แชนด์เลอร์อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดนั้น เส้นทางของนักเล่นแร่แปรธาตุไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน มันยากกว่าศิลปยุทธหลายเท่า และต้องใช้พรสวรรค์สูงกว่านั้นมาก“การจะควบแน่นรังสีของโอสถยากขนาดนั้นเชียวเหรอ?” แชนด์เลอร์วางถ้วยชาในมือลงขณะที่เขาถามอย่างจริงจังแม้ว่าเขาจะเข้าใจเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยพยายามเข้าใจมรรคาแห่งโอสถมาก่อน เขาไม่เข้าใจว่าการจะเข้าใจมรรคาแห่งโอสถและควบแน่นรังสีของโอสถยากเย็นเพียงใดซิมมอนส์มีประสบการณ์อยู่ภายในวิมานโอสถหลายปี ดังนั้นเขาจึงมีอำนาจบางอย่างโดยปริยาย“แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลย! ผมต้องขอยกตัวอย่างที่คุณพอจะเข้าใจได้ สำหรับนักเล่นแร่แปรธาตุระดับห้าที่เข้าใจมรรคาแห่งโอสถและควบแน่นรังสีแห่งโอสถได้ก็เหมือนกับการมีผู้ฝึกยุทธในระดับแรกกำเนิดเรียนรู้ทักษะขั้นสูงระดับปฐพี นั่นนับว่าเป็นเรื่องยากหรือเปล่าล่ะ?!"จากการยกตัวอย่างของซิมมอนส์ แชนด์เลอร์ก็รู้สึกยิ่งกว่านั้น แน่นอนว่ามันยาก! มันยากอย่างไม่น่าเชื่อ โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้เลย เพราะหากเขาสามารถเรียนรู้ทักษะขั้นสูงระดับโลหิตได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
เฟนด์ถือผ้าขี้ริ้วไว้และตอบว่า "ก็คงคิดว่าผมกำลังเป็นภัยต่อสถานะของเขา ไม่อย่างนั้นเขาไม่เกลียดผมถึงขนาดนี้ ทำราวกับว่าผมจะขโมยของของเขาไปถ้าผมกลายเป็นบัณฑิตร่วมกับเขา“เรื่องอื่นผมไม่รู้หรอก แต่แม้ว่าบัณฑิตเหล่านั้นจะดูเหมือนกำลังเรียนรู้การเล่นแร่แปรธาตุเพื่อเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกอย่างหนักหนาสาหัส แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาดูไม่ต่างจากคนรับใช้ที่ถูกยกหางเท่านั้น“พวกเขาจะถูกบังคับให้ทำงานที่วิมานโอสถ พวกเขาต้องจัดการกับลูกค้าและทำความสะอาดร้าน พวกเขาต้องแยกแยะอายุของวัตถุดิบเหล่านั้นด้วย หลังจากเสร็จงานพวกนั้นแล้วเท่านั้พวเพราะเขาถึงจะมีโอกาสได้บ่มเพาะตัวเอง“นี่เป็นชีวิตที่ยากลำบาก ย่อมต้องมีคนแย่งกันเพื่อให้ได้โอกาสดี ๆ สิ่งดี ๆ เหล่านั้นเป็นธรรมดา ผมเป็นบัณฑิตใหม่ และอาจต้องขัดแย้งกับเขาเมื่อมุ่งหวังในสิ่งเดียวกัน ก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะไม่พอใจผมขนาดนี้”เมื่อแนชได้ยินคำอธิบายของเฟนด์ เขารู้สึกว่าเฟนด์พูดถูก แต่เขาก็ยังคงรู้สึกโกรธอย่างหนัก เห็นได้ชัดว่าเฟนด์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่เขาก็ยังถูกเปลี่ยนอยู่ดีแนชเงยหน้าขึ้นมองเฟนด์ “แล้วเราจะเอายังไงกันต่อ? การเล่นแร่แปรธาตุกินเวลาไ
