ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก “ไอ้พวกสารเลวนี่ ทำไมพวกเขามาอยู่ที่นี่ได้?”เฟนด์เลิกคิ้วขึ้นขณะที่เขาจ้องมองรองเหรัญญิกอย่างนึกสงสัย กิลเบิร์ตและแอนดรูว์เองก็มีสีหน้าบูดบึ้งเช่นกัน ดูเหมือนว่าโอสถอำไพมาศและวิมานโอสถจะมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างแปลกแยก ราวกับว่าพวกเขาเกลียดชังกันเสียด้วยซ้ำคนจากโอสถอำไพมาศมาถึงสามคน และผู้นำในกลุ่มสามคนนั้นคือชายวัยกลางคนซึ่งสวมชุดคลุมสีม่วงทอง เขามองไปรอบ ๆ ขณะลูบหนวดเคราให้เรียบ คล้ายกำลังมองหาใครบางคน ทันทีที่สายตาของเขามองเห็นกลุ่มเป้าหมาย สายตาของเขาก็หันไปมองที่รองเหรัญญิกทันทีสีหน้าของรองเหรัญญิกดูบูดบึ้งมากยิ่งขึ้น ใบหน้ามืดมนราวกับถ่านไม้ ทันใดนั้นชายวัยกลางคนยกยิ้มมีเลศนัยออกมาทันทีเขาเดินนำเด็กหนุ่มอีกสองคนข้างหลังมาหาอีกฝ่าย “สวัสดีรองเหรัญญิก!”รองเหรัญญิกฝืนยิ้มขณะทักทายอย่างสุภาพว่า "สวัสดี คุณคอนสแตนซ์"แอนดรูว์กระซิบว่าชายคนนั้นเป็นเจ้าของร้าน แต่เฟนด์กลับรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกอยู่หน่อย ๆ เมื่อคิดถึงสถานะของรองเหรัญญิก เนื่องจากโอสถอำไพมาศเองก็เป็นร้านขายยาเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่น่าจะต่างไปจากวิมานโอสถ และเหตุใดผู้ชายคนนี้ถือม
“ผู้อาวุโสฮอร์สท์เป็นคนที่รับผิดชอบในวันนี้ คุณมาจากภูมิภาคชั้นใน เพราะงั้นคุณอาจไม่ค่อยรู้จักเขาเท่าไหร่ แทนที่จะมัวมาคุยกับผมที่นี่ ทำไมคุณไม่ลองไปศึกษาเรื่องของผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้มากกว่านี้ล่ะ”คำพูดเหล่านั้นทำให้คอนสแตนซ์ไม่อาจพูดอะไรต่อได้อีก เขามองรองเหรัญญิกด้วยสายตามีความหมายก่อนจะแยกทางและพาบัณฑิตทั้งสองที่เขาพามาด้วยออกไปบัณฑิตที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็มองเฟนด์และคนอื่น ๆ ด้วยสายตาเย็นชาและมืดมนก่อนจะจากไปสายตาของอีกฝ่ายจ้องไปที่เฟนด์เป็นเวลานาน เฟนด์รู้สึกได้เขาคงจะเหนื่อยมากขึ้นและมองกลับไปด้วยสายตาเรียบเฉยไร้อารมณ์ บัณฑิตผู้นั้นพ่นลมออกจากจมูกอย่างเย็นชาก่อนจะหันหลังกลับอย่างไม่แยแสใครเมื่อทั้งสามจากไปแล้ว ใบหน้าที่ตึงเครียดของรองเหรัญญิกในที่สุดก็ผ่อนคลายลงเขาเกือบจะควบคุมความโกรธในใจตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว“ไอ้สารเลวนั่นเอาแต่มากวนประสาทกันอยู่นั่น ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมการมาเป็นอย่างดี เด็กสารเลวสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาต้องแข็งแกร่งมากแน่ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่อวดตัวเองขนาดนี้หรอก!”หลังจากพูดอย่างนั้น ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ซีดลง เขาขมวดคิ้วอย่างหนัก และหัวใจก็เต็มไปด้วยคว
“แต่การที่มีคนมาที่นี่มากขนาดนี้ แม้กระทั่งคนจากเมืองชั้นในนั่นก็หมายความว่าข่าวดังกล่าวได้แพร่กระจายไปนานแล้ว แต่พันธมิตรอาจจะเลือกกุมความลับนี้ไว้แทน คุณคิดว่าพันธมิตรต้องการอะไรกันแน่?”คำถามนั้นคือสิ่งที่เฟนด์คิด แต่เขารู้น้อยเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะคาดเดาอะไรได้รองเหรัญญิกมองไปที่เฟนด์ด้วยความชื่นชม เฟนด์ยังคงเป็นคนที่สามารถเข้าใจหลักสำคัญของปัญหาและตั้งคำถามที่มีความหมายได้ รองเหรัญญิกคิดอยู่นานก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“ฉันก็นึกไม่ออกเหมือนกัน ฉันรู้สึกได้เลยว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ แต่ช่วงนี้ฉันไม่ได้รับข่าวคราวอะไรเลย…”เฟนด์ถอนหายใจ แม้แต่รองเหรัญญิกยังไม่รู้ น้ำหน้าอย่างเขาจึงไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยเขาหันไปมองทุกคนที่อยู่บนดาดฟ้า และจนพบว่าบนใบหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้นอย่างชัดเจนเหนือสิ่งอื่นใดการได้เป็นบัณฑิตของพันธมิตรนักเล่นแร่แปรธาตุถือเป็นตำแหน่งที่ดีกว่าตำแหน่งปัจจุบันมาก พวกเขาจะได้รับทรัพยากรมากขึ้นและเส้นทางในอนาคตก็จะราบรื่นขึ้นอีกด้วยบรรดาผู้ที่อยู่ที่นั่นได้ผ่านกระบวนการคัดเลือกกันมาแล้ว หลายคนเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างที่กิ
