“นายน้อยรูเบน คุยนานขนาดนี้คืออะไร? ตอนนี้แกคงไม่ได้พยายามจะทำอะไรใช่ไหม? ฉันบอกให้แกเอาเงินสด 3.8 ล้านเหรียญมาให้ฉัน แกไม่ได้โทรขอความช่วยเหลือใช่ไหม?”เฟนด์สังเกตเห็นว่าเขาใช้โทรศัพท์ต่ออีกสักพักก่อนที่จะวางสายไป จึงถาม“ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง? ฉันสั่งให้พวกเขาช่วยจัดการเงิน 3.8 ล้านเหรียญให้แกก็แค่นั้น ไม่ต้องห่วงพวกเขาจะมาถึงในไม่ช้า!”รูเบนตอบทันทีด้วยความตกใจ“จริง ๆเหรอ? ฉันจะแสดงให้แกเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าแกโกหกฉัน!”หลังจากที่เฟนด์พูดอย่างเย็นชาเขาก็โยนปืนไปที่นายน้อยรูเบน“โอ๊ย!”ปืนกระแทกเข้าที่ต้นขาของรูเบนทำให้เขาโกรธ เขาหยิบปืนขึ้นมาทันทีและกำลังจะโยนมันกลับไป “ไอเ-ี้ยเอ๊ย แกไม่กล้าฆ่า…”รูเบนหยุดพูดไปชั่วคราวขณะก่อนจะรู้ตัวว่าที่สิ่งเฟนด์โยนมาให้เขาคือปืน“ฮ่าฮ่า แกนี่คงอยากตายจริงๆ แกโยนปืนให้ฉันจริงเหรอ?”รูเบนรู้สึกปลาบปลื้ม ดูเหมือนว่าเฟนด์ไม่ได้สนใจมากนักเมื่อเขาหยิบปืนขึ้นมาเขาเล็งปืนไปที่เฟนด์ทันทีแล้วพูดว่า “อย่าขยับ อย่าคิดที่จะหยิบก้อนหินขึ้นมา ถ้าแกกล้าขยับฉันจะฆ่าแก ฮ่าฮ่า!”เฟนด์หัวเราะเมื่อเขาเห็นท่าทีของรูเบนจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน“ตายซะ!
เหตุผลหลักที่ทำไมพรรคเทพเจ้าแห่งมังกรถึงมีอิทธิพลอย่างมากในภาคกลางได้นั่นก็เป็นเพราะว่าคนที่มีพลังไม่กี่คนเหล่านี้“ไอเด็กเหลือขอ แกช่างกล้าจริง ๆ ที่ลักพาตัวนายน้อยของเรา ฮ่า ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นใครบางคนที่กล้าขนาดนี้ในช่วงหลายปีที่ฉันอาศัยอยู่ภาคกลาง!”ชายหัวโล้นคนหนึ่งหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็มองไปที่กองศพบนพื้นและพูดว่า “ ดูเหมือนว่าทักษะการต่อสู้ของแกจะไม่แย่นัก อย่างไรก็ตามสิ่งที่แกจัดการไปเป็นเพียงแค่ขยะของพรรคเทพจ้าแห่งมังกร แกจะต้องตายเมื่อเจอคนที่ทรงพลังจริง ๆ”เฟนด์หัวเราะเบา ๆ และก้าวไปข้างหน้า“เฮ้ ตอนนี้พวกแกคงไม่อยากฆ่าฉันหรอกใช่ไหม?”เมื่อเขาเห็นว่าเฟนด์กำลังเข้าไปใกล้รูเบนมากขึ้น สีหน้าของเขาก็ซีดลงทันทีถึงแม้ว่าพวกเขาจะทรงพลังและรวดเร็วมาก แต่ระยะห่างของพวกเขายังค่อนข้างไกลจากเฟนด์ ยิ่งไปกว่านั้นเฟนด์ยังเป็นทหารผ่านศึกที่เกษียณแล้วและถ้าเขาสามารถอยู่รอดได้ห้าปีในสนามรบ คาดว่าเขาคงจะมีทักษะบางอย่างที่น่าทึ่งแน่ดังนั้นพวกเขาเชื่อว่าด้วยความสามารถของเฟนด์ เมื่อพวกเขาเข้าไปถึง เฟนด์คงจะสามารถสังหารนายน้อยรูเบนได้ในพริบตาไม่ต้องพูดถึงนายน้อยรูเบน