“เพราะแบบนี้ พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับของมีค่าน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อไม่ให้ขาดทุน และคุณจะต้องพบกับความทุกข์ทรมาน”แชนด์เลอร์พูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งที่เฟนด์จะทิ้งพรสวรรค์ของตัวเองไปแบบนั้น อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเขาต้องการตอบแทนเฟนด์ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ด้วยหากเขาไม่พาเฟนด์ติดรถมาด้วย เขาคงต้องตายเพราะกระทิงไฟตาเดียวทั้งสามตัวนั้นอย่างแน่นอนเฟนด์รู้สึกได้ถึงเจตนาดีในคำพูดของแชนด์เลอร์และพยักหน้าให้กับคำพูดเหล่านั้น มีบางสิ่งที่แชนด์เลอร์ไม่เข้าใจ นั่นก็เพราะเฟนด์มีความลับมากเกินไปแต่ไม่มีทางอธิบายออกมาได้หมดเขาไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยความลับทั้งหมดที่มีต่อแชนด์เลอร์ ดังนั้นเขาจึงถูกบังคับให้หาข้อแก้ตัวที่ดูไม่ไร้สาระเกินไป“ทันทีที่ผมตั้งเป้าหมายกับตัวเองแล้ว ผมจะไม่มีทางเปลี่ยนใจง่าย ๆ นอกจากนี้ผมก็มั่นใจในความสามารถของตัวเองอย่างที่สุดด้วย ผมจะสามารถกลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกได้แน่นอน การเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของผมด้วยซ้ำ ผมจะเป็นระดับเจ็ด ระดับแปดให้ได้เลย
เหตุใดกิลเบิร์ตจึงปฏิบัติต่อเขาอย่างเลวร้ายแบบนั้น? ถึงขนาดจัดให้เฟนด์นอนในห้องโทรม ๆ ด้วยซ้ำ เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เขาจึงมองไปที่แชนด์เลอร์และเพราะว่าเขาได้รับการแนะนำจากแชนด์เลอร์ ลุงของแชนด์เลอร์คือซิมมอนส์ กิลเบิร์ตไม่กลัวหรือว่าเฟนด์จะนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปฟ้องซิมมอนส์?ปกติแล้วการทำแบบนั้นเท่ากับว่าเขากำลังท้าทายซิมมอนส์อยู่ เขาไม่กังวลหรือว่าซิมมอนส์จะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้? เฟนด์ไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเลยเฟนด์ตัดสินใจที่จะขจัดความคิดเหล่านั้นออกไป เขาจิบเครื่องดื่มแล้วพูดว่า "ขอบคุณสำหรับคำแนะนำพวกนี้นะ ถ้าคุณกลับไปที่สำนักของตัวเองแล้ว ถ้าคุณพบปัญหาใด ๆ คุณก็สามารถตามหาผมได้ทุกเวลา"แชนด์เลอร์ยิ้มเล็กน้อย เขารู้ว่าเฟนด์เป็นคนพูดคำไหนคำนั้นเขาพยักหน้าแล้วตอบว่า “แน่นอน”ทั้งสองยังคงคุยกันต่อไปอีกพักหนึ่งก่อนที่แชนด์เลอร์จะขอตัวกลับ เพราะแชนด์เลอร์ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก เขายังคงจำเป็นต้องกลับไปที่สำนักของตัวเองเพื่อเข้าร่วมในการประลองจัดอันดับเพื่อหาทรัพยากรเพิ่มเติมให้กับตัวเองหลังจากที่เฟนด์กลับมาที่วิมานโอสถ เขาก็เปลี่ยนไปสวมชุดบัณฑิต เสื้อผ้ารัดแน่น
