เฟนด์ไม่ได้พบกับสิ่งมีชีวิตชนิดใดเลยตลอดการเดินทางที่ผ่านมา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมนุษย์ที่มีชีวิต ในบรรดาสามคนนี้ เขาจำอิเซยาห์ได้เพียงคนเดียวเมื่อดักฟังการสนทนาเฟนด์พบว่า เฮย์เดนมาจากสำนักสหัสบรรณ ขณะที่แซมซั่นมาจากเผ่าปฐมหายนะ เหตุผลที่เฟนด์รู้จักอิเซยาห์ก็เพราะทั้งคู่มาจากตำหนักสองกษัตริย์เหมือนกัน ตำหนักสองกษัตริย์ได้แต่งตั้งศิษย์ที่ถูกเลือกสามคนมายังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม นอกจากเนลสันและกริฟฟินแล้ว ศิษย์ที่ถูกเลือกคนที่สามที่ได้เข้ามาที่นี่ก็คืออิเซยาห์ ศิษย์ที่ถูกเลือกจากตำหนักสองกษัตริย์ จึงถือเป็นบุคคลผู้ทรงเกียรติ และพวกเขาสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ใจต้องการโดยไม่ทำให้ตัวเองได้รับผลกระทบอะไรนับตั้งแต่มาถึงแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม พวกเขาก็ได้พบกับศิษย์ที่มีตำแหน่งสูงกว่าจำนวนนับไม่ถ้วน และศิษย์ที่ถูกเลือกเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสได้อวดอ้างถึงตำแหน่งอันทรงเกียรติของพวกเขาเลย เฟนด์ประทับใจในตัวอิเซยาห์อยู่เล็กน้อยก่อนหน้านี้ตอนที่เขาทะเลาะเบาะแว้งกับกริฟฟิน อิเซยาห์ทำเพียงแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาไม่ก้าวร้าวเหมือนกริฟฟิน และไม่ยกยอตัวเองว่าเป็นคนดีมี
เฟนด์พยักหน้าเบา ๆ เขาไม่มีเจตนาที่จะโต้เถียงกับพวกเขา ขณะที่เขาหันหลังกลับเพื่อพาตัวเองออกจากความขัดแย้ง กลิ่นหอมก็โชยมาแตะจมูกของเขากลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งอบอวลไปทั่วตัวเขาราวกับเตียงดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง และเฟนด์ก็ชะงักไปชั่วขณะ นับตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่โลกโลหิต บรรยากาศโดยรอบที่เขาได้เห็นมีแต่ความเจ็บปวดและรกร้างเขาไม่เคยได้กลิ่นหอมของหญ้าและเปลือกไม้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ด้วยซ้ำ ซากต้นไม้ที่ยืนต้นตายและต่อไม้ผุพังที่เขาพบนั้นตายไปนานถึงขนาดที่คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามันผ่านมากี่ปีแล้ว มันมีกลิ่นเหม็นเน่าและน่าขยะแขยงอยู่เสมอกลิ่นหอมหวานนี่มาจากไหน? เฟนด์หันหน้ากลับไปมองชายทั้งสามอีกครั้ง เพราะเขาก็ดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมดังกล่าวเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัย รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของอากาศอันน่าประหลาดกลิ่นหอมแรงขึ้นเรื่อย ๆ และลมกระโชกแรงก็พัดจอนผมของพวกเขาปลิวไปในอากาศ“พวกคุณได้กลิ่นนั้นหรือเปล่า?” แซมซั่นและละล่ำละลักถามด้วยท่าทางแข็งกร้าวอิเซยาห์และเฮย์เดนพยักหน้า"เราไม่ควรได้กลิ่นดอกไม้อะไรในโลกใบนี้ แต่กลิ่น
คำพูดของเฟนด์ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก และทั้งสามคนก็รีบออกจากบริเวณนั้นในทันทีกลีบดอกไม้โปรยปรายไปทั่ว และพวกเขาไม่รู้ว่าควรจะออกไปทางไหน ทั้งสามคนวิ่งไปรอบ ๆ อย่างไม่รู้ทิศรู้ทางราวกับว่าสายลมสัมผัสได้ว่าพวกเขาปรารถนาที่จะหลบหนี สายลมแผ่วเบาที่พัดเข้าหาพวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นในทันใด และกลายเป็นลมกระโชกรุนแรงในที่สุดเฟนด์ได้ยินเพียงเสียงของกระแสลมที่ปะทะเข้ามาทั้งยังเคลื่อนตัวเหมือนพายุเฮอริเคน มีกลีบดอกไม้ร่วงหล่นมากมายจนบดบังการมองเห็นอย่างสิ้นเชิง และเขาก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวลไปทั่วเฟนด์และคนอื่น ๆ ไม่ได้หยุดชื่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ เขาเพียงแค่หนีด้วยการใช้กฎแห่งสุญญะและเคลื่อนตัวออกไปราวสิบเมตรในพริบตา เพื่อหลบการโจมตีของกลีบดอกไม้ที่หนาแน่นไปหมดกลีบดอกไม้เหล่านั้นไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ขณะที่เฟนด์ตะโกนบอกทั้งสามคนได้เพียงครู่เดียว กลีบดอกไม้ก็กระจัดกระจายไปรอบ ๆ และรวมตัวกันอย่างรวดเร็วอีกครั้งเฟนด์ขมวดคิ้วและเปิดใช้งานเกราะวิญญาณทันที เขาร่ายผนึกด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนที่มวลพลังงานสีดำอมเทาจะเริ่มหมุนวนที่ปลายนิ้วของเขา!ดาบวิญญาณจำนวนสามสิบห้าเล่มถูกห่อหุ้มอยู่เบื้องหน
