ในตอนนั้นเขารู้สึกเสียใจกับทุกคำพูดของตัวเองเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้เลยว่าหัวข้อการสนทนาของเขาอยู่ข้างเขามาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงประเมินอีกฝ่ายอย่างถึงพริกถึงขิงคำพูดของอิเซยาห์ทำให้เฮย์เดนและแซมซั่นตระหนักถึงเรื่องนั้นได้เช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำขณะที่พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง พวกเขาไม่ควรเปิดปากเลย!ไบรอนมองเฟนด์ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเคยมีปฏิสัมพันธ์กับเฟนด์มาก่อน แต่ในตอนนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจเฟนด์มากนัก เขาคิดว่าเฟนด์เป็นเพียงคนที่อยู่ขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดที่มีสายสัมพันธ์กับคนใหญ่คนโตเท่านั้น แต่ทว่าเฟนด์ได้พิสูจน์แล้วว่าความคิดของเขาเป็นเพียงเรื่องไร้สาระเฟนด์ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากตัวตนของเขาถูกเปิดเผยแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจำต้องปลอมตัวต่อไป เขาโยนหน้ากากที่อยู่บนใบหน้าทิ้งและเปิดเผยตัวเองต่อคนอื่น ๆ ทั้งสิบสามคนที่อยู่ตรงนั้นซาเมียนถอยกลับไปด้วยความกลัว เขากับเฟนด์มีประวัติต่อกันมากเกินไป นึกย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เขาได้ติดตามชายสวมหน้ากากไปโจมตีเฟนด์และพรรคพวกของเขามาก่อน เขาหยาบคายใส่เฟนด์อยู่เสมอต่อมา เฟนด์ได้แสดงให้เห็น
เฟนด์เหลือบมองทุกคนก่อนที่จะถอนหายใจเบา ๆ “บุปผามอดม้วยเป็นของคุณ รีบไปเก็บมันเร็วเข้า”ใบหน้าของไบรอนแข็งทื่อ และในที่สุดก็คลายความกังวลของเขาได้ เขานึกว่าเฟนด์จะหยิบบุปผามอดม้วยไปเสียอีก เพราะอย่างไรเสีย บุปผามอดม้วยนี้ก็เป็นหญ้าวิญญาณระดับแปด ซึ่งแปลว่ามันมีคุณค่ามากแต่ทว่า เฟนด์ดูเหมือนจะไม่สนใจบุปผามอดม้วยเลย ไบรอนเก็บมันไว้ในกล่องหยกที่พวกเขาเตรียมไว้ทันที ก่อนจะใส่มันเข้าไปในแหวนยุทธของเขาเฟนด์ไม่อยากเสียเวลาพูดอะไรกับพวกเขามากจนเกินไป “ในเมื่อตัวตนของผมถูกเปิดเผยแล้ว เราแต่ละคนก็ควรไปตามทางของตัวเอง ตัวตนของผมจะทำให้พวกคุณตกอยู่ในอันตราย”หลังจากที่เฟนด์พูดจบ เขาก็หันหลังกลับเพื่อจากไป แต่ทว่าดูเหมือนแซมซั่นจะไม่เต็มใจแยกทางกับเฟนด์ เฟนด์บอกว่าการเปิดเผยตัวของเขาจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย แต่แซมซั่นไม่คิดอย่างนั้นเลยเขารู้สึกว่าการมีเฟนด์อยู่ด้วยนั้นปลอดภัยกว่ามากสำหรับพวกเขา เฟนด์ถือเป็นคนที่อยู่ในในสามอันดับแรกในบรรดาพวกเขาทั้งหมด ในด้านทักษะนั้นเฟนด์เป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่ออย่างแน่นอน แซมซั่นจึงตัดสินใจเกาะติดเฟนด์ไว้ไม่ปล่อย“เฟนด์ ผมไม่เห็นด้วยกับคุณเล