“มันทรงพลังมาก!”ชายคนหนึ่งที่มีอาการดีขึ้นเล็กน้อยลุกขึ้นจากพื้นทันทีพร้อมกับจ้องเฟนด์ด้วยสายตาที่จริงจังชายสามคนที่เหลือล้อมเฟนด์ไว้ทันที เฟนด์จึงถูกล้อมด้วยชายทั้งห้าคนอย่างสมบูรณ์แบบนายน้อยรูเบนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเขาเห็นเฟนด์ถูกล้อม เขาอุทานว่า “พวกคุณอย่าฆ่ามันในทันที เอาชนะมันให้ได้และอย่าให้มันตายเร็วเกินไปเพราะมันจะไม่เจ็บปวด”ชายหัวโล้นคนนั้นหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะพูดว่า “นายน้อยรูเบนไอ้เด็กนี่ไม่ใช่คนที่จะเอาชนะได้ง่าย ๆ แม้ว่าเราจะฆ่าเขาได้แต่มันก็เป็นสิ่งที่ยากมาก!”หลังจากที่นายน้อยรูเบนได้ยินเขาก็อ้าปากค้างและพูดว่า “ไม่มีทาง ไม่จริงใช่ไหม? พวกคุณเป็นห้าพยัคฆ์ของพรรคเทพเจ้าแห่งมังกร แม้ว่าในตอนแรกพวกคุณจะมีหกคน โชคร้ายที่สการ์ถูกฆ่า แต่เห็นได้ชัดว่าพรรคเทพเจ้าแห่งมังกรของเราไม่จำเป็นต้องอ้อนข้อตามความการของพรรคอื่นๆ”“ไอ้เด็กนี่เป็นทหารมาห้าปีแล้ว และใครก็ตามที่สามารถอยู่รอดในสนามรบได้เป็นเวลาห้าปีก็คงยากที่จะเอาชนะได้ ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสหนึ่งในล้านที่จะได้เจอผู้ชายแบบนี้!”ชายที่มีเคราเล็ก ๆ พูดหลังจากที่พูดจบเขาก็พลิกฝ่ามือและคว้ามีดสั้นเล่มเดิมจากก
อย่างไรก็ตามชายหัวโล้นก็ยังมีแรงเหลือ เขาดึงมีดออกจากต้นขาทันที ขณะที่ดึงออกเลือดสดก็พุ่งทะลักออกมาเหมือนกับน้ำพุ จากนั้นเขาก็หยิบมีดแล้วลงมือจู่โจมเฟนด์เขาแสยะยิ้มและพุ่งเข้าโจมตีพร้อมกับมีดของเขา นั่นเป็นเพราะการโจมตีของชายอีกสามคนมาจากทิศทางที่แตกต่างกันชายสี่คนยกเว้นชายมีเคราที่แขนหัก เข้าโจมตีเฟนด์จากสี่ทิศทางที่แตกต่างกัน ศัตรูที่ทรงพลังทั้งสี่เข้าล้อมเฟนด์ไว้ที่มุมทั้งสี่ด้านของการโจมตีซึ่งคงไม่มีใครที่จะหลุดออกไปได้ชายอีกสามคนนั้นรู้สึกว่าในครั้งนี้เฟนด์จะไม่มีทางหนีรอดไปได้แน่แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นในตอนนั้นกลับพร่ามัว ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมากของเฟนด์ เขาเปลี่ยนไปอยู่ในตำแหน่งที่แปลกและหลีกเลี่ยงการโจมตีของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นเขาก็เข้ามาทางด้านหลังของชายคนหนึ่งในนั้นและเตะอย่างรุนแรงจนทำให้ชายคนนั้นล้มลงบนพื้น“ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ!”เมื่อชายอีกสามคนรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ การโจมตีของเฟนด์ก็เริ่มขึ้นแล้ว เพียงเวลาไม่นานชายสามคนนั้นก็ล้มลงบนพื้นมีดอีกเล่มที่อยู่ในมือของเฟนด์มีรูปมังกรโบราณสลักอยู่บนตัวของมีด มีดของเขาคมเกินกว่
