เฟนด์ประสานมือเข้