แต่ทว่ามันก็สายเกินไปแล้ว ไม่ว่ากระทิงไฟตาเดียวจะแข็งแกร่งแค่ไหน พลังของมันก็อยู่ในขั้นต้นของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น เฟนด์ใช้ทักษะระดับเทพขั้นสูงสุด แม้แต่ลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักระดับสี่ก็ไม่สามารถเทียบเคียงเขาได้ ไม่ต้องพูดถึงอสูรที่อยู่ในขั้นสูงของระดับแรกกำเนิดเลยด้วยซ้ำเฟนด์ร้องออกมาในขณะที่เขาแทงออกไป ปลายดาบของเขาเจาะเข้าไปในดวงตาของอสูรอีกครั้ง ดาบทำลายดวงตาของสัตว์อสูรลง และหยาดเลือดกระเซ็นไปทั่ว เสียงร้องแห่งความปวดร้าวดังตามมาอีกทีทักษะทลายห้วงสุญญะไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ลักษณะทางกายภาพ แต่เลือกที่จะทำลายจิตวิญญาณ สัตว์อสูรอ่อนแอกว่ามนุษย์ตั้งแต่แรกแล้ว แม้แต่มนุษย์ที่อยู่ระดับเดียวกับสัตว์อสูรเหล่านั้นก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเฟนด์ได้กระทิงไม่สามารถยืนได้อย่างองอาจอีกต่อไป เช่นเดียวกับกระทิงตัวอื่น มันล้มลงกับพื้น ดูทุรนทุรายขณะที่มันกลิ้งไปบนพื้นอย่างต่อเนื่อง และร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาเฟนด์มีทั้งความรวดเร็วและการโจมตีที่เด็ดขาด เพื่อลดโอกาสการสูญเสีย เพียงไม่กี่ลมหายใจ เขาก็ได้สังหารสัตว์อสูรในขั้นสูงสุดระดับแรกกำเนิดที่เคยทำให้พวกเขาหวาดกลัว
แม้ว่าการโจมตีของกระทิงไฟตาเดียวจะไม่แข็งแกร่งมากมายนัก แต่เขาก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะคว้าความได้เปรียบจากมันได้ หากพวกเขายังคงต่อสู้เช่นนั้นต่อไป มันจะยิ่งทำให้เขาเสียเปรียบหากกระทิงอีกสองตัวเข้ามาร่วมด้วย เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน ยิ่งเขาต่อสู้มากเท่าไร แชนด์เลอร์ก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น เม็ดเหงื่อยังคงก่อตัวบนศีรษะของเขา ใบหน้าของเขาซีดราวกับกระดาษ แม้แต่ลมหายใจของเขาก็เริ่มไม่เป็นจังหวะ!ขณะที่ความวิตกกังวลของเขาถึงขีดสุด ก็มีแสงสีเทาปรากฏขึ้นข้าง ๆ เขาทั้งหมดที่แชนด์เลอร์ได้ยินคือเสียงของบางสิ่งที่ถูกแทง และกระทิงไฟตาเดียวก็ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อเขามองย้อนกลับไป เขาเห็นว่าตาของกระทิงถูกแทงด้วยดาบสีเทาไปแล้วดวงตาของมันแตกสลายเรากับเศษแก้ว! วินาทีต่อมา กระทิงไร้เทียมทานในสายตาของแชนด์เลอร์ก็ล้มลงกับพื้น มันดีดดิ้นราวกับกำลังถูกทรมานในหลุมนรก มันกลิ้งไปบนพื้นด้วยความเจ็บปวดในขณะนั้น แชนด์เลอร์คิดว่าผู้ที่โจมตีจะต้องเป็นนักรบที่มีระดับพลังยุทธแข็งแกร่ง มิฉะนั้น ก็ไม่อาจเจาะเข้าไปในดวงตาของกระทิงแบบนั้นได้เลย!พูดง่าย ๆ ก็คือ การโจมตีเพียงครั้งเดียวสามารถฆ่ากระทิงไฟตา