เห็นได้ชัดว่าเฟนด์ไม่ใช่คนเดียวที่ได้กลิ่นคาวเลือดดังกล่าว คนอื่น ๆ มีสีหน้ากังวลขณะที่พวกเขาเริ่มมองไปรอบ ๆ กลิ่นคาวเลือดชัดเจนเกินไป บริเวณนี้เกิดการสังหารขึ้นอย่างแน่นอนไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองคนที่เสียชีวิตแน่ เพราะกลิ่นนี่รุนแรงกว่านั้นมากแซมซั่นมีสีหน้ามืดมนขณะที่เขาพูดว่า "แถวนี้ไม่มีศพอยู่ใกล้ ๆ แต่กลับมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว เราควรเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องเลวร้ายสุด ๆ เอาไว้"การตัดสินของแซมซั่นไม่ต่างจากคนอื่น เมื่อทุกคนได้กลิ่นเลือด สีหน้าของพวกเขาก็มืดลงไม่ต่างกัน อิเซยาห์มองไปที่เฟนด์ และอยากจะพูดอะไรบางอย่าง และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กลืนคำที่เขาจะพูดลงคอไปเฮย์เดนมองดูสีหน้าสับสนของอิเซยาห์แล้วถอนหายใจด้วยความโกรธ เนื่องจากอิเซยาห์ไม่เต็มใจที่จะพูด เขาจะชิงพูดเสียเองเฮย์เดนเดินไปทางซ้ายของเฟนด์ “เฟนด์ คุณตัดสินใจเถอะ เราจะตามหาแหล่งที่มาของกลิ่นไหม?”เฟนด์พยักหน้า แล้วตอบเพียงสั้น ๆ ว่า“เอาสิ!”พวกเขาแยกทางกันค้นหาโดยใช้ญาณทิพย์ตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ พวกเขาแยกออกเป็นสี่ทิศหลัก และหลังจากนั้นไม่นานก็มีการเคลื่อนไหวทางทิศตะวันออกที่ซึ่งอิเซยาห์เป็นผู
น่าเสียดายที่แจ็คสันไม่อาจตอบสนองต่อเฮย์เดนได้อีก จากศพทั้งเจ็ดศพที่ถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี สองศพมาจากตำหนักสองกษัตริย์ ในขณะที่อีกสองศพมาจากสำนักปฐมหายนะ และอีกสามศพที่เหลือมาจากสำนักสหัสบรรณแซมซั่นพบศิษย์จากสำนักปฐมหายนะที่เขาสนิทสนมและคุกเข่าลงมองดูพวกเขาด้วยความเจ็บปวด เสียงของอิเซยาห์แหบแห้งเล็กน้อยขณะที่เขาพูดว่า "นี่มันอะไรกัน ใครฆ่าพวกเขา เป็นคนหรือสัตว์อสูรกัน!"เฟนด์ถอนหายใจ สายตาของเขาขยับไปที่หน้าอกของริฟมีรูขนาดเท่ากำปั้น รอบบาดแผลไม่มีเลือดเลยแม้แต่น้อย มีเพียงสีดำบริเวณโดยรอบเท่านั้นมันดูคล้ายกับถูกไฟไหม้ หลังจากใช้ญาณทิพย์ของเขาสำรวจดู เขาก็รู้สึกได้ว่ามันมีกระแสไฟฟ้าอยู่จำนวนหนึ่ง เฟนด์จ้องมองไปที่ศพอื่น ๆ ขณะที่เขาตรวจสอบคนอื่น ๆ เขาสังเกตเห็นว่าพวกเขามีอาการบาดเจ็บที่เกิดจากอาวุธ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของสัตว์อสูรอย่างแน่นอน พวกเขาถูกมนุษย์ด้วยกันฆ่าทิ้งเมื่อมองดูศพของริฟอีกครั้ง สีหน้าของเฟนด์ก็ดูมืดมนอย่างหนัก เขามองดูศพเหล่านั้นด้วยสายตาแปลกประหลาดริมฝีปากของอิเซยาห์สั่นเทิ้ม “ทำไมต้องฆ่าพวกเขาทุกคนด้วย? ที่คนพวกนั้นทำทั้งหมดนี่เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่
