เซเลน่าเริ่มประหม่าทันที เขาเป็นทหาร เขาจะรู้วิธีเล่นเปียโนได้ยังไง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนอำมหิต?เสียงเพลงและการเต้นรำเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับคนที่เข้าใจมัน เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณได้ ทำไมถึงไม่จริงจังกับมัน?เธอไม่สนใจถ้าสามีของเธอจะเล่นได้ไม่ดี ถึงแม้ว่าเธอจะเต้นแบบสง่างาม แต่เธอก็ไม่สามารถเต้นให้เข้ากับทำนองที่ยุ่งเหยิงเกินไปได้อย่างน้อยระดับของเฟนด์ก็ไม่ได้แย่เกินไป เธอสามารถเต้นเข้ากับเพลงของเขาได้อย่างมีพลัง“ล-ลืมมันไปซะ ทุกคนร้องเพลงและดื่มต่อ... ” เซเลน่าหัวเราะอย่างไม่เบิกบาน คำพูดของเธอฟังดูหดหู่ยิ่งกว่าสิ่งที่เธอทำไว้ แม้แต่ในดวงตาของเธอยังมีความผิดหวังและความเศร้าอยู่ภายใน เธอไม่ได้เต้นมานานมากแล้วและเกือบจะลืมว่า ‘เซเลน่า’ ที่เคยเต้นอย่างสง่างามบนเวทีราวกับหงส์ในตอนนั้นเธอรู้สึกแตกต่างทุกครั้งที่ขึ้นเวทีเพื่อเต้น มันเหมือนกับว่าเวทีทั้งหมดเป็นของเธอและมีเพียงเธอเท่านั้นเสียงเชียร์จากผู้ชมทำให้เธอรู้สึกมีความสุขมากแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอดีต เธอจะไม่มีวันรู้สึกแบบนั้นได้อีก ความรู้สึกเข้าใจความหมายของการเต้นอย่างลึกซึ้งผ่านหัว
หลังจากสงคราม สนามรบที่เต็มไปด้วยฝุ่น ภูเขาซากศพคนตาย อีการ้องที่ไห้ภายใต้ดวงอาทิตย์ตกดินเพลงนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ หัวใจของพวกเขาสัมผัสได้ในทันที ภาพเหล่านั้นมีชีวิตชีวาในใจของพวกเขาในขณะนั้นพวกเขาไม่ได้มองว่าเฟนด์เป็นคนโหดเหี้ยมไร้จิตใจอีกต่อไป ไม่มีใครกล้าคิดว่าเขาไม่รู้เรื่องดนตรีกลับกัน พวกเขากลายเป็นคนโง่อย่างสมบูรณ์แบบเซเลน่าตกตะลึง เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเล่นเปียโนของเฟนด์นั้นสูงถึงขั้นนี้แล้ว“คุณจะยืนอยู่ตรงนี้อีกทำไม? เร็วเข้า!” โรซ่าสะกิดเซเลน่า หลังจากนั้นไม่นานเธอก็หลุดออกจากภวังค์ของเธอตอนนั้นเองเซเลน่าก็กลับเข้าสู่ความเป็นจริง เซเลน่าย่อตัวลงอย่างสง่างามและแยกขาออกในขณะที่ยกตัวขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับภาพของหงส์ที่ได้รับบาดเจ็บร่างกายของเธออ่อนฉ้อยและยืดหยุ่นได้ขณะที่แขนทั้งสองข้างแกว่งไปตามเสียงเพลง ในช่วงเวลานั้นทั้งดนตรีและการเต้นรำเริ่มผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยการหมุนขาของเธอ ร่างกายของเธอเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้น ขณะที่เธออยู่ในสมดุลของดนตรีและการเต้นรำโดยสมบูรณ์เธอกลับมาแล้ว ทุกอย่างกลับคืนมาเซเลน่ารู้สึกเหมือนได้กลับมาบนเวทีอีกครั้งและพบกับความรู้สึกค