ดวงอาทิตย์กำลังตกและส่องแสงบนถนนแคบ ๆ ที่ผ่านหุบเขา มันฉายผ่านทุกสิ่งด้วยแสงสีแดงฉาน เฟนด์ชื่นชมทิวทัศน์จากหน้าต่าง ทิวทัศน์ด้านนอกรถม้าค่อนข้างงดงามเป็นพิเศษรัฐตอนกลางอุดมไปด้วยทรัพยากร และทิวทัศน์ก็ดีกว่ารัฐเวสต์ เซอร์ซีมาก หากไม่ใช่เพราะภัยคุกคามจากพวกสัตว์อสูร เฟนด์อาจใช้เวลาสองสามวันเพื่อชื่นชมทิวทัศน์พวกนี้ มันจะช่วยให้เขาสงบลงและวางแผนขั้นตอนต่อไปได้“เฟนด์…” สีหน้าของแชนด์เลอร์ดูเหมือนกำลังดิ้นรนเฟนด์เลิกคิ้วไม่คิดเลยว่าจะได้ยินแล้วเสียงเคารพจากอีกฝ่ายกระทันหันแบบนี้ ก่อนหน้านี้แชนด์เลอร์มองเขาด้วยท่าทีสบาย ๆ น้ำเสียงยำเกรงเช่นนี้เกือบทำให้เฟนด์หัวเราะออกมา แต่เขาไม่ได้คิดจะทำอะไรกับเรื่องนี้ แชนด์เลอร์อยากจะทำอะไรก็ย่อมได้เฟนด์ปิดม่านแล้วหันหน้าไปทางแชนด์เลอร์ แชนด์เลอร์สูดหายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาของเขาดูขัดแย้งอย่างที่สุด “คุณคือ…ผู้ฝึกยุทธขั้นต้นระดับแรกกำเนิดจริง ๆ เหรอ?”เฟนด์ส่ายหน้าและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า "ผมไม่เคยบอกว่าผมอยู่ในขั้นนั้น ก่อนหน้านี้ผมได้รับบาดเจ็บมา นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณตัดสินระดับพลังยุทธของผมผิดไป“จริง ๆ แล้วผมอยู่ในขั้นสูงสุดระดับแรกกำเนิด ก
แชนด์เลอร์เม้มริมฝีปาก “ถ้าคุณมุ่งความสนใจไปที่การเล่นแร่แปรธาตุ คุณจะไม่มีเวลาฝึกพลังยุทธ คุณมีความสามารถมาก หากคุณเสียเวลาไปกับการเล่นแร่แปรธาตุมากเกินไป มันจะเป็นการสิ้นเปลืองศักยภาพของคุณ และคุณจะต้องเสียใจเพราะเรื่องนั้น!"แชนด์เลอร์ยึดมั่นในคำพูดของเขามาก โดยเฉพาะส่วนสุดท้าย แม้ว่าเฟนด์จะได้รับผลึกวิญญาณจำนวนมาก แต่มันก็ไม่มีความหมายอะไร เขาควรจะเพิ่มพลังยุทธของตัวเองเป็นอันดับหนึ่งหากเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาก็จะสามารถร่ำรวยขึ้นได้เอง นอกจากนี้ การเพิ่มคุณภาพของโอสถจะต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก! และนั่นต้องใช้เวลามากโขเช่นกันการมีศักยภาพในการต่อสู้สูงไม่ได้หมายความว่ามีศักยภาพในการเล่นแร่แปรธาตุสูง เฟนด์เลิกคิ้วขึ้น เขารู้เรื่องทั้งหมดโดยธรรมชาติแล้ว ถ้าเขาไม่จำเป็นต้องใช้ผลึกรวมวิญญาณ เขาคงไม่เลือกเส้นทางที่ห่างไกลและยากลำบากเช่นนี้เหมือนกันแต่ด้วยต้องรวบรวมผลึกรวมวิญญาณ เขาไม่มีทางเลือกอื่น สิ่งที่เขาต้องการคือเวลาอีกสักหน่อย เฟนด์พยักหน้า เขายังคงรู้สึกขอบคุณสำหรับคำแนะนำของแชนด์เลอร์ด้วย อย่างน้อยที่สุดก็หมายความว่าแชนด์เลอร์ไม่ใช่คนไม่ดี“ผมค่อนข้างมั่นใจในการเล่นแร