คนที่เหลือพยักหน้า เห็นด้วยกับสิ่งที่เฟนด์พูดเป็นอย่างมาก เฟนด์ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นก่อนจะพูดต่อ “พวกเขามีกันทั้งหมดเจ็ดคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ทั้งเจ็ดคนรวมกันฝีมือก็นับว่าไม่ใช่ย่อย ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังต้องลงเอยเช่นนี้ และฝ่ายตรงข้ามฆ่าพวกเขาเหมือนกัน“ดูบาดแผลของแจ็คสันและริฟสิ พวกเขาถูกฆ่าตายในการโจมตีที่รวดเร็วเพียงครั้งเดียว โดยไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลย “คนที่สามารถทำแบบนั้นได้ต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญมาก! และเพราะเชี่ยวชาญขนาดนั้น เขาต้องเป็นคนที่เรารู้จักดีแน่ เหมือนกับที่พวกคุณคาดเดากันก่อนหน้านี้นั่นแหละ เหตุผลของความขัดแย้งคงเริ่มต้นขึ้นเพราะของล้ำค่าที่ได้จากการกำจัดสัตว์อสูร“และเพราะอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือที่เราน่าจะรู้จักกันดี ทั้งเจ็ดคนก็คงรู้จักคนที่ฆ่าพวกเขาด้วย แล้วถ้าพวกเขารู้ถึงความแตกต่างทางทักษะระหว่างกัน พวกเขาก็คงไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม”ด้วยคำอธิบายของเฟนด์ อีกสามคนก็เริ่มเข้าใจเช่นกัน เพื่อให้สามารถฆ่าพวกเขาได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว คู่ต่อสู้จึงไม่ใช่เพียงศิษย์ธรรมดา เขาคงจะเป็นศิษย์ที่ถูกเลือกซึ่งมีทักษะที่สูงเป็นอย่างมากด้วยคนในระดั
“ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย!” แซมซั่นพูดทั้งน้ำตานอกจากร่างของแจ็คสันและริฟที่ซีดเผือดแล้ว ร่างของคนอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดเป็นเพราะกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งที่ทำให้พวกเขาได้มาพบกับฉากนองเลือดดังกล่าว เฮย์เดนเงยหน้าขึ้นมองและพูดอย่างจริงจังว่า "เนื่องจากมันไม่ใช่เพราะสมบัติล้ำค่า และไม่อาจเป็นเพราะพวกเขาบุ่มบ่ามอยากจะต่อสู้โดยไม่มีเหตุผล และทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนี้น่ะเหรอ? พวกเขาต้องมีเป้าหมายอะไรแน่ แต่ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าเป้าหมายนั่นมันคืออะไร!"เฟนด์หันกลับไปมองที่ภูเขาใต้พิภพ "ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ศพทั้งเจ็ดศพนี้เพียงอย่างเดียวคงบอกอะไรเราไม่ได้มาก เราต้องค้นหาต่อไปและและดูว่าจะมีเบาะแสใด ๆ เพิ่มขึ้นอีกหรือเปล่า"พวกเขาทั้งสามพยักหน้า รู้สึกว่าเฟนด์พูดถูก เฟนด์หันกลับไปมองร่างกายของริฟด้วยอารมณ์อันมากมาย เฟนด์อยากรู้จริง ๆ ว่านี่เป็นฝีมือของใครหรือว่าตัวเขาจะเป็นสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นนี้? ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาจะตามหาฆาตกรให้ริฟและช่วยริฟแก้แค้นเฟนด์ถอนหายใจ "เอาล่ะ มาจัดการศพของพวกเขาให้เรียบร้อยสักหน่อยแล้วนำศพของพวกเขาใส่ไว้ในแหวนยุทธเรา“เ