“ในภายภาคหน้า วิมานโอสถอาจได้รับเกียรติดังกล่าว แต่การที่เราพยายามจะเปิดร้านเพียงสองสามแห่งก็ทำให้เราเข้าไปพัวพันกับโอสถอำไพมาศโดยไม่รู้ตัว “พวกเขาจงใจวางหลุมพราง เราไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ของที่นั่นและสุดท้ายก็ตกหลุมพรางพวกเขา เราไม่เพียงแต่เปิดร้านไม่ได้เท่านั้น แต่มันยังส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเราด้วย”“ในช่วงเวลานั้น แม้แต่ธุรกิจของเราในเมืองปักษาสีชาดก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เรากลายเป็นเพียงตัวตลก และนั่นนับว่าน่าอับอายมาก หลังจากนั้นเราก็พบว่านี่เป็นฝีมือของโอสถอำไพมาศ”เฟนด์ขมวดคิ้ว ดูเหมือนก่อนหน้านี้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น แม้ว่ารองเหรัญญิกจะไม่ได้ลงรายละเอียด แต่เฟนด์ก็สามารถบอกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นไม่มากก็น้อยผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดสำหรับธุรกิจโดยปกติแล้วก็คือข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์หรือการเบี้ยวสัญญา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน มันก็จะสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับทั้งร้านค้าและผู้บริหารเบื้องหลังได้เมื่อเห็นรองเหรัญญิกกัดฟันพูดเช่นนั้น พวกเขาก็จินตนาการได้ถึงความลำบากที่วิมานโอสถต้องเผชิญหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เฟนด์ถอนหายใจโดยไม่ถามอะไรมากไปกว่านี้ในตอนนั้นเองที
แม้แต่กิลเบิร์ตและแอนดรูว์ก็ยังตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสับสน เฟนด์ขมวดคิ้วขณะมองดูพวกเขา อย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเขาไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงมีปฏิกิริยากันมากขนาดนี้ ขณะที่ทั้งสองคนยืนอยู่บนดาดฟ้า การสนทนารอบตัวพวกเขาก็ดังขึ้น แม้จะอยู่ห่างไกล แต่เฟนด์ก็ยังได้ยินสิ่งที่คนเหล่านั้นกำลังพูดถึง“เกรย์สันเป็นศิษย์ภายในไปแล้วไม่ใช่เหรอ! ทำไมเขาต้องมาแย่งตำแหน่งบัณฑิตของพวกเราด้วย? หรือว่าพวกเขาจะมีแผนอื่น?”“ใครจะรู้ พวกเขาอาจมีแผนการลับบางอย่างก็ได้ เราเคยได้ยินชื่อของเกรย์สันมาสองสามครั้งไม่ใช่เหรอ?”“ผู้ชายคนนั้นเป็นอัจฉริยะ แต่ด้านการต่อสู้เขาอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนักและหลายปีมานี้ก็เป็นเพียงลูกศิษย์นอกสำนัก แต่นับตั้งแต่เขาเริ่มแสดงศักยภาพอันน่าทึ่งในทักษะด้านการเล่นแร่แปรธาตุ คุณค่าของเขาก็พุ่งสูงขึ้น”“เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งปีก็สามารถเลื่อนขั้นจากศิษย์นอกสำนักมาเป็นศิษย์ภายในได้! ไม่ว่าใครก็อิจฉาเขาทั้งนั้น”เฟนด์กระพริบตาปริบ ๆ ไม่น่าแปลกใจแล้วว่าทำไมพวกเขาจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เกรย์สันอาศัยพรสวรรค์ด้านการเล่นแร่แปรธาตุในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนนี่เองเฟนด์