โรซ่าดึงเซเลน่าไปที่มุมหนึ่ง“เซเลน่า…พวกเขาบอกว่าสามีของคุณเป็นคนโหดเหี้ยมที่ไร้จิตใจและฉันก็เชื่อพวกเขา” โรซ่ากระซิบ “ฉันไม่คาดหวังว่าเขาจะรู้วิธีเล่นเปียโนและเขาก็เล่นได้ดีด้วย”“ ฉันไม่เชื่อว่า เขาเป็นแค่คนไร้หัวใจอีกต่อไป…ใครก็ตามที่รู้วิธีเล่นเปียโนจะไม่มีวันเป็นคนอำมหิต!” เธอกล่าวเสริม “ฉันคิดว่าเขาเป็นคนรอบรู้เพราะเขารู้วิธีต่อสู้และเล่นเปียโน!”“อืม…ตอนนี้เขาเป็นเหมือนพระเจ้าสำหรับคุณ?”เซเลนาหัวเราะอย่างขบขันเพราะดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงทัศนคตินี้จะเร็วเกินไปหน่อยโรซ่าถอนหายใจ “ หลังจากคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ มันเป็นเรื่องไร้สาระที่ราเชลแต่งขึ้น หล่อนทำเกินไปแล้วเหมือนเธอไม่เคยชอบคุณเลยตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เธอมักจะคิดว่าคุณแย่งความโดดเด่นไปจากเธอ”“เราทุกคนจบการศึกษามานานแล้วนะ ตอนนี้ฉันคิดว่าทุกอย่างมันผ่านมาแล้วและไม่ได้สนใจอดีตมากนัก ฉันไม่คิดว่าเธอจะใจแคบขนาดนี้!”โรซ่าดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างขณะที่เธอจับมือของเซเลน่าแล้วพึมพำว่า“ ฉันขอโทษ ฉันเคยเข้าใจคุณผิดมาก่อน”“ไม่ต้องกังวลไป ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว” เซเลนายืนยันกับเธอ “อีกอย่างเมื่อเช้านี้ฉันก็ท
“เป็นไปไม่ได้ เงินของเขามาจากไหนกันแน่?”ราเชลพูดอย่างไม่ลังเลว่า“ ไอ้เด็กนั่นทำเพื่อศักดิ์ศรี เขาโอ้อวด!”“แต่เขาจะโง่ขนาดนั้น? นี่คือโลตัสบาร์แอนด์เลาจน์ เจ้าของเป็นสมาชิกของตระกูลชั้นหนึ่ง เขาคงไม่ได้คิดว่าจะกินแล้วชิ่งนะ? เขาอยากตายหรือไง?”หลังจากที่บริตนีย์วิเคราะห์รายละเอียด เธอก็เริ่มสงสัยว่าเฟนด์มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายบิลหรือไม่“จริงด้วย!”ในตอนนั้น ราเชลก็ไม่มั่นใจอีกต่อไป “ฉันสงสัยว่าเฟนด์รู้ว่าใครเป็นเจ้าของแต่เขาเพิ่งกลับมาจากกองทัพ” เธอแสดงความคิดเห็น “แล้วเขาจะรู้ได้ยังไง?”“ฉันคิดว่าคุณพูดถูกมาก!”บริตนีย์พยักหน้าแล้วพูดอย่างรวดเร็วว่า “เฮ้ ฉันได้ยินมาเมื่อทหารเหล่านั้นกลับมา คนที่อยู่ในกองทัพเป็นเวลานานจะได้รับเงินก้อนโตเนื่องจากพวกเขามีส่วนช่วยเหลือประเทศและพวกเขาสามารถเกษียณได้อย่างมีเกียรติ ดูเหมือนว่าเฟนด์อาจได้รับเงินมาบ้างแล้ว”“คุณกำลังจะบอกว่ามันอาจจะประมาณ 1 หรือ 2 ล้านเหรียญ? คนโง่เง่าคนนี้เลือกที่จะใช้เงินทุกบาทในคืนนี้เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของภรรยา?” ราเชลตกใจเล็กน้อยขณะพูดต่อ “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงมั่นใจมาก นอกจากนี้เขายังไปส่งลูกไปโรงเรียนและจ่