ในขณะนั้น เฮย์เดนซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดก็พูดว่า "ผมจำได้แล้ว!"พวกเขาทั้งสามหันกลับมาและเห็นเฮย์เดนที่มีสีหน้าสำนึกผิด เขาเงยหน้าขึ้นมองเฟนด์ด้วยใบหน้าจริงจัง และรีบก้าวไปข้างหน้าจนเดินมาอยู่ข้าง ๆ เฟนด์“มันคือทักษะอสุนีโลหิตมาร!” เฮย์เดนพูดอย่างหนักแน่นเฟนด์หยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่า "ทักษะอสุนีโลหิตมารคืออะไร"เฮย์เดนตอบอย่างรวดเร็วว่า "ที่เราสัมผัสได้ถึงกระแสไฟฟ้าจำนวนหนึ่งรอบบาดแผลของแจ็คสันและริฟก็เพราะว่ามันคือทักษะอสุนีโลหิตมารไงล่ะ!“รอบ ๆ บาดแผลของพวกเขายังมีกระแสไฟฟ้าหลงเหลืออยู่ และร่างของพวกเขาไม่มีเลือดเหลืออยู่เลย มันดูแปลกมาก ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกว่ามันดูคุ้นตาก็คงจะเห็นมันจากที่ไหนสักแห่งมาก่อน“ระหว่างทางที่เราเดินมาผมพยายามจำมันให้ได้ จนในที่สุดผมก็จำได้จริง ๆ ครั้งหนึ่งผมเคยเห็นทักษะยุทธที่เรียกว่าทักษะอสุนีโลหิตมารในตำราโบราณมาก่อน หลังจากใช้ทักษะนี้ฆ่าใครสักคนลงไปมันจะเหลือร่องรอยเช่นนี้ไว้!”หลังจากพูดอย่างนั้น ใบหน้าของเขาก็เริ่มจริงจังขึ้น เขาสูดลมหายใจเข้าปอด และตั้งสติก่อนจะพูดต่อ “มันเป็นทักษะที่โหดร้ายอย่างที่สุด แต่ก็ถือเป็นทักษะระดับสูง ทักษะดังกล่าว
แซมซั่นพูดด้วยท่าทางหวาดกลัว "แล้วเราจะทำยังไงดี เราจะยืนรอความตายอยู่เฉย ๆ ไม่ได้! เราจะปล่อยให้คนพวกนั้นมาฆ่าเราไม่ได้ เราต้องร่วมมือกัน! “เราต้องให้ศิษย์ทั้งหมดจากสำนักทางเหนือมาทำงานร่วมกันเพื่อต่อสู้กับพวกเขา! อสูรหรือสมบัติไม่สำคัญเลย ชีวิตของเราสำคัญที่สุด!”แซมซั่นพูดถูกเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะของล้ำค่าเช่นไรก็ไม่อาจดึงดูดใจพวกเขาได้อีก สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาในตอนนี้ก็คือการได้มีชีวิตต่อไป และพวกเขาก็มั่นใจว่ากลุ่มของพวกเขาคงพอได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้างจากการที่สำนักวายชนม์พยายามสังหารทุกคนอย่างบ้าคลั่ง หากว่าเขาไม่หาวิธีตั้งรับให้ทันท่วงที พวกเขาทุกคนก็จะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างที่สุด และหากพวกเขาไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ พวกเขาจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอนเฟนด์หันไปมองทั้งสามคน "คุณทั้งสามคนมีวิธีส่งข่าวให้ศิษย์คนอื่น ๆ จากสำนักของพวกคุณได้รับข่าวสารบ้างหรือเปล่า"เฮย์เดนพยักหน้า "ผมมีความคิดดี ๆ แล้ว! ผมใช้เวทย์สื่อสารกับเกรแฮมได้!"ขณะที่เขาพูด เขาได้ดึงป้ายผนึกเวทย์สื่อสารที่มีขนาดประมาณฝ่ามือออกมาจากแหวนยุทธ เฟนด์รู้ว่านั่นคืออะไรป้า