มีคนมากกว่าร้อยแปดสิบคนที่เข้ามาในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม จะมีใครรู้ได้ว่าในบรรดาคนที่เข้ามาจะมีสักกี่คนที่มีคำว่าวู๊ดอยู่ในชื่อของพวกเขา อีกอย่าง ชายคนนี้ก็ดูลึกลับมาก คำว่าวู๊ดคงเป็นเพียงชื่อเล่นที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเท่านั้นเมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ และทิ้งความคิดเหล่านั้นออกจากสมอง ทัศนคติของแซมซั่นเปลี่ยนไปหลังจากที่เฟนด์ช่วยเขาไว้ เขาปฏิบัติต่อเฟนด์ด้วยความเอาใจใส่อย่างไม่น่าเชื่อเดิมทีเฟนด์ได้วางแผนที่จะเดินทางเพียงลำพังเอาไว้ เขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แล้วสิ่งนั้นจะช่วยเขาแก้ปัญหาได้มากมาย แต่ทว่าบางครั้งการเดินทางคนเดียวก็อาจจะยิ่งทำให้อันตรายขึ้นไปอีกหากเกิดอะไรขึ้นหลายหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียว นอกจากนี้ ความเอาใจใส่ของแซมซั่นทำให้เฟนด์ตัดใจจากไปไม่ได้ง่าย ๆ พวกเขาทั้งสี่จึงก่อตั้งพันธมิตรเล็ก ๆ ขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสี่นั้นจริง ๆ แล้วมีความจริงใจต่อกันมากกว่าพันธมิตรที่เฟนด์มีกับทั้งห้าคนก่อนที่เขาจะเข้าสู่หุบเหวแห่งสุญญะเสียอีกพวกเขาทั้งสี่ยังคงเดินทางไปยังภูเขาใต้พิภพขณะพูดคุยกันไปด้วย ปากของแซมซั่นไม่เคยปิดได้สนิท และได้เปิดเผยเรื่องราวทุกอ
ในใจของทุกคนที่นั่นต่างสงสัยว่าใครจะเป็นคนผ่านการทดสอบไปได้ พวกเขาได้แต่สงสัยว่าใครจะเป็นคนเดินทางไปถึงเชิงเขาของภูเขาใต้พิภพซึ่งจะสามารถผ่านด่านทดสอบที่เก้าไปได้ มีเพียงบุคคลนั้นเท่านั้นที่จะสามารถขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของหุบเหวแห่งสุญญะได้ สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือมองคนผู้นั้นได้คำชื่นชมแซมซั่นมีดวงตาขุ่นมัว “ไม่รู้สิ บางทีอาจเป็นคนจากสำนักวายชนม์คนนั้น หรืออาจจะเป็นเกรแฮมหรือศิษย์พี่เฟนด์ก็ได้”การที่แซมซั่นเรียกเฟนด์ว่ารุ่นพี่ทำให้เฟนด์ใจสั่นเล็กน้อย เขาเพิ่งเข้าร่วมในตำหนักสองกษัตริย์ได้ไม่นาน และเป็นเพียงศิษย์ของผู้อาวุโสเท่านั้น คนอื่น ๆ มักจะเรียกเขาว่าศิษย์น้องแต่ด้วยทักษะที่เขาแสดงออกมาในหุบเหวแห่งสุญญะ ทำให้ทุกคนยอมรับว่าทักษะของเฟนด์นั้นแข็งแกร่งกว่าเกือบทุกคนที่นั่น ดังนั้นตอนนี้เขาจึงกลายเป็นศิษย์พี่ไปโดยปริยายขณะที่แซมซั่นพูดจบ เขาก็หันกลับไปมองอิเซยาห์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น "เฟนด์มาจากตำหนักสองกษัตริย์ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง?"“ผมได้ยินมาว่าเขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโส นั่นก็หมายความว่าคุณสองคนคงจะสนิทกันมาก”อิเซยาห์รู้สึกอึดอัดกับคำพูดเหล่านั้น เขาไม่รู้ว่าจ
