สำหรับพวกเขาแล้ว การพยายามเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งเจ็ดแบบตัวต่อตัวนั้นไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับพวกเขาเลยแต่นับตั้งแต่ที่พวกเขาอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ถูกดูถูกเหยียดหยามมามากมาย พวกเขาจะกล้ำกลืนความอัปยศแล้วจากไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร?ใบหน้าของไบรอนมืดมนด้วยความโกรธอย่างไม่น่าเชื่อ เพื่อที่จะฆ่าอสูรก่อนหน้านี้ เขาจึงใช้พละกำลังของเขาไปไม่น้อย ไม่มีใครทานทนต่อความอับอายและยังต้องทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ได้หรอกขณะที่ไบรอนคิดจะโต้แย้ง เขาก็ได้ยินเสียงจากชายคนที่อยู่ข้างๆพูดขึ้นอย่างชัดเจน "จริง ๆ แล้วผมไม่อยากทำอะไรเลย แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ คุณชื่อรูฟัสใช่ไหม คุณที่เป็นคนที่จัดการได้ยากที่สุดจริง ๆ น่ะเหรอ?"คำพูดเหล่านั้นดึงดูดความสนใจของทุกคนได้สำเร็จ ทั้งฝั่งของสำนักวายชนม์และสำนักสหัสบรรณต่างมุ่งความสนใจไปที่เฟนด์เฟนด์ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว และสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่รูฟัส รูฟัสยิ้มอย่างเย็นชา เขามองเฟนด์ได้อย่างไม่ชัดเจนนักเพื่อปกปิดตัวตนของเขา เฟนด์ได้ใช้พลังงานที่แท้จริงของเขาระงับพลังของตัวเอง แน่นอนว่าการระงับพลังดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว หากเขาต่อสู้เมื่อไหร่ ทุกคนก็จะสังเ
เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีก แซมซั่นมองเฟนด์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก "วู๊ด คุณบ้าไปแล้วหรือไง? ถ้าคุณสู้กับเขาแบบตัวต่อตัว คุณจะถูกฆ่าเอานะ!"เฟนด์ส่ายหน้าเล็กน้อย โดยไม่แยแสสิ่งที่แซมซั่นพูด ซาเมียนหัวเราะเสียงดังในขณะที่เขาชี้ไปที่เฟนด์ "นายมันบ้าไปแล้ว! นายนี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย รูฟัส ไอ้สารเลวนี่กำลังท้าทายคุณอยู่ เพราะงั้นคุณไม่ต้องเมตตาอะไรเขาเลย คุณต้องทำให้เขาเห็นว่าคนที่มาหาเรื่องคุณจะต้องเจอกับอะไร!”รูฟัสดูราวกับไม่สนใจคำพูดของซาเมียน แต่คำพูดพวกนั้นทำให้รูฟัสโกรธเฟนด์ถึงขีดสุดได้สำเร็จ การถูกเด็กเหลือขออย่างเขาพูดจาท้าทายเช่นนั้น หากรูฟัสไม่ให้บทเรียนที่สาสมแก่เฟนด์ นั่นแปลว่าทักษะของเขายังไม่ดีพอด้วยเหตุนี้ เขาจึงเพิกเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ขณะที่เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าโดยมีดาบอยู่ในมือ เขารีบวิ่งไปหาเฟนด์ และเฟนด์ก็ยิ้มเบา ๆ ขณะเอ่ยปากโดยไม่หันกลับไปมองว่า "พวกคนที่เหลือถอยไปไกล ๆ!"คนอื่น ๆ ต่างก็มีปฏิกิริยาทันทีเมื่อได้ยินเฟนด์พูดเช่นนั้น แม้ว่าทุกคนจะสงสัยในตัวเฟนด์ แต่การต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนจะต้องรุนแรงอย่างแน่นอน และพวกเขาไม