เฟนด์ได้ยินคำพูดของรองเหรัญญิกและได้แต่ครุ่นคิด จากคำพูดของรองเหรัญญิก สถานการณ์ดูเหมือนจะเริ่มแปลกขึ้นเรื่อย ๆด้วยพรสวรรค์ของเกรย์สัน ไม่มีทางที่สำนักปักษาสีชาดจะปล่อยเขามาแบบนี้ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็พบว่ามันต้องมีเรื่องลึกเบื้องหลังอะไรนอกจากนี้เขามาที่นี่เพื่อจะมาเป็นบัณฑิต ซึ่งเทียบอะไรไม่ได้กับตำแหน่งศิษย์ภายใน นอกจากนี้สำนักปักษาสีชาดยังเป็นสำนักระดับห้าอีกด้วย เกรย์สันไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการหาทรัพยากรใด ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองเลยผู้อาวุโสของสำนักปักษาสีชาดคงยอมทำทุกอย่างเพื่อจะเลี้ยงดูเขาเอาไว้อย่างแน่นอน ตราบใดที่เกรย์สันไม่หยุดพัฒนา ในอนาคตเขาก็สามารถขึ้นเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับเจ็ดได้ไม่ยาก และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสำนักปักษาสีชาดอย่างมากทีเดียวแทบทุกสำนักอยากจะมีนักเล่นแร่แปรธาตุเป็นของตนเอง เมื่อนักเล่นแร่แปรธาตุพัฒนาได้อย่างเต็มความสามารถ เขาจะสามารถช่วยปรับแต่งยาให้กับเหล่าศิษย์ของสำนักและแม้กระทั่งช่วยดูแลนักเล่นแร่แปรธาตุรุ่นต่อ ๆ ไปได้อีกด้วยแต่การเล่นแร่แปรธาตุเป็นอาชีพที่ต้องใช้พรสวรรค์อย่างมาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้“เขาจะมาที่นี่เพื่อเข้าเป็
ผู้นำสองสามคนแสดงความเคารพเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดร้องออกมาว่า "สวัสดี ผู้อาวุโสเทิร์นเนอร์!"บุคคลนั้นเป็นผู้อาวุโสภายในสหพันธ์พันธมิตรนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งรัฐตอนกลาง ไม่ว่าจะไปที่ไหน สถานะของผู้อาวุโสก็ยังคงได้รับความเคารพอย่างดี เฟนด์อดไม่ได้ที่จะมองดูผู้อาวุโสเทิร์นเนอร์อีกครั้งเขาดูเป็นมิตรมาก ใบหน้าของเขากลมและยิ้มแย้ม มีเพียงเศษเสี้ยวความโหดเหี้ยมที่ไม่อาจเก็บซ่อนไว้ในดวงตาของเขา เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่เป็นมิตรอย่างที่คิดเลยผู้อาวุโสเทิร์นเนอร์โบกมือให้ผู้มาเยือนทุกคนและพูดว่า "ทุกท่าน ขอบคุณมากที่มาในวันนี้ ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีผู้คนมามากมายถึงเพียงนี้ แต่ด้วยคำสั่งจากเบื้องบน เราย่อมขัดไม่ได้"หลังจากที่ผู้อาวุโสเทิร์นเนอร์พูดจบ เขาก็มองทุกคนอย่างมีความหมาย หลังจากนั้นเขาก็ชูนิ้วทั้งห้าขึ้นแล้วพูดว่า "แค่ห้า! วันนี้เราจะรับศิษย์เพียงห้าคนเท่านั้น!"เฟนด์ไม่ใช่คนเดียวที่ตะลึงกับคำพูดเหล่านั้น ทุกคนตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยิน เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครทันตั้งตัว รับศิษย์เพียงห้าคน? ทั้งที่บนดาดฟ้านี่มีคนอยู่อย่างน้อยแปดสิบคนน่ะหรือจำนวนแปดสิบคนล้วนเป็นบุคคลที่มีความสามารถในส
เฟนด์เลิกคิ้วขึ้น เห็นได้จากสีหน้าของรองเหรัญญิกว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย นอกจากซีนย์และคอนสแตนซ์แล้ว ทุกคนต่างมีสีหน้าตกตะลึงทั้งไม่ต้องละทิ้งตำแหน่งในปัจจุบันของตัวเองแถมยังได้รับทรัพยากรจากสหพันธ์อีก นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับทั้งเหล่าบัณฑิตและสำนักของพวกเขานี่แปลอย่างง่าย ๆ ว่าสหพันธ์กำลังเลี้ยงลูกให้คนอื่น หากพวกเขาไม่ได้ยินกับหูคงไม่มีทางเชื่อแน่ว่าจะมีเรื่องดีแบบนี้เกิดขึ้นในโลกเฟนด์ขมวดคิ้วขณะมองผู้อาวุโสอย่างนึกสงสัย แม้ว่ามันจะฟังดูคล้ายเป็นเรื่องที่ดี แต่เฟนด์ก็รู้แก่ใจดีว่าไม่มีใครเต็มใจจะเสียผลประโยชน์ตัวเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสหพันธ์เลยสหพันธ์พันธมิตรนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งรัฐตอนกลางจะต้องมีเหตุผลในการทำเช่นนั้น ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยเพื่อให้ทุกคนเงียบ การสนทนาของทุกคนเงียบลงเมื่อผู้อาวุโสฮอร์สท์ยกมือขึ้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ยิ้มและพูดว่า "ฉันรู้ว่าทุกคนกำลังคาดเดาอะไรอยู่ จริง ๆ แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคาดเดาอะไรทั้งนั้น สหพันธ์กำลังประสบปัญหาเล็กน้อย และเราต้องการความช่วยเหลือจากอัจฉริยะบางคน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม เราถึงขอให้ทุกคนมารวมตัวกันที่
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