เฟนด์ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่าเขามาถึงจุดที่กำลังอยู่นี้ได้อย่างไร เขารู้ว่าอิเซยาห์กำลังสับสนเรื่องอะไร เขาทำได้เพียงแค่ยิ้มออกมา เพราะอยากรู้ว่าอิเซยาห์จะอธิบายให้ทั้งสองคนฟังอย่างไรหลังจากผ่านไปหลายอึดใจ ใบหน้าของเฮย์เดนและแซมซั่นก็เริ่มบอกบุญไม่รับ ก่อนที่อิเซยาห์จะอ้าปากตอบอย่างช้า ๆ ว่า "เฟนด์เคยเป็นเพียงศิษย์ภายนอก ที่แสนธรรมดาอย่างไม่น่าเชื่อ เขาพัฒนาตัวเองได้เร็วมาก"เฮย์เดนและแซมซั่นตกตะลึงราวกับว่าพวกเขาเพิ่งได้ยินเรื่องร้ายแรงอะไรบางอย่าง พวกเขามองอิเซยาห์ด้วยสายตาสงสัยท่าทางเหล่านั้นดูคล้ายจะกล่าวหาอิเซยาห์ กริยาท่าทางเหล่านั้นดูคล้ายจะบอกเป็นนัยว่าแม้เขาจะไม่ต้องการเปิดเผยความจริง เขาไม่ควรพูดอะไรโง่เขลาแบบนี้ออกมาอิเซยาห์ถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขา "ผมไม่ได้โกหกจริง ๆ นะ ถ้าพวกคุณไม่เชื่อผม คุณก็ไปถามศิษย์คนอื่น ๆ จากสำนักของเราได้ แล้วตอนนั้นคุณก็จะรู้เอง เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับของตำหนักเสียหน่อย"คำอธิบายของอิเซยาห์ทำให้พวกเขาเชื่อ แซมซั่นยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง “จริงหรือ เขาเป็นเพียงศิษย์ภายนอกจริง ๆ เหรอ?”อิเซยาห์พยักหน้าในทันที อ
แซมซั่นรู้สึกเหมือนทั้งสามคนกำลังพูดอะไรไร้สาระเกินไป ตลอดทางมานี้เฟนด์ไม่เคยมีส่วนร่วมด้วยและเอาแต่ทำตัวแปลกแยก เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า "วู๊ด คุณคิดยังไงล่ะ?"เฟนด์เลิกคิ้ว คิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง "ผมคิดว่าชายสวมหน้ากากจะผ่านด่านทดสอบไปได้ และเฟนด์ก็น่าจะผ่านไปได้เช่นกัน"พวกเขาเปิดเผยความคิดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เฟนด์ไม่คิดว่าเกรแฮมจะผ่านบททดสอบนี้ไปได้ และอีกสามคนเองก็ไม่มั่นใจในตัวเกรแฮมมากเท่าไหร่เช่นกันแต่อีกสามคนไม่เคยพูดมันออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ เฮย์เดนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “วู๊ด คุณดูมั่นใจในการตัดสินใจของคุณอย่างกับมันจะไม่ผิดไปจากนี้อย่างนั้นแหละ”คำพวกของเขาไม่ว่าใครฟังดูก็จะรู้ว่ามีความนัยอะไรซ่อนอยู่ เฟนด์ไม่ใช่คนโง่ เขาบอกได้เลยว่าเฮย์เดนคงไม่พอใจอยู่หน่อย ๆ แต่ทว่าเขาก็ไม่สนใจและโต้ตอบอะไรเฮย์เดนกลับไปแม้ว่าเฟนด์จะช่วยทั้งสามคนเอาไว้ แต่เฮย์เดนก็ยังรู้สึกตะหงิดใจกับเฟนด์อยู่ เขารู้สึกว่าการที่เฟนด์เก็บซ่อนตัวตนที่แท้จริงไว้แบบนั้นเป็นเรื่องที่ขี้ขลาดมากการที่เฟนด์ไม่ตอบยิ่งทำให้เฮย์เดนโกรธมากขึ้นไปอีก เฮย์เดนเลิกคิ้วในขณะเตรียมจะส่งคำเย้ยหยันไปให้เฟนด์ แต่