“อย่าคิดว่าแค่เพราะมีคนคอยหนุนหลังแล้วจะทำอะไรตามใจตัวเองก็ได้นะ เข้าใจไหม?”เฟนด์ขมวดคิ้ว เขานึกอยากจะส่งหมัดของตัวเองออกไปสักหมัดในตอนนั้น เขาอยากจะบอกให้เด็กสารเลวคนนี้ระวังคำพูดของตัวเองเสียหน่อย แต่เขาก็รู้ดีว่าเขามาอยู่ที่นี่เพราะอะไร ดังนั้นเขาจึงยอมกล้ำกลืนฝืนทนเฟนด์ชะงักไปชั่วขณะแล้วพูดว่า "ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วคุณมาพูดเหมือนผมชอบทำอะไรตามแต่ใจตัวเองอย่างนั้นน่ะหรือ?"กิลเบิร์ตเลิกคิ้วขึ้น “นี่นายคิดจะไปหางานทำหรือไง? น่าเสียดายหน่อยนะ ภารกิจพวกนั้นมีคนทำอยู่แล้ว เดือนนี้ไม่มีคะแนนบุญให้นายหรอก รอไปถึงเดือนหน้านู่น ถึงตอนนั้นอาจจะพอมีงานให้นายทำ”เฟนด์ขมวดคิ้ว ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมกิลเบิร์ตถึงมาหาเรื่องเขาแบบนี้ กิลเบิร์ตพยายามบอกเขาว่าจะตราบใดที่เฟนด์ไม่เรียกร้องของานทำก็จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น กิลเบิร์ตไม่ต้องการให้เฟนด์ได้รับคะแนนบุญใด ๆ เลยเฟนด์รู้สึกกำลังฟังเรื่องตลกที่สุดในโลกอยู่ กิลเบิร์ตจัดการกับนักเรียนคนอื่น ๆ แบบนั้นด้วยหรือเปล่า? ค่อย ๆ ขัดขาคนอื่น ๆ จากการได้รับคะแนนบุญเพื่อที่เขาจะได้ได้รับคะแนนทั้งหมดด้วยตัวเอง จากนั้นเขาจะใช้คะแนนที่ได้รับมาเพื่อ
เฟนด์สัมผัสได้ถึงเสียงปังในหัวราวกับว่ามีบางอย่างระเบิด ความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเฟนด์หลังจากกลับมาที่ห้องตัวเอง กิลเบิร์ตสังเกตเห็นว่าเดเมี่ยน ลีดส์กำลังรออยู่ที่หน้าห้อง กิลเบิร์ตขมวดคิ้วและยื่นกาน้ำชาใส่มือเดเมี่ยน เดเมี่ยนรับกาน้ำชาไปด้วยความเคารพ“ทำไมนายถึงมารออยู่นี่? ฉันเคยบอกนายไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังก็ได้ หมอนั่นสร้างปัญหาให้เราไม่ได้หรอก”เมื่อเห็นการแสดงออกของกิลเบิร์ต เดเมี่ยนก็รู้ได้ในทันทีว่ากิลเบิร์ตจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ผมไม่รู้ว่าคุณซิมมอนส์คิดอะไรอยู่ ถึงได้รับเด็กสารเลวนั่นเข้ามาในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ถ้ามันทำลายแผนการที่เราวางเอาไว้ขึ้นมา…”เมื่อได้ยินเช่นนั้น กิลเบิร์ตก็ขัดจังหวะเขาทันที "จะไม่มีใครมาทำลายแผนการของเราได้! เลิกคิดในแง่ร้ายสักทีเถอะ!"เดเมี่ยนตัวสั่นด้วยความกลัว เขากลัวกิลเบิร์ตมาโดยตลอด เขากระแอมเล็กน้อย แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที "ผมสงสัยนะว่าคราวนี้เขาจะทำสำเร็จหรือเปล่า"ทันทีที่พูดถึงบุคคลที่สามใบหน้าของกิลเบิร์ตก็แข็งทื่อ แต่ทว่ากิลเบิร์ตก็สามารถควบคุมสติ