“คุณต้องการขวดนี้? ราคา 6.66 ล้านเหรียญ แพงมาก!"ราเชลอ้าปากค้าง “สั่งของแพงขนาดนี้ได้ยังไง? คุณพยายามที่จะฆ่าเขาหรอ?” เธอพูดตะกุกตะกักบริตนีย์หัวเราะอย่างน่ากลัวและตอบว่า “คุณกลัวอะไร? เขาพูดเอง เราสามารถสั่งอะไรก็ได้ที่เราต้องการ อีกอย่างถ้าเราไม่สั่งเพิ่มอีกสักหน่อยเราจะทำให้เขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”หลังจากคิดบางอย่างเธอก็อุทานขึ้นมาทันที “ไม่ไม่ไม่ ขวดเดียวไม่พอ... เราจะเอาทั้งสองขวด ฉันค่อนข้างสนใจที่จะลิ้มรสสมบัติอันล้ำค่าของสถานที่แห่งนี้!”“สองขวด? นั่นจะมากกว่า 13 ล้านเหรียญ รวมกับ 1.3 ล้านเหรียญ ก่อนหน้านี้ โอ้พระเจ้า มันแพงเกินไป... มันมากกว่า 14 ล้านเหรียญ! "ราเชลรู้สึกท้อแท้ เธอต้องการให้เฟนด์อยู่ในจุดที่ยากลำบากและยังต้องการให้เขาอับอาย แต่…การใช้จ่ายมากกว่า 14 ล้านเหรียญ จะไม่กดดันเขาให้ตายหรอ?“เหอ ... คุณไม่สังเกตว่าก่อนหน้านี้เขาทำตัวยังไง? เขาอ้างว่าร่ำรวยและบอกให้เราสั่งอะไรก็ได้ที่เราต้องการ” “คราวนี้ เราต้องสอนบทเรียนให้เขา!”บริตนีย์ดึงราเชลออกไปจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ในตอนแรกและกระซิบว่า “นี่เป็นโอกาสที่หายากมาก”จู่ ๆ บริตนีย์ก็หัวเราะออกมาเมื่อคิดถึง
ใบหน้าของดีแลนแดงระเรื่อจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ การดื่มมากเกินไปดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนพูดมากขึ้นแมทที่นั่งดื่มอยู่คนเดียวในอีกฟากหนึ่งของห้อง เขาดื่มไวน์เข้าไปรวดเดียว หลังจากดื่มไวน์ เขาไม่ต้องการอะไรมากแค่อยากให้เฟนด์ล้มละลาย"คุณกำลังทำอะไร? ทำไมคุณถึงดื่มขนาดนี้?” บริตนีย์เห็นเขาตอนที่เธอกลับมาแล้วเดินไปนั่งข้างเขา“ไม่ใช่เจ้าเด็กนี่ชอบอวดเก่งนักหรอ? ไวน์ที่ฉันดื่มอยู่ราคาขวดละ 50,000 เหรียญเชียวนะ ช่างแม่ง หลังจากดื่มขวดนี้หมด ฉันจะสั่งเพิ่มอีก มาดูกันว่าเขาจะทำยังไงถ้าเขาไม่มีเงินจ่าย”แมทหันไปมองเฟนด์อยู่ด้านข้างพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ“อ๊ะ ถ้าอย่างนั้นฉันมีเรื่องจะบอกคุณ…” บริตนีย์โน้มตัวไปที่หูของแมทและกระซิบทุกอย่างกับเขา“แพงขนาดนั้น!” แมทอ้าปากค้าง อย่างไรก็ตามสิ่งชั่วร้ายปรากฏขึ้นในสายตาของเขาและเขาพูดต่อว่า “ดี มาทำแบบนั้นกันดีกว่าเพราะเขาบอกว่าเขามีเงิน ฉันจะไม่ช่วยเขาแม้แต่บาทเดียว”“ ฮ่าฮ่า! ฉันสงสัยว่าเขาจะคุกเข่าขอให้เราแยกบิลกับเขาในภายหลัง”บริตนีย์พูดเสียงดังและโอ้อวดว่า“ ไม่มีใครเห็นด้วยกับเรื่องนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค่าจ้างของโรซ่าเพียง 10,000 เหรียญต่อเดื