ที่เนินเขาดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายกำลังเตรียมพร้อมที่จะสู้กัน พวกเขามีทั้งหมดหกคน สามคนมาจากสำนักสหัสบรรณ และอีกสามคนมาจากสำนักวายชนม์ ไบรอนเป็นผู้นำของฝ่ายสำนักสหัสบรรณ เขาจำได้ว่าไบรอนเป็นศิษย์ฝีมือดีของสำนักสหัสบรรณ อันดับของเขาในสำนักค่อนข้างสูงความประทับใจเดียวของเฟนด์ที่มีต่อซาเมียนคือการทะเลาะกันครั้งก่อน แต่ที่เขารู้ เขาเป็นเพียงคนปากร้าย ที่มักจะวนเวียนอยู่รอบ ๆ กายของชายสวมหน้ากาก คอยเลียแข้งเลียขาเขา เขาคงเป็นคนที่มีพลังพอสมควรถึงได้มีโอกาสเข้าประจบชายสวมหน้ากากได้ สาวกของสำนักวายชนม์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของชายสวมหน้ากากในเวลานั้นค่อนข้างให้ความเคารพต่อซาเมียน แม้ว่าซาเมียนจะไม่ใช่หนึ่งในศิษย์ที่ถูกเลือก แต่ตำแหน่งศิษย์ภายในของเขาก็ถือว่าสูงพอสมควร เฟนด์คิดกับตัวเองก่อนจะหันไปหาเฮย์เดน "พวกคุณรู้จักซาเมียน เนสไหม?"เมื่อได้ยินดังนั้น ชายทั้งสามก็หันมามองเขา เฮย์เดนมองเฟนด์ด้วยสายตาที่รอบรู้ "ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณจะรู้จักซาเมียนด้วย"เฟนด์พยักหน้า “ก็อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละ สำนักวายชนม์กับผมมีความแค้นต่อกัน ผมรู้จักบางคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าเขา คุณคงเคยได้ยินคำ
เฮย์เดนถอนหายใจออกยาว เขาพุ่งตัวไปจากจุดที่ยืนอยู่ก่อนจะพุ่งไปด้านหน้า "ตามผมมา!" เขาหันกลับมาสั่งก่อนจะพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วภายในชั่วพริบตา เขาปรากฏตัวต่อหน้าไบรอน พรรคพวกของเขาตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันและถอยหนีไปสองสามก้าวเฮย์เดนมีความผูกพันกับชายอีกสองคนค่อนข้างมาก แน่นอนว่าชายทั้งสองลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดพวกเขาก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด เนื่องจากทั้งอิเซยาห์และเฮย์เดนจากไปแล้ว หากพวกเขาสองคนยังอยู่ก็คงไม่ใช่เรื่องดีนักพวกเขาถอนหายใจและพุ่งตัวตามหลังไปอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นเฮย์เดน ไบรอนก็อุทานราวกับว่าเขาได้พบผู้ช่วยชีวิตของเขาแล้ว "ศิษย์น้องเฮย์เดน!"เฮย์เดนพยักหน้าและเดินข้าง ๆ ไบรอนโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขายืดอกและก้าวไปยืนใกล้กับไบรอน เห็นได้ชัดว่าผู้มาเยือนตั้งใจเข้ามาเป็นกำลังเสริมซาเมียนขมวดคิ้วเมื่อเห็นการปรากฏตัวของเฮย์เดนเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และหากมีเพียงเฮย์เดนคนเดียวก็คงจะดีไม่น้อย แต่เขากลับมีชายสามคนพ่วงมาด้วย เมื่อไบรอนมีผู้ช่วยเพิ่มอีกสี่คนเขาย่อมเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบอย่างแน่นอนแม้ว่าทั้งสี่คนจะไม่แข็งแกร่งเท่าเขา แต่อีกฝ่ายก็ยังสามารถเอาชนะเขาไ