รูเบนคิดมาตลอดว่าตัวเองฉลาด ดังนั้นถ้าเฟนด์ไม่ใช่จอมพลเขาก็คงจะเป็นราชาแห่งสงครามเนื่องจากมีเพียงแค่เหตุผลนี้เท่านั้นที่ใครสักคนจะฆ่าคนทั้งห้าที่มีพลังมากจากพรรคเทพเจ้าแห่งมังกรได้ตำแหน่งที่เหนือกว่าราชาแห่งสงครามก็คือเก้าเทพแห่งสงคราม ซึ่งตัวตนของพวกเขาทั้งหมดได้เผยแพร่ทางทีวีไปแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงรู้ว่าพวกเขาเป็นใครแต่ในบรรดาเก้าคนนั้นไม่มีใครชื่อเฟนด์ มันทำให้เขาสังสัยมากขึ้นไปอีก?“ไม่มีทาง? จะมีเทพเจ้าแห่งสงครามคนที่สิบได้ยังไง? ไม่ได้เปิดเผยตัวต่อสาธารณะงั้นหมอนี่เหรอ?”รูเบนขมวดคิ้ว เขารู้ว่าเขาจะต้องตายในไม่ช้าเพราะเฟนด์จะไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่ อย่างไรก็ตามเขาอยากรู้ว่าหมอนี่เป็นใครกันแน่ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากค้างก่อนจะพูดว่า “แก แกคือนักรบสูงสุด! จะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ เพราะแต่เดิมนักรบสูงสุดมีแผนที่จะเปิดเผยตัวต่อสาธารณะ แต่ก็ถูกยกเลิกในนาทีสุดท้าย ดังนั้นตัวตนของนักรบสูงสุดจึงกลายเป็นปริศนา!”ด้วยความคิดนั้นหัวใจของรู้เบนก็ตกใจมาก ไม่คิดว่าเขาจะอยากฆ่านักรบสูงสุดเพียงเพราะเงิน 3.8 ล้านเหรียญ การดำรงอยู่ของนักรบสุงสุดคือจุดสูงสุดของแคทธีเซีย ผู้ที่สามารถเรียกลมและฝนได
“ถูกต้อง ๆ นายพูดถูก!”ฟีโอน่าเก็บเงินของเธออย่างรีบเร่งและปิดกระเป๋าก่อนจะพูดว่า “ในที่สุดนายก็ทำสิ่งที่มีประโยชน์สักที นายใช้เวลาเพียงแค่วันหรือสองวันก็สามารถหาเงินที่ฉันเสียไปมาคืนได้ ดูเหมือนว่านายจะไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปซะทั้งหมด!”“นายไม่เพียงแค่มีประโยชน์เท่านั้น ฉันคิดว่าฉันเริ่มจะชอบนายแล้ว!”แอนดรูว์หัวเราะเบา ๆ และกระโดดสองครั้งต่อด้วยทำสควอตสองสามครั้ง จากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ดูสิฟีโอน่าตอนนี้ผมสบายดีและหายเป็นปกติแล้ว ตอนนี้ผมสามารถวิ่งด้วยขานี้ได้แล้ว!”“ตอนนี้มันดีขึ้นแล้วจริง ๆ!”ฟีโอน่ารู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกันเมื่อเฟนด์อ้างว่าเขาสามารถรักษามันได้ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ เธอก็ไม่คิดว่ามันจะหายได้จริง มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแต่ไม่ช้าเธอก็คิดถึงบางเรื่องขึ้นมาได้ขณะที่สีหน้าของเธอซีดลง ก่อนจะพูดว่า “มีความสุขเรื่องอะไรล่ะ? ตอนแรกขาของคุณปกติดีอยู่แล้วทั้งหมดนี้ต้องไปขอบคุณไอหนุ่มนี่ที่ทำให้ขาของคุณกลายเป็นแบบนั้น ตอนนี้คุณมีความสุขจริงเหรอ? ฮึ่ม ถ้ามันยังมีความเมตตาพอมันควรที่จะชดใช้ให้กับความสูญเสียนี้!”“แม่พูดถูก นี่เป็นความผิดของผม ผมควรชดใช้ให้ บอกผม
