็จกันอย่างรวดเร็วเช่นกัน ดูจากหน้าจอขนาดใหญ่นอกจากแก้มที่แดงเพราะการดื่มไวน์ไปเยอะแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีอาการอะไรอื่น ๆ อีกเลย “แปลก พวกเขาบอกว่าเฟนด์จะตายวันนี้ไม่ใช่เหรอ? นี่มันก็ดึกแล้ว เขาไม่แสดงอาการอะไรเลยแม้แต่น้อย อีวานทำอะไรอยู่เนี่ย? เขาโกหกฉันงั้นเหรอ?” เซซิเลียขมวดคิ้วขณะที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอคิดเกี่ยวกับมัน จากนั้นเธอก็เดินออกไปข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ และโทรหาอีวาน อีวาน เคน และคนอื่น ๆ ต่างก็รอให้เฟนด์ล้มลงบนพื้นเช่นกัน เพื่อรอดูศพของเขา แต่จนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าพวกเขามาที่นี่เพื่ออะไร ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงดื่มไวน์ไปหลายแก้วแล้ว ในวันนี้เฟนด์เป็นดาวเด่นของทั้งเมืองจริง ๆ และเรื่องนี้ทำให้พวกเขาพูดไม่ออก พวกเขารอให้เฟนด์ตายต่อหน้าทุกคนไม่ไหวแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้เฟนด์มีเงินมากมายและได้ซื้อสร้อยคอหั
อีวานยิ้มอย่างขมขื่น “อ่า เราก็ไม่มีทางเลือก ใครจะรู้ว่าเฟนด์จะสามารถเชิญเก้าเทพสงครามมาที่งานแต่งงานของเขาได้!” เซซิเลียครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะถามว่า “นายกำลังบอกว่าเทพสงครามอีกแปดคนมางานแต่งงานของเขาเพราะพวกท่านอยากช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้เขางั้นเหรอ? พวกท่านไม่ได้มาที่นี่เพราะต้องการพบท่านลาน่าเหรอ?” อีวานพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “แน่นอน พวกท่านมาหาลาน่าเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ แต่ทำไมพวกท่านถึงเลือกมาวันนี้ล่ะ? พวกท่านมาที่นี่เพราะเฟนด์!” “แต่คนไร้ค่าอย่างอย่างเฟนด์รู้จักพวกท่านได้ยังไง? นอกจากท่านลาน่า ไม่มีทางที่เขาจะเคยช่วยชีวิตพวกท่านเอาไว้ทุกคน!” เซซิเลียโกรธจัด เธอไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเทพสงครามถึงมาตั้งไกล เพียงมาร่วมงานแต่งงานของเฟนด์และเซเลน่าเพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงของเขา “หมอนั่นไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ อีกอย่าง เธอพูดถูก ด้วยทักษะทางการแพทย์ของเขา เขาจึงกลายเป็นหมอส่วนตัวของเทพสงคราม เฟนด์เคยช่วยรักษาพวกท่านตอนที่พวกท่านได้รับบาดเจ็บ นั่นคือเหตุผลที่พวกท่านมาร่วมงานแต่งงานของเขา พวกท่านรีบมาที่นี่เมื่อรู้ว่าเขากำลังจะแต่งงาน!” อีวานไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “บ้าเ
อีวานปลอบซีน่าเมื่อเห็นว่าเธอโกรธ “ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อคุณ แต่ทำไมหมอนั้นถึงได้ดูไม่เป็นอะไรเลย?”ซีน่าก็ขมวดคิ้วด้วย “เขามีทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยมไม่ใช่เหรอ? ท่านอีธาน อายส์ ไม่ได้บอกเหรอว่าอยากจะปรึกษาบางอย่างกับเฟนด์ด้วยไม่ใช่เหรอ? เฟนด์พูดอย่างสุภาพว่ามันเป็นข้อแก้ตัว แต่ฉันไม่คิดว่าอีธาน ฮายส์ หมอปาฏิหาริย์จะโกหกเรื่องพวกนี้!” ซีน่าหยุดก่อนจะพูดต่อว่า “เป็นไปได้ไหมว่า หมอนั่นมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ดังนั้นเขาถึงได้กำจัดพิษออกจากร่างกายของเขาแล้ว?”อีวานก็แปลกใจเหมือนกันเมื่อเขาได้ยินเรื่องนั้น แล้วถ้าเฟนด์ทำได้จริง ๆ ล่ะ? เพราะยังไงซะ เขาก็ไม่ใช่หมอธรรมดาและเขามีทักษะทางการแพทย์ที่แข็งแกร่งจริง ๆ ไม่งั้นเขาจะได้เป็นหมอส่วนตัวของเทพสงครามได้ยังไง?แต่ไม่นานอีวานก็ส่ายหัว “ผมไม่คิดว่ามันเป็นไปได้ ผมถามเคนและคนอื่น ๆ เกี่ยวกับยาพิษนี้แล้ว พิษจะซ่อนอยู่ในกระแสเลือดและช่วงแรกจะตรวจหาไม่เจอ นอกจากนั้น มันยังไม่มีอาการชัดเจนหลังจากผ่านไปประมาณสิบวัน เมื่อพิษเข้าสู่ไขกระดูกของเขาและกระจายไปทั่วร่างกายของเขา ตอนนั้นก็ไม่มีทางรักษาเขาได้แล้ว!”“เป็นไปได้เหรอ? แล้วยาถอนพิษจ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