ในขณะที่แซมซั่นพยายามดิ้นรนสถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นอีก เขาค้นพบว่าพวกอสูรมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง กลีบดอกไม้โจมตีเขารุนแรงขึ้นเมื่อมันสัมผัสได้ว่าเขาอ่อนแอลงเฮย์เดนถอนหายใจ เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผาก เขานิ่งเงียบขณะฟังเสียงกรีดร้องของสหายร่วมทีมอีกสองคน ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในที่นั่งลำบากแล้ว หากไม่ทำอะไรเลยความตายจะเป็นทางออกเดียวสำหรับพวกเขาเฮย์เดนยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า และสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการคือการต้องมาตายอยู่ในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามเช่นนี้"ตามหาอสูรนั้นให้เจอ! เรารู้ว่ามันต้องซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง!" เฮย์เดนตะโกนเสียงดัง "ต้องกำจัดอสูรเท่านั้นพวกเราถึงจะรอดเขาพูดถูก เมื่อถูกกลีบดอกไม้รายล้อมอยู่ทั่วทุกอณู พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าจะต้องหนีไปทางไหน หากพวกเขาไม่สามารถหลบหนีได้ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะใช้พลังงานที่แท้จริงไปจนหมดและกลีบดอกไม้พวกนี้ก็จะทำให้เขาตายในที่สุดวิธีเดียวที่พวกเขาจะทำให้พวกเขารอดออกไปได้คือต้องสังหารอสูรที่กำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ปัญหาก็คือพวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นอสูรที่ไหนมาตั้งแต่แรก และหากไม่ใช่เพราะการโจมตีของอสูร พวกเขาก็คงไม่
เฟนด์ระลึกได้ถึงความทรงจำบางอย่าง เขารู้สึกคุ้นเคยราวกับเคยพบเจอการโจมตีแบบนี้ที่ไหนมาก่อน!ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย เขาสูดลมหายใจและความทรงจำเก่าเก็บก็เข้ามาในห้วงความคิดของเขา ความทรงจำนี้คลุมเครืออยู่เสียหน่อย แต่สุดท้ายเขาก็สามารถจำมันได้อย่างชัดเจน"ปีศาจลมมายาพวกนี้สร้างปัญหาได้มากที่สุด เราจะสามารถหามันเจอได้ง่ายหากอยู่ในพื้นดินแห้งแล้ง แต่หากอยู่ในป่าทึบเราจะหามันเจอได้ยากกว่า""แต่ผมจำได้ว่าปีศาจลมมายาพวกนี้เป็นเพียงอสูรตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในขั้นแรกของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น...""พลังโจมตีของมันอาจไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่มันสามารถดึงพลังงานที่แท้จริงจากทั้งสวรรค์และโลกมาเพื่อชดเชยพลังที่หายไปได้ตลอดเวลา ตราบใดที่คุณได้พบเจอกับมัน คุณต้องมีทั้งพลังยุทธที่แข็งแกร่งและสายตาที่เฉียบคมในการเอาชนะมัน ไม่งั้นเราจะเจอปัญหาใหญ่!”บทสนทนาดังกล่าวเข้ามาในหัวของเฟนด์ ความทรงจำนี้ไม่ได้เป็นของเฟนด์แต่มันได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเขาตั้งแต่ในตอนที่ระดับการบ่มเพาะของเขายังคงไม่พัฒนามาถึงระดับนี้ บทสนทนานี้มาจากบรรพบุรุษของเขาขณะกำลังสนทนากับเหล่าสหายในโลกใบที่สามซึ่งเขาปรากฏตัวอยู่ที