“แต่งงาน?”เฟนด์ตะลึงก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมยังติดค้างงานแต่งกับเซเลน่า แต่ไม่ต้องห่วงหลังจากงานวันเกิดของนายใหญ่เทย์เลอร์ ผมจะจัดงานแต่งงานที่ดีที่สุดในชีวิตให้เธอ!”“นาย?”ฟิโอน่ามองเฟนด์ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “นาย? นายคนเดียวเนี่ยนะที่จะจัดงานแต่งที่ดีที่สุดในชีวิตให้เซเลน่า? ใครจะเชื่อ? ฉันคิดว่ามันคงเป็นงานแต่งงานที่น่าอายมากกว่า!”“ฮ่า ๆ อย่าอวดดีไปหน่อยเลย เงินเพียงเล็กน้อยแค่นี้จะพอสำหรับจัดงานแต่งงานที่ดีที่สุดได้ยังไง? นายน่าประทับใจพอสมควรถ้าสามารถให้ของขวัญวันเกิดแก่นายใหญ่เทย์เลอร์ที่มีราคามากกว่า 10 ล้านเหรียญได้ แค่นั้นก็ทำให้ครอบครัวของเราภูมิใจแล้ว!”แอนดรูว์หัวเราะเบา ๆ แม้ว่างานแต่งในตอนนั้นจะจัดขึ้นอย่างไม่มีสง่าราศรี ทำเหมือนกับงานเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับตระกูลเทย์เลอร์ซึ่งมันทำให้เซเลน่าอับอายจนลืมไม่ลงอย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเรื่องเมื่อห้าปีก่อน ตั้งแต่ลูกของเฟนด์และเซเลน่าเติบโตมา แอนดรูว์ก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้จริงจังนักตอนนี้รายได้ต่อเดือนทั้งของเฟนด์และเซเลน่าก็ไม่ได้ต่ำและตราบใดที่พวกเขาทำงานได้ดีชีวิตของพวกเขาก็จะดีขึ้นกว่าเดิมมาก“ไม่ต้
สีหน้าของฟีโอน่าเปลี่ยนเป็นขมขื่นเมื่อเธอพูดว่า “นายน้อยไมเคิลเคยบอกว่าเงิน 50 ล้านไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาและจะจัดงานแต่งที่ยิ่งใหญ่ให้กับเซเลน่า เขารวยจริง ๆ ในทางกลับกันเฟนด์ต่างหากที่ยากจนแต่ก็ยังชอบโอ้อวด คุณไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่เขาพูดได้!”“แต่ค่าจ้างของเขาเป็นเรื่องจริง คุณทันย่าสัญญาด้วยตัวเอง นั่นมันปลอมไม่ได้จริงไหม?”“ดูขาของผมสิตอนนี้ก็หายดีแล้วไม่ใช่เหรอ? ผมรู้สึกว่านี่คือปาฏิหาริย์! แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เขากลับสามารถรักษามันได้!”แอนดรูว์ยังคงพูดถึงเฟนด์“เฮ้ ก่อนที่จะได้รับค่าจ้างเงินนั่นยังไม่ใช่ของเขา อีกอย่างเฟนด์เคยชินกับการอยู่ในสนามรบมากเกินไป เขาอาจจะดึงดูดปัญหาเข้ามา ดังนั้นเขาจึงเป็นเพียงแค่คนอำมหิตและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถ้าเขาต้องสู้กับคนที่ไม่ควรสู้อีก เราอาจจะต้องทุกข์ทรมานเพราะเขาแทน”“สำหรับขาของคุณ เพราะว่าเฟนด์เคยอยู่ในสนามรบมานาน เขาจึงรู้วิธีรักษาบาดแผลจากการทุบตีนั่นก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ? บางทีเขาอาจจะไม่รู้วิธีรักษาไข้หวัดธรรมดา ๆ ก็ได้!”ฟีโอน่ากลอกตาไปที่แอนดรูว์ คว้ากระเป๋าสองใบนั้นแล้วเดินเข้าไปข้างใน เธอพูดว่า “เราจะเส
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