อย่างไรก็ตาม วิมานโอสถใช้ทรัพยากรในการเลี้ยงดูคนเหล่านี้ค่อนข้างมาก การเล่นแร่แปรธาตุเป็นสิ่งที่ต้องใช้หญ้าวิญญาณและโอสถมากมาย ไม่ต้องใช้ทรัพยากรมากมายขนาดนั้น พวกเขาก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากกิลเบิร์ต ฮิวจ์ไอเบา ๆ ขณะที่เขารินชาที่มีอุณหภูมิเหมาะสมลงในถ้วย “คุณซิมมอนส์ คุณคงเหนื่อยมาก ดื่มชาบรรเทาอาการคอหน่อย วันนี้คุณยุ่งมาก“ให้ผมจัดการเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้เองเถอะ ร้านค้าทั้งร้านจะสะอาดสะอ้านอย่างแน่นอน”คุณซิมมอนส์เลิกคิ้ว พยักหน้าอย่างมีความสุข "นายรู้จักฉันดีนี่ กิลเบิร์ต ฉันจะมอบหมายหน้าที่นี้ให้ใครไม่ได้เลย นายทำทุกอย่างได้อย่างดีมาโดยตลอด ฉันถึงได้วางใจที่จะมอบหมายหน้าที่นี้ให้นาย"ขณะที่เขาพูดแบบนั้น รอยยิ้มของคุณซิมมอนส์ก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ กิลเบิร์ตพยักหน้า เผยรอยยิ้มที่ดูเหมาะสม ราวกับว่าเขารู้สึกขอบคุณกับคำพูดเหล่านั้นอย่างที่สุดแต่ทว่ากิลเบิร์ตไม่ได้รู้สึกอย่างที่ทำเลย แต่เขาพบว่ามันน่าขบขันมาก เหตุผลเดียวที่คุณซิมมอนส์ยกย่องเขามากก็คือคุณซิมมอนส์รู้สึกว่าเขามีศักยภาพสูงส่งจากนักเรียนทั้งสิบคน กิลเบิร์ตเป็นหนึ่งในคนที่มีความหวังมากที่สุดที่จะเป็นนักเล่น
หลังจากนั้นไม่นาน ซิมมอนส์ก็พยักหน้าและตอบว่า "ในเมื่อนายมาจากที่นี่ก็อยากจะเข้าเป็นบัณฑิต นายควรเตรียมจิตใจให้พร้อม“ในเมื่อหลานชายของฉันออกปากขอความช่วยเหลือนี้เอง เพราะงั้นฉันจะรับปาก กิลเบิร์ต ไปหาห้องให้เขา ต่อไปนายจะเป็นศิษย์พี่ของเขา นายไปไหนให้เขาไปกับนายด้วย”กิลเบิร์ตพยายามอย่างเต็มที่ที่จะควบคุมสีหน้าของเขาที่กำลังจะบูดบึ้ง เขายิ้มแข็ง ๆ และพูดว่า "ไม่ต้องกังวล ฉันจะดูแลเขาอย่างดี"แม้ว่าเขาจะพยายามควบคุมน้ำเสียงอย่างสุดกำลัง แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง แม้ว่าคำพูดของเขาจะดูไม่มีอะไรผิดปกติก็ตาม เขามองไปที่กิลเบิร์ตกิลเบิร์ตดูค่อนข้างเป็นมิตร แต่เฟนด์สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่แฝงอยู่ในกริยาอบอุ่นนั้น กิลเบิร์ตไม่พอใจอย่างยิ่งกับการมาถึงของเฟนด์ ราวกับว่ากิลเบิร์ตกลัวว่าเฟนด์จะมาแย่งตำแหน่งของเขาไปนั่นทำให้เฟนด์ยิ่งประหลาดใจ กิลเบิร์ตไม่ให้โอกาสเฟนด์พูดด้วยซ้ำ เขาจะยกมือขวาขึ้นก่อนจะเชิญเฟนด์ไปที่อื่น“มากับฉัน ฉันจะหาที่พักให้นาย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายจะเป็นหนึ่งในเพื่อนบัณฑิตของฉันในวิมานโอสถ”เฟนด์พยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองแชนด์เลอร์ แ