“เขาต้องการรับภารกิจกับคะแนนบุญเหรอ? ฝันไปเถอะ! ตราบใดที่ฉันยังอยู่ เขาจะไม่มีวันได้รับคะแนนบุญเลยสักคะแนนเดียว!”เมื่อเดเมี่ยนได้ยินเช่นนั้น เขาก็ยิ้มกว้างออกมาแล้วพูดว่า "ถ้าคุณพูดอย่างนั้น ผมก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว! ผมแค่กลัวว่าการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของผู้ชายคนนี้จะทำให้แผนของเราพัง!"กิลเบิร์ตเลิกคิ้วขณะที่เขาหัวเราะเย็น ๆ “ฉันบอกนายไปแล้วไม่ใช่หรือยังไง? ไม่มีใครทำลายแผนของเราได้ การที่เด็กเหลือขอนี่ปรากฏตัวขึ้นนับว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝัน แต่นั่นจะไม่ขัดขวางแผนของเราเด็ดขาด“ฉันให้คนไปจับตาดูเขาเอาไว้แล้ว เขาไม่มีทางรอดพ้นไปจากสายตาของฉันได้อย่างแน่นอน! เราจะจับตาดูเขาไว้ตลอดหนึ่งเดือน หลังจากครบหนึ่งเดือนแล้วเราก็จะมีโอกาสกำจัดเขาไปได้ หลังจากนั้นเราจะได้ควบคุมที่แห่งนี้”หลังจากที่แผนของเขาสำเร็จ ทุกคนจะต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ กิลเบิร์ตจึงรู้สึกยินดีอย่างยิ่งขณะที่พวกเขากำลังคุยกันและรู้สึกมีความสุขกับตัวเองอยู่นั้น เฟนด์ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เขาเพิ่งดูดซับความทรงจำจำนวนมหาศาลที่อยู่ในชิ้นส่วนวิญญาณโชคดีที่เขาไม่ใช่เฟนด์คนเดิมอีกต่อไปแล้ว จิตวิญญาณของเ
เขาไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร เพราะไม่ว่าใครก็ไม่ควรเปิดประตูห้องของเขาอย่างไร้มารยาทแบบนี้อยู่ดี หากเขาอยู่ระหว่างการซึมซับความทรงจำ การถูกรบกวนเช่นนี้อาจทำให้เขาสูญเสียการควบคุมไปได้!“นายใช่ไหม! ต้องเป็นนายแน่!” กิลเบิร์ตชี้ไปที่เฟนด์ ดวงตาของเขาแดงก่ำเฟนด์มองกิลเบิร์ตด้วยสายตาประหลาดใจ เพราะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กิลเบิร์ตหัวเราะอย่างเย็นชา "อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่านายทำอะไร!"เฟนด์รู้สึกราวกับกิลเบิร์ตเสียสติไปแล้ว เขาไม่เคยออกจากห้องตัวเองด้วยซ้ำ แล้วเขาจะทำอะไรได้? ใบหน้าของเฟนด์มืดลงอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุเพราะข้อกล่าวหาแสนประหลาด และการที่กิลเบิร์ตบุกเข้ามาในห้องเขาอย่างหยาบคายดาบวิญญาณก่อตัวอยู่ในมือของเขา เฟนด์ตัดสินใจแล้วว่าจะสอนบทเรียนให้กับกิลเบิร์ตอย่างสาสมแม้ว่ามันจะขัดกับกฎก็ตาม!กิลเบิร์ตดูคล้ายจะโกรธจัด เขาสั่นไปทั้งตัว “ว่ามาสิ! แล้วรู้สึกผิดบ้างไหม? นายเป็นคนปล่อยข้อมูลออกไปใช่หรือเปล่า!”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออก เขาเอ่ยด้วยความโกรธว่า "สมองคุณมีปัญหาหรือเปล่า? กำลังพูดเรื่องอะไรกัน? รู้สึกผิดอะไร? ข้อมูลอะไร?"ร่างกายของกิลเบิร์ตสั่นเทิ้ม