พนักงานเสิร์ฟไม่คิดว่าเฟนด์ยังจะมีอารมณ์มาตลก พฤติกรรมของเขาทำให้เธอหัวเราะคิกคักก่อนจะพูดต่อว่า “ท่านคะ ฉันเกรงว่าคุณอาจจะต้องการใครสักคนที่มีอำนาจเพื่อสนับสนุนคุณนอกเหนือจากความสามารถทางการเงินที่แข็งแกร่งเพราะคุณจำเป็นต้องจ่าย 14 ล้านเหรียญ”“คุณหมายความว่าไง 14 ล้านเหรียญ?” คิ้วของเฟนด์ขมวดเป็นปม“โอ้ไม่นะ... คุณไม่รู้จริงๆหรอ?” เธอพึมพำ“ไวน์แดงสองขวดที่นำมาก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรอ? มีคนอ้างว่าสั่งมาเป็นพิเศษ? ตอนนั้นฉันไม่ทันสังเกตแต่เมื่อฉันมองไปที่ขวดฉันจึงรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไวน์เหล่านั้นป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของที่นี่ มันขวดละ 6.66 ล้านเหรียญ! มีเพียงแค่สองขวดและพวกเขาเปิดมันแล้ว!”“ฉันตกใจมากจนต้องแอบไปถามเพื่อนร่วมงาน พวกเขาอ้างว่าได้รับคำสั่งจากผู้หญิงสองคนนั้น โอ้ว ใช่แล้ว... พวกเขาคือแฟนของแมทและคุณราเชลที่เป็นคนสั่ง!”พนักงานเสิร์ฟคนสวยขมวดคิ้วและถามอย่างประหม่า “คุณจะทำอะไร? คุณไม่รู้เรื่องนี้ ดูเหมือนว่าทั้งสองจะตั้งใจสร้างปัญหาให้กับคุณ”“เฮ้อ... ฉันไม่คิดว่าผู้หญิงทั้งสองจะวางแผนได้มากขนาดนี้!”เฟนด์เย้ยหยันและมองไปที่พนักงานเสิร์ฟสาวสวยตรงหน้า “ขอบคุณที่บอกฉั
“ท่านค่ะ เขาทรงพลังเกินไปและชนะติดต่อกันสิบครั้ง…”พนักงานเสิร์ฟตกใจพยายามที่จะโน้มน้าวไม่ให้เขาทำเช่นนั้น เธอกลัวว่ามันจะทำให้เฟนด์เสียชีวิตหลังจากที่เธอได้บอกเขา“ขอบคุณมากที่บอกฉัน คงจะดีถ้าฉันลืมมันไป แต่ในเมื่อตอนนี้ฉันรู้แล้วคนอเมริกันคนนั้นจะต้องตาย!”เฟนด์ทิ้งเธอไว้พร้อมกับคำพูดที่เย็นชาก่อนจะเดินกลับไปที่ห้อง “ดูเหมือนว่าค่าใช้จ่ายของเราจะถูกบันทึกไว้แล้ว” เขาพูดขณะที่เดินกลับเข้าไปในห้อง“แต่…เขา…ทรงพลังจริงๆ!”พนักงานเสิร์ฟขมวดคิ้วขณะที่เธอจ้องไปที่เฟนด์ เธอเสียใจกับการตัดสินใจนี้ เธอพึมพำ “ฉันไม่ควรบอกเขา เขารักภรรยามาก... จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาตายเพราะต้องการปกป้องชื่อเสียงของแคทธิเชีย? แย่แน่!”เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เกือบ 11 โมงทุกคนก็รู้สึกว่าดื่มกันพอแล้วรสชาติของไวน์แดงทั้งสองขวดนั้นมันเยี่ยมมาก เพราะทั้งเฟนด์และเซเลน่าดื่มไปหนึ่งแก้ว“ที่รัก ดูเหมือนว่าไวน์แดงสองขวดนี้จะมีรสชาติแตกต่างกับขวดอื่นอย่างเหลือเชื่อ มันน่าแปลก อะไรที่น่าแปลก ราเชลเหมือนจะสัมผัสได้ เธอจึงช่วยรินเครื่องดื่มให้กับเรา!”หลังจากที่เธอพูดจบ เธออ้าปากค้างและพูดด้วยน้ำเสียงที่ตกใจเล็กน้อย “โอ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