"แล้วไหนล่ะร่างของพวกมัน?" บรรพบุรุษของเฟนด์ถามด้วยความอยากรู้ในเวลานั้น"มันก็อยู่ข้าง ๆ คุณไง! พวกมันจะเปลี่ยนตัวเองเป็นพืช" เพื่อนของเขาเชิดคางขึ้นขณะตอบ "เพราะพวกมันแปลงเป็นพืชแล้ว พวกมันก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง นี่เป็นจุดอ่อนที่สาหัสที่สุดของพวกมัน นอกจากนี้ การป้องกันของพวกมันก็อ่อนแอมาก พอคุณเจอร่างของพวกมันแล้วก็โจมตีได้เลย! แม้ว่าพวกมันจะอยู่ในขั้นต้นของระดับแรกกำเนิดแต่มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก!"คำพูดเหล่านี้ยังคงแวบเข้ามาในห้วงความคิดของเฟนด์ ปีศาจลมมายาจะแปลงร่างเป็นพืช และระยะการโจมตีของพวกมันก็นับว่าจำกัด ร่างที่แท้จริงของพวกมันจะอยู่ใกล้ ๆ ในขณะที่ทำการโจมตี เฟนด์จำได้อย่างชัดเจนว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เห็นต้นไม้เลยสักต้น ในครั้งแรกที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในพื้นที่ รอบ ๆ ตัวเขาเป็นเพียงดินแดนที่แห้งแล้งและแดงก่ำ สิ่งที่อยู่ใกล้เขาที่สุดมีเพียงต้นไม้ที่ตายแล้วเท่านั้น และไม่พบวัชพืชแม้แต่ต้นเดียวเฟนด์ตัวแข็งทื่อในทันที เขาตระหนักได้ว่าเขามองข้ามบางสิ่งไป"ช่วยด้วย! ผมทนไม่ไหวแล้ว!" เสียงกัดฟันกรอดของแซมซั่นดังมาแต่ไกลมือของเขาสั่นเล็กน้อยในขณะที่เขาพยายามที่
แซมซั่นรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่โอบรอบคอของเขา เขาปิดตาลงรอคอยความตายอย่างช้า ๆบางครั้งในตอนที่คน ๆ หนึ่งรู้ตัวว่าใกล้จะถึงคราวตายของตัวเอง พวกเขาจะสงบลง แซมซั่นเองก็อยู่ในสภาพนั้น แม้ว่าเขาจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้าก็ตาม เขาเป็นศิษย์ภายในของสำนักสหัสบรรณ ตราบใดที่เขาไม่ยอมแพ้ เขาก็สามารถขึ้นเป็นผู้ดูแลในสำนักสหัสบรรณหรือแม้แต่ผู้อาวุโสภายนอกได้ เขายังเป็นอะไรได้อีกตั้งหลายอย่างทันใดนั้นเองก็มีกลิ่นของการถูกเผาไหม้โชยออกมา กลิ่นนั้นรุนแรงจนทำให้เขาตื่นตระหนก และทันใดนั้น เขาก็ได้ยินว่า "เจอแล้ว!"วินาทีต่อมา เสียงคร่ำครวญมากมายก็ดังเข้าหูแซมซั่น ทันใดนั้น แซมซั่นก็ลืมตาขึ้น และดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าเขาดูเหมือนไร้ชีวิตไปต่อหน้าต่อตาเขา และร่วงโรยลงอย่างฉับพลันราวกับเวลาล่วงโรยไปหลายทศวรรษ หลังจากมันร่วงโรยกลีบดอกไม้ก็กลายเป็นฝุ่นผงไป เหลือเพียงสายลมอ่อน ๆ ที่พัดมาปะทะเข้ากับดวงตาของแซมซั่นแซมซั่นหายใจไม่เป็นจังหวะ เขาไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงประตูนรกที่เปิดอ้ารอให้เขาก้าวเข้าไป! แต่ในวินาทีต่อมา สิ่งเหล่านั
เฟนด์จ้องมองเจ้าสัตว์อสูรที่ตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดปีศาจลมมายาก็ตายลงไป! ภายใต้สายตาประหลาดใจของคนอื่น ๆ จู่ ๆ ปีศาจลมมายาก็ระเบิดกลายเป็นแสงสีชมพูแสงเริ่มเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มจะทำอันตรายต่อดวงตาของพวกเขา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ แสงสีชมพูก็หายไป โอสถทรงกลมปรากฏขึ้นต่อหน้าคนทั้งสาม! โอสถนี้มีกลิ่นโอสถรุนแรง และเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่โอสถทั่วไป!เฟนด์เลิกคิ้วขึ้น ส่งญาณทิพย์ของเขาออกไป แล้วจึงตระหนักได้ว่าโอสถดังกล่าวเป็นโอสถระดับเจ็ด นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขารู้ได้ นอกจากนั้นแล้วทั้งชื่อหรือผลของโอสถนี้คืออะไรเขาไม่รู้เลยแต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาคือคนที่กำจัดปีศาจลมมายาได้ และโอสถนั้นควรจะเป็นของเขา เขาไม่ได้คิดอะไรมากขนาดดึงกล่องออกมาจากมัสตาร์ด ซี๊ด เก็บโอสถดังกล่าวไว้ข้างในกล่องนั้นและเก็บมันไปต่อหน้าต่อตาทั้งสามคนกิริยาทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยท่าทีสบาย ๆ ขณะที่อีกสามคนได้แต่จ้องมองตาปริบ ๆ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าหากไม่ได้เฟนด์ช่วยพวกเขา พวกเขาคงตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะแย่งชิงโอสถดังกล่าวกับเฟนด์ได้!เฟนด์ยังคงไม่ได้พูดอะไรต่อ เป็นแซมซั่นที่ทำลายความเงียบนั้