เฟนด์เทียบอะไรกับรูฟัสไม่ได้เลย! เฟนด์เองก็ได้ยินคำโอ้อวดของซาเมียนเช่นกัน เฟนด์ยิ้มน้อย ๆ ทักษะระดับปฐพีอย่างนั้นเหรอ?นี่อาจจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้ แต่มันกลับไม่สำคัญอะไรกับเฟนด์เลย!ดาบวิญญาณสามสิบห้าเล่มหลอมรวมอยู่ภายในดาบสีดำ แสงสีดำเปล่งประกายออกมาจากคมดาบ! ขณะที่ดาบของรูฟัสเหวี่ยงลงมาอย่างรุนแรง เฟนด์ก็โจมตีกลับไปเช่นกัน!ทุกคนได้ยินเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ เมื่อทักษะแช่แข็งวิญญาณและทลายห้วงสุญญะปะทะกันอย่างดุเดือด ทันใดนั้นแสงดำทมิฬก็กลืนกินแสงสีฟ้าอันเย็นเยือกจนหมดพวกเขาทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ และในเวลาเพียงครู่เดียวก็มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นแสงสีฟ้าเย็นยะเยือกกระจายออกเป็นผลึกหิมะ พวกมันถูกลมพัดปลิวไปขณะร่วงลงกลับพื้น ทักษะทลายห้วงสุญญะของเฟนด์ไร้เทียมทาน หลังจากทำลายทักษะแช่แข็งวิญญาณ มันก็ฟาดฟันไปที่รูฟัสตั้งแต่ต้นจนจบ รูฟัสไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับเด็กสารเลวสวมหน้ากากตรงหน้าเขาเลย เขาได้แต่คิดว่าไม่มีทางที่ทักษะแช่แข็งวิญญาณของเขาจะถูกกำจัดลงเช่นนี้ป่านนี้เจ้าเด็กเหลือขอนั่นควรจะกลายเป็นน้ำแข็ง และรูฟัสจะจัดการเตะเพื่อทำลายร่างของเจ้าเด็กเหลือข
แต่คนในระดับนั้นกลับทำให้เห็นแล้วว่าเทียบอะไรกับวู๊ดไม่ได้เลย! วู๊ดเป็นใครกัน? ทำไมพวกเขาไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับชายคนนี้มาก่อน?แซมซั่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ไม่แปลกเลยที่เขาเคยช่วยพวกเราเอาไว้ได้ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่เขาเก่งกาจมากจริง ๆ!"ในขณะนั้น อิเซยาห์ก็กลับมาตั้งสติได้อย่างช้า ๆ ริมฝีปากของเขาสั่นอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ไบรอนเบิกตากว้าง มองดูเฟนด์ที่ลอยอยู่ในอากาศด้วยความไม่เชื่อซาเมียนดูเหมือนสติจะหลุดลอยไป เข้าอ้าปากค้าง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่พยางค์เดียว! ศิษย์ทุกคนจากสำนักวายชนม์ต่างก็อ้าปากค้างเหมือนกัน พวกเขาพูดอะไรไม่ออกเลย!พวกเขาตกใจกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเห็นมากเกินไป เขาไม่เคยคิดเลยว่าชั่วชีวิตนี้จะได้เห็นรูฟัสผู้ไร้เทียมทานพ่ายแพ้ให้กับเด็กเหลือขอที่ไม่มีใครรู้จักเฟนด์เลิกคิ้วขึ้นขณะที่เขาจ้องมองซาเมียนอย่างเย็นชา ซาเมียนตัวสั่นขณะมองกลับไป เพราะรู้สึกเสียวสันหลังราวกับว่าเขาจะถูกเฟนด์ฆ่าในวินาทีต่อมาเขาอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองก้าว และในขณะนั้นเอง น้ำเสียงสั่นเครือของรูฟัสก็ดังขึ้นว่า "ทำไมพวกนายยังไม่ช่วยพยุงฉันอีก!"เมื่อได้ยินเช่
