ในขณะที่แซมซั่นพยายามดิ้นรนสถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นอีก เขาค้นพบว่าพวกอสูรมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง กลีบดอกไม้โจมตีเขารุนแรงขึ้นเมื่อมันสัมผัสได้ว่าเขาอ่อนแอลงเฮย์เดนถอนหายใจ เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผาก เขานิ่งเงียบขณะฟังเสียงกรีดร้องของสหายร่วมทีมอีกสองคน ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในที่นั่งลำบากแล้ว หากไม่ทำอะไรเลยความตายจะเป็นทางออกเดียวสำหรับพวกเขาเฮย์เดนยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า และสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการคือการต้องมาตายอยู่ในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามเช่นนี้"ตามหาอสูรนั้นให้เจอ! เรารู้ว่ามันต้องซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง!" เฮย์เดนตะโกนเสียงดัง "ต้องกำจัดอสูรเท่านั้นพวกเราถึงจะรอดเขาพูดถูก เมื่อถูกกลีบดอกไม้รายล้อมอยู่ทั่วทุกอณู พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าจะต้องหนีไปทางไหน หากพวกเขาไม่สามารถหลบหนีได้ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะใช้พลังงานที่แท้จริงไปจนหมดและกลีบดอกไม้พวกนี้ก็จะทำให้เขาตายในที่สุดวิธีเดียวที่พวกเขาจะทำให้พวกเขารอดออกไปได้คือต้องสังหารอสูรที่กำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ปัญหาก็คือพวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นอสูรที่ไหนมาตั้งแต่แรก และหากไม่ใช่เพราะการโจมตีของอสูร พวกเขาก็คงไม่
เฟนด์ระลึกได้ถึงความทรงจำบางอย่าง เขารู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยพบเจอการโจมตีแบบนี้ที่ไหนมาก่อน!ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย เขาสูดลมหายใจและความทรงจำเก่าเก็บก็เข้ามาในห้วงความคิดของเขา ความทรงจำนี้คลุมเครืออยู่เสียหน่อย แต่สุดท้ายเขาก็สามารถจำมันได้อย่างชัดเจน"ปีศาจลมมายาพวกนี้สร้างปัญหาได้มากที่สุด เราจะสามารถหามันเจอได้ง่ายหากอยู่ในพื้นดินแห้งแล้ง แต่หากอยู่ในป่าทึบเราจะหามันเจอได้ยากกว่า""แต่ผมจำได้ว่าปีศาจลมมายาพวกนี้เป็นเพียงอสูรตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในขั้นแรกของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น...""พลังโจมตีของมันอาจไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่มันสามารถดึงพลังงานที่แท้จริงจากทั้งสวรรค์และโลกมาเพื่อชดเชยพลังที่หายไปได้ตลอดเวลา ตราบใดที่คุณได้พบเจอกับมัน คุณต้องมีทั้งพลังยุทธที่แข็งแกร่งและสายตาที่เฉียบคมในการเอาชนะมัน ไม่งั้นเราจะเจอปัญหาใหญ่!”บทสนทนาดังกล่าวเข้ามาในหัวของเฟนด์ ความทรงจำนี้ไม่ได้เป็นของเฟนด์แต่มันได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเขาตั้งแต่ในตอนที่ระดับการบ่มเพาะของเขายังคงไม่พัฒนามาถึงระดับนี้ บทสนทนานี้มาจากบรรพบุรุษของเขาขณะกำลังสนทนากับเหล่าสหายในโลกใบที่สามซึ่งเขาปรากฏตัวอยู่ที
"แล้วไหนล่ะร่างของพวกมัน?" บรรพบุรุษของเฟนด์ถามด้วยความอยากรู้ในเวลานั้น"มันก็อยู่ข้าง ๆ คุณไง! พวกมันจะเปลี่ยนตัวเองเป็นพืช" เพื่อนของเขาเชิดคางขึ้นขณะตอบ "เพราะพวกมันแปลงเป็นพืชแล้ว พวกมันก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง นี่เป็นจุดอ่อนที่สาหัสที่สุดของพวกมัน นอกจากนี้ การป้องกันของพวกมันก็อ่อนแอมาก พอคุณเจอร่างของพวกมันแล้วก็โจมตีได้เลย! แม้ว่าพวกมันจะอยู่ในขั้นต้นของระดับแรกกำเนิดแต่มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก!"คำพูดเหล่านี้ยังคงแวบเข้ามาในห้วงความคิดของเฟนด์ ปีศาจลมมายาจะแปลงร่างเป็นพืช และระยะการโจมตีของพวกมันก็นับว่าจำกัด ร่างที่แท้จริงของพวกมันจะอยู่ใกล้ ๆ ในขณะที่ทำการโจมตี เฟนด์จำได้อย่างชัดเจนว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เห็นต้นไม้เลยสักต้น ในครั้งแรกที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในพื้นที่ รอบ ๆ ตัวเขาเป็นเพียงดินแดนที่แห้งแล้งและแดงก่ำ สิ่งที่อยู่ใกล้เขาที่สุดมีเพียงต้นไม้ที่ตายแล้วเท่านั้น และไม่พบวัชพืชแม้แต่ต้นเดียวเฟนด์ตัวแข็งทื่อในทันที เขาตระหนักได้ว่าเขามองข้ามบางสิ่งไป"ช่วยด้วย! ผมทนไม่ไหวแล้ว!" เสียงกัดฟันกรอดของแซมซั่นดังมาแต่ไกลมือของเขาสั่นเล็กน้อยในขณะที่เขาพยายามที่
แซมซั่นรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่โอบรอบคอของเขา เขาปิดตาลงรอคอยความตายอย่างช้า ๆบางครั้งในตอนที่คน ๆ หนึ่งรู้ตัวว่าใกล้จะถึงคราวตายของตัวเอง พวกเขาจะสงบลง แซมซั่นเองก็อยู่ในสภาพนั้น แม้ว่าเขาจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้าก็ตาม เขาเป็นศิษย์ภายในของสำนักสหัสบรรณ ตราบใดที่เขาไม่ยอมแพ้ เขาก็สามารถขึ้นเป็นผู้ดูแลในสำนักสหัสบรรณหรือแม้แต่ผู้อาวุโสภายนอกได้ เขายังเป็นอะไรได้อีกตั้งหลายอย่างทันใดนั้นเองก็มีกลิ่นของการถูกเผาไหม้โชยออกมา กลิ่นนั้นรุนแรงจนทำให้เขาตื่นตระหนก และทันใดนั้น เขาก็ได้ยินว่า "เจอแล้ว!"วินาทีต่อมา เสียงคร่ำครวญมากมายก็ดังเข้าหูแซมซั่น ทันใดนั้น แซมซั่นก็ลืมตาขึ้น และดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าเขาดูเหมือนไร้ชีวิตไปต่อหน้าต่อตาเขา และร่วงโรยลงอย่างฉับพลันราวกับเวลาล่วงโรยไปหลายทศวรรษ หลังจากมันร่วงโรยกลีบดอกไม้ก็กลายเป็นฝุ่นผงไป เหลือเพียงสายลมอ่อน ๆ ที่พัดมาปะทะเข้ากับดวงตาของแซมซั่นแซมซั่นหายใจไม่เป็นจังหวะ เขาไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงประตูนรกที่เปิดอ้ารอให้เขาก้าวเข้าไป! แต่ในวินาทีต่อมา สิ่งเหล่านั
เฟนด์จ้องมองเจ้าสัตว์อสูรที่ตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดปีศาจลมมายาก็ตายลงไป! ภายใต้สายตาประหลาดใจของคนอื่น ๆ จู่ ๆ ปีศาจลมมายาก็ระเบิดกลายเป็นแสงสีชมพูแสงเริ่มเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มจะทำอันตรายต่อดวงตาของพวกเขา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ แสงสีชมพูก็หายไป โอสถทรงกลมปรากฏขึ้นต่อหน้าคนทั้งสาม! โอสถนี้มีกลิ่นโอสถรุนแรง และเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่โอสถทั่วไป!เฟนด์เลิกคิ้วขึ้น ส่งญาณทิพย์ของเขาออกไป แล้วจึงตระหนักได้ว่าโอสถดังกล่าวเป็นโอสถระดับเจ็ด นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขารู้ได้ นอกจากนั้นแล้วทั้งชื่อหรือผลของโอสถนี้คืออะไรเขาไม่รู้เลยแต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาคือคนที่กำจัดปีศาจลมมายาได้ และโอสถนั้นควรจะเป็นของเขา เขาไม่ได้คิดอะไรมากขนาดดึงกล่องออกมาจากมัสตาร์ด ซี๊ด เก็บโอสถดังกล่าวไว้ข้างในกล่องนั้นและเก็บมันไปต่อหน้าต่อตาทั้งสามคนกิริยาทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยท่าทีสบาย ๆ ขณะที่อีกสามคนได้แต่จ้องมองตาปริบ ๆ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าหากไม่ได้เฟนด์ช่วยพวกเขา พวกเขาคงตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะแย่งชิงโอสถดังกล่าวกับเฟนด์ได้!เฟนด์ยังคงไม่ได้พูดอะไรต่อ เป็นแซมซั่นที่ทำลายความเงียบนั้
มีคนมากกว่าร้อยแปดสิบคนที่เข้ามาในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม จะมีใครรู้ได้ว่าในบรรดาคนที่เข้ามาจะมีสักกี่คนที่มีคำว่าวู๊ดอยู่ในชื่อของพวกเขา อีกอย่าง ชายคนนี้ก็ดูลึกลับมาก คำว่าวู๊ดคงเป็นเพียงชื่อเล่นที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเท่านั้นเมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ และทิ้งความคิดเหล่านั้นออกจากสมอง ทัศนคติของแซมซั่นเปลี่ยนไปหลังจากที่เฟนด์ช่วยเขาไว้ เขาปฏิบัติต่อเฟนด์ด้วยความเอาใจใส่อย่างไม่น่าเชื่อเดิมทีเฟนด์ได้วางแผนที่จะเดินทางเพียงลำพังเอาไว้ เขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แล้วสิ่งนั้นจะช่วยเขาแก้ปัญหาได้มากมาย แต่ทว่าบางครั้งการเดินทางคนเดียวก็อาจจะยิ่งทำให้อันตรายขึ้นไปอีกหากเกิดอะไรขึ้นหลายหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียว นอกจากนี้ ความเอาใจใส่ของแซมซั่นทำให้เฟนด์ตัดใจจากไปไม่ได้ง่าย ๆ พวกเขาทั้งสี่จึงก่อตั้งพันธมิตรเล็ก ๆ ขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสี่นั้นจริง ๆ แล้วมีความจริงใจต่อกันมากกว่าพันธมิตรที่เฟนด์มีกับทั้งห้าคนก่อนที่เขาจะเข้าสู่หุบเหวแห่งสุญญะเสียอีกพวกเขาทั้งสี่ยังคงเดินทางไปยังภูเขาใต้พิภพขณะพูดคุยกันไปด้วย ปากของแซมซั่นไม่เคยปิดได้สนิท และได้เปิดเผยเรื่องราวทุกอ
ในใจของทุกคนที่นั่นต่างสงสัยว่าใครจะเป็นคนผ่านการทดสอบไปได้ พวกเขาได้แต่สงสัยว่าใครจะเป็นคนเดินทางไปถึงเชิงเขาของภูเขาใต้พิภพซึ่งจะสามารถผ่านด่านทดสอบที่เก้าไปได้ มีเพียงบุคคลนั้นเท่านั้นที่จะสามารถขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของหุบเหวแห่งสุญญะได้ สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือมองคนผู้นั้นได้คำชื่นชมแซมซั่นมีดวงตาขุ่นมัว “ไม่รู้สิ บางทีอาจเป็นคนจากสำนักวายชนม์คนนั้น หรืออาจจะเป็นเกรแฮมหรือศิษย์พี่เฟนด์ก็ได้”การที่แซมซั่นเรียกเฟนด์ว่ารุ่นพี่ทำให้เฟนด์ใจสั่นเล็กน้อย เขาเพิ่งเข้าร่วมในตำหนักสองกษัตริย์ได้ไม่นาน และเป็นเพียงศิษย์ของผู้อาวุโสเท่านั้น คนอื่น ๆ มักจะเรียกเขาว่าศิษย์น้องแต่ด้วยทักษะที่เขาแสดงออกมาในหุบเหวแห่งสุญญะ ทำให้ทุกคนยอมรับว่าทักษะของเฟนด์นั้นแข็งแกร่งกว่าเกือบทุกคนที่นั่น ดังนั้นตอนนี้เขาจึงกลายเป็นศิษย์พี่ไปโดยปริยายขณะที่แซมซั่นพูดจบ เขาก็หันกลับไปมองอิเซยาห์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น "เฟนด์มาจากตำหนักสองกษัตริย์ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง?"“ผมได้ยินมาว่าเขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโส นั่นก็หมายความว่าคุณสองคนคงจะสนิทกันมาก”อิเซยาห์รู้สึกอึดอัดกับคำพูดเหล่านั้น เขาไม่รู้ว่าจ
เฟนด์ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่าเขามาถึงจุดที่กำลังอยู่นี้ได้อย่างไร เขารู้ว่าอิเซยาห์กำลังสับสนเรื่องอะไร เขาทำได้เพียงแค่ยิ้มออกมา เพราะอยากรู้ว่าอิเซยาห์จะอธิบายให้ทั้งสองคนฟังอย่างไรหลังจากผ่านไปหลายอึดใจ ใบหน้าของเฮย์เดนและแซมซั่นก็เริ่มบอกบุญไม่รับ ก่อนที่อิเซยาห์จะอ้าปากตอบอย่างช้า ๆ ว่า "เฟนด์เคยเป็นเพียงศิษย์ภายนอก ที่แสนธรรมดาอย่างไม่น่าเชื่อ เขาพัฒนาตัวเองได้เร็วมาก"เฮย์เดนและแซมซั่นตกตะลึงราวกับว่าพวกเขาเพิ่งได้ยินเรื่องร้ายแรงอะไรบางอย่าง พวกเขามองอิเซยาห์ด้วยสายตาสงสัยท่าทางเหล่านั้นดูคล้ายจะกล่าวหาอิเซยาห์ กริยาท่าทางเหล่านั้นดูคล้ายจะบอกเป็นนัยว่าแม้เขาจะไม่ต้องการเปิดเผยความจริง เขาไม่ควรพูดอะไรโง่เขลาแบบนี้ออกมาอิเซยาห์ถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขา "ผมไม่ได้โกหกจริง ๆ นะ ถ้าพวกคุณไม่เชื่อผม คุณก็ไปถามศิษย์คนอื่น ๆ จากสำนักของเราได้ แล้วตอนนั้นคุณก็จะรู้เอง เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับของตำหนักเสียหน่อย"คำอธิบายของอิเซยาห์ทำให้พวกเขาเชื่อ แซมซั่นยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง “จริงหรือ เขาเป็นเพียงศิษย์ภายนอกจริง ๆ เหรอ?”อิเซยาห์พยักหน้าในทันที อ