แชนด์เลอร์อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดนั้น เส้นทางของนักเล่นแร่แปรธาตุไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน มันยากกว่าศิลปยุทธหลายเท่า และต้องใช้พรสวรรค์สูงกว่านั้นมาก“การจะควบแน่นรังสีของโอสถยากขนาดนั้นเชียวเหรอ?” แชนด์เลอร์วางถ้วยชาในมือลงขณะที่เขาถามอย่างจริงจังแม้ว่าเขาจะเข้าใจเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยพยายามเข้าใจมรรคาแห่งโอสถมาก่อน เขาไม่เข้าใจว่าการจะเข้าใจมรรคาแห่งโอสถและควบแน่นรังสีของโอสถยากเย็นเพียงใดซิมมอนส์มีประสบการณ์อยู่ภายในวิมานโอสถหลายปี ดังนั้นเขาจึงมีอำนาจบางอย่างโดยปริยาย“แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลย! ผมต้องขอยกตัวอย่างที่คุณพอจะเข้าใจได้ สำหรับนักเล่นแร่แปรธาตุระดับห้าที่เข้าใจมรรคาแห่งโอสถและควบแน่นรังสีแห่งโอสถได้ก็เหมือนกับการมีผู้ฝึกยุทธในระดับแรกกำเนิดเรียนรู้ทักษะขั้นสูงระดับปฐพี นั่นนับว่าเป็นเรื่องยากหรือเปล่าล่ะ?!"จากการยกตัวอย่างของซิมมอนส์ แชนด์เลอร์ก็รู้สึกยิ่งกว่านั้น แน่นอนว่ามันยาก! มันยากอย่างไม่น่าเชื่อ โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้เลย เพราะหากเขาสามารถเรียนรู้ทักษะขั้นสูงระดับโลหิตได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
เฟนด์ถือผ้าขี้ริ้วไว้และตอบว่า "ก็คงคิดว่าผมกำลังเป็นภัยต่อสถานะของเขา ไม่อย่างนั้นเขาไม่เกลียดผมถึงขนาดนี้ ทำราวกับว่าผมจะขโมยของของเขาไปถ้าผมกลายเป็นบัณฑิตร่วมกับเขา“เรื่องอื่นผมไม่รู้หรอก แต่แม้ว่าบัณฑิตเหล่านั้นจะดูเหมือนกำลังเรียนรู้การเล่นแร่แปรธาตุเพื่อเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกอย่างหนักหนาสาหัส แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาดูไม่ต่างจากคนรับใช้ที่ถูกยกหางเท่านั้น“พวกเขาจะถูกบังคับให้ทำงานที่วิมานโอสถ พวกเขาต้องจัดการกับลูกค้าและทำความสะอาดร้าน พวกเขาต้องแยกแยะอายุของวัตถุดิบเหล่านั้นด้วย หลังจากเสร็จงานพวกนั้นแล้วเท่านั้พวเพราะเขาถึงจะมีโอกาสได้บ่มเพาะตัวเอง“นี่เป็นชีวิตที่ยากลำบาก ย่อมต้องมีคนแย่งกันเพื่อให้ได้โอกาสดี ๆ สิ่งดี ๆ เหล่านั้นเป็นธรรมดา ผมเป็นบัณฑิตใหม่ และอาจต้องขัดแย้งกับเขาเมื่อมุ่งหวังในสิ่งเดียวกัน ก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะไม่พอใจผมขนาดนี้”เมื่อแนชได้ยินคำอธิบายของเฟนด์ เขารู้สึกว่าเฟนด์พูดถูก แต่เขาก็ยังคงรู้สึกโกรธอย่างหนัก เห็นได้ชัดว่าเฟนด์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่เขาก็ยังถูกเปลี่ยนอยู่ดีแนชเงยหน้าขึ้นมองเฟนด์ “แล้วเราจะเอายังไงกันต่อ? การเล่นแร่แปรธาตุกินเวลาไ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