เฟนด์ขยับเข้าไปใกล้เฮย์เดนมากขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “รูฟัสคนนี้คือใคร? เขามีตำแหน่งอะไรในสำนักวายชนม์?”เฟนด์มีความรู้เกี่ยวกับสำนักวายชนม์น้อยมาก เขารู้จักคนที่มาจากสำนักวายชนม์เพียงไม่กี่คนและนั่นคือขีดจำกัดของความรู้ของเขา สำหรับความเป็นไปภายในสำนักวายชนม์นั้น เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ แล้วเขาไม่รู้อะไรเลยนอกเหนือจากคนหลายคนที่อยู่เบื้องหน้า เขาจำได้แค่ชายสวมหน้ากากและชายที่ชื่อเลนนอน ทักษะของเลนนอนเทียบอะไรไม่ได้กับชายสวมหน้ากาก ส่วนทักษะของรูฟัสก็คงพอ ๆ กันมิฉะนั้น ซาเมียนจะไม่ปฏิบัติต่อรูฟัสด้วยความเคารพยำเกรงจนดูราวกับจะกระดิกหางใส่ผู้ชายคนนั้นเช่นนั้นแน่ เฮย์เดนมองเฟนด์ราวกับหงุดหงิดกับคำถามที่มาไม่หยุดของเฟนด์แต่พวกเขาก็ถือเป็นพันธมิตรกัน และในท้ายที่สุด เขาก็สงบสติอารมณ์ลงในขณะที่ตอบว่า "รูฟัสเป็นศิษย์ที่ถูกเลือกจากสำนักวายชนม์ และด้อยกว่าเลนนอนในด้านทักษะเท่านั้น"น้ำเสียงของเฮย์เดนฟังดูค่อนข้างจริงจัง เขามองรูฟัสราวกับว่าชายคนนั้นเป็นระเบิดเวลา เฟนด์เลิกคิ้ว เขาค่อนข้างเข้าใจในความรู้สึกของเฮย์เดนถ้ารูฟัสเป็นรองเพียงเลนนอนจริง ๆ รูฟัสก็ถือเป็นภัยคุกคามครั้งให
น้ำเสียงของเขาหยาบคายอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่เฟนด์ก็ยังรู้สึกโกรธเมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ๆ เลยมือของไบรอนสั่นด้วยความโกรธ มือขวาของเขากำแน่น และมือซ้ายของเขาก็ดึงอาวุธออกจากแหวนยุทธ บรรยากาศตึงเครียดกลับมาอีกครั้ง การปะทะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแซมซั่นถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขากระซิบขึ้นอย่างเสียไม่ได้ว่า "เราไม่มีทางรับมือกับรูฟัสได้ง่าย ๆ แน่ ในสำนักวายชนม์เขาตามหลังเลนนอนในแง่ของทักษะเท่านั้น และก่อนหน้านี้เลนนอนก็อยู่ในห้าอันดับแรกเสียด้วย"เลนนอนอาจตกรอบจากด่านทดสอบที่หกไปจนถึด่านทดสอบที่เก้า แต่เขาได้พิสูจน์ทักษะของตัวเองแล้วไม่มีใครกังขาในความแข็งแกร่งของเลนนอน ดังนั้นสำหรับคนที่อยู่ตามหลังเลนนอนเพียงเล็กน้อย ย่อมต้องแข็งแกร่งเช่นกันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และไบรอนก็ได้รับบาดเจ็บมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว หากพวกเขาเริ่มต่อสู้กันขึ้นมา คงเป็นเรื่องยากที่ฝ่ายเขาจะได้เปรียบ และพวกเขาอาจถึงขั้นต้องเสียใครไปด้วย ทักษะของแซมซั่นน่าจะอ่อนแอที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งเจ็ด ดังนั้นถ้ามีคนตาย เขาก็คงเป็นหนึ่งในคนแรก ๆนั่นเป็นเหตุผลที่เขาเลือกที่จะพูดขึ้นก
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