ในตอนนั้นเขารู้สึกเสียใจกับทุกคำพูดของตัวเองเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้เลยว่าหัวข้อการสนทนาของเขาอยู่ข้างเขามาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงประเมินอีกฝ่ายอย่างถึงพริกถึงขิงคำพูดของอิเซยาห์ทำให้เฮย์เดนและแซมซั่นตระหนักถึงเรื่องนั้นได้เช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำขณะที่พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง พวกเขาไม่ควรเปิดปากเลย!ไบรอนมองเฟนด์ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเคยมีปฏิสัมพันธ์กับเฟนด์มาก่อน แต่ในตอนนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจเฟนด์มากนัก เขาคิดว่าเฟนด์เป็นเพียงคนที่อยู่ขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดที่มีสายสัมพันธ์กับคนใหญ่คนโตเท่านั้น แต่ทว่าเฟนด์ได้พิสูจน์แล้วว่าความคิดของเขาเป็นเพียงเรื่องไร้สาระเฟนด์ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากตัวตนของเขาถูกเปิดเผยแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจำต้องปลอมตัวต่อไป เขาโยนหน้ากากที่อยู่บนใบหน้าทิ้งและเปิดเผยตัวเองต่อคนอื่น ๆ ทั้งสิบสามคนที่อยู่ตรงนั้นซาเมียนถอยกลับไปด้วยความกลัว เขากับเฟนด์มีประวัติต่อกันมากเกินไป นึกย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เขาได้ติดตามชายสวมหน้ากากไปโจมตีเฟนด์และพรรคพวกของเขามาก่อน เขาหยาบคายใส่เฟนด์อยู่เสมอต่อมา เฟนด์ได้แสดงให้เห็น
เฟนด์เหลือบมองทุกคนก่อนที่จะถอนหายใจเบา ๆ “บุปผามอดม้วยเป็นของคุณ รีบไปเก็บมันเร็วเข้า”ใบหน้าของไบรอนแข็งทื่อ และในที่สุดก็คลายความกังวลของเขาได้ เขานึกว่าเฟนด์จะหยิบบุปผามอดม้วยไปเสียอีก เพราะอย่างไรเสีย บุปผามอดม้วยนี้ก็เป็นหญ้าวิญญาณระดับแปด ซึ่งแปลว่ามันมีคุณค่ามากแต่ทว่า เฟนด์ดูเหมือนจะไม่สนใจบุปผามอดม้วยเลย ไบรอนเก็บมันไว้ในกล่องหยกที่พวกเขาเตรียมไว้ทันที ก่อนจะใส่มันเข้าไปในแหวนยุทธของเขาเฟนด์ไม่อยากเสียเวลาพูดอะไรกับพวกเขามากจนเกินไป “ในเมื่อตัวตนของผมถูกเปิดเผยแล้ว เราแต่ละคนก็ควรไปตามทางของตัวเอง ตัวตนของผมจะทำให้พวกคุณตกอยู่ในอันตราย”หลังจากที่เฟนด์พูดจบ เขาก็หันหลังกลับเพื่อจากไป แต่ทว่าดูเหมือนแซมซั่นจะไม่เต็มใจแยกทางกับเฟนด์ เฟนด์บอกว่าการเปิดเผยตัวของเขาจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย แต่แซมซั่นไม่คิดอย่างนั้นเลยเขารู้สึกว่าการมีเฟนด์อยู่ด้วยนั้นปลอดภัยกว่ามากสำหรับพวกเขา เฟนด์ถือเป็นคนที่อยู่ในในสามอันดับแรกในบรรดาพวกเขาทั้งหมด ในด้านทักษะนั้นเฟนด์เป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่ออย่างแน่นอน แซมซั่นจึงตัดสินใจเกาะติดเฟนด์ไว้ไม่ปล่อย“เฟนด์ ผมไม่เห็นด้วยกับคุณเล
เห็นได้ชัดว่าเฟนด์ไม่ใช่คนเดียวที่ได้กลิ่นคาวเลือดดังกล่าว คนอื่น ๆ มีสีหน้ากังวลขณะที่พวกเขาเริ่มมองไปรอบ ๆ กลิ่นคาวเลือดชัดเจนเกินไป บริเวณนี้เกิดการสังหารขึ้นอย่างแน่นอนไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองคนที่เสียชีวิตแน่ เพราะกลิ่นนี่รุนแรงกว่านั้นมากแซมซั่นมีสีหน้ามืดมนขณะที่เขาพูดว่า "แถวนี้ไม่มีศพอยู่ใกล้ ๆ แต่กลับมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว เราควรเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องเลวร้ายสุด ๆ เอาไว้"การตัดสินของแซมซั่นไม่ต่างจากคนอื่น เมื่อทุกคนได้กลิ่นเลือด สีหน้าของพวกเขาก็มืดลงไม่ต่างกัน อิเซยาห์มองไปที่เฟนด์ และอยากจะพูดอะไรบางอย่าง และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กลืนคำที่เขาจะพูดลงคอไปเฮย์เดนมองดูสีหน้าสับสนของอิเซยาห์แล้วถอนหายใจด้วยความโกรธ เนื่องจากอิเซยาห์ไม่เต็มใจที่จะพูด เขาจะชิงพูดเสียเองเฮย์เดนเดินไปทางซ้ายของเฟนด์ “เฟนด์ คุณตัดสินใจเถอะ เราจะตามหาแหล่งที่มาของกลิ่นไหม?”เฟนด์พยักหน้า แล้วตอบเพียงสั้น ๆ ว่า“เอาสิ!”พวกเขาแยกทางกันค้นหาโดยใช้ญาณทิพย์ตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ พวกเขาแยกออกเป็นสี่ทิศหลัก และหลังจากนั้นไม่นานก็มีการเคลื่อนไหวทางทิศตะวันออกที่ซึ่งอิเซยาห์เป็นผู
น่าเสียดายที่แจ็คสันไม่อาจตอบสนองต่อเฮย์เดนได้อีก จากศพทั้งเจ็ดศพที่ถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี สองศพมาจากตำหนักสองกษัตริย์ ในขณะที่อีกสองศพมาจากสำนักปฐมหายนะ และอีกสามศพที่เหลือมาจากสำนักสหัสบรรณแซมซั่นพบศิษย์จากสำนักปฐมหายนะที่เขาสนิทสนมและคุกเข่าลงมองดูพวกเขาด้วยความเจ็บปวด เสียงของอิเซยาห์แหบแห้งเล็กน้อยขณะที่เขาพูดว่า "นี่มันอะไรกัน ใครฆ่าพวกเขา เป็นคนหรือสัตว์อสูรกัน!"เฟนด์ถอนหายใจ สายตาของเขาขยับไปที่หน้าอกของริฟมีรูขนาดเท่ากำปั้น รอบบาดแผลไม่มีเลือดเลยแม้แต่น้อย มีเพียงสีดำบริเวณโดยรอบเท่านั้นมันดูคล้ายกับถูกไฟไหม้ หลังจากใช้ญาณทิพย์ของเขาสำรวจดู เขาก็รู้สึกได้ว่ามันมีกระแสไฟฟ้าอยู่จำนวนหนึ่ง เฟนด์จ้องมองไปที่ศพอื่น ๆ ขณะที่เขาตรวจสอบคนอื่น ๆ เขาสังเกตเห็นว่าพวกเขามีอาการบาดเจ็บที่เกิดจากอาวุธ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของสัตว์อสูรอย่างแน่นอน พวกเขาถูกมนุษย์ด้วยกันฆ่าทิ้งเมื่อมองดูศพของริฟอีกครั้ง สีหน้าของเฟนด์ก็ดูมืดมนอย่างหนัก เขามองดูศพเหล่านั้นด้วยสายตาแปลกประหลาดริมฝีปากของอิเซยาห์สั่นเทิ้ม “ทำไมต้องฆ่าพวกเขาทุกคนด้วย? ที่คนพวกนั้นทำทั้งหมดนี่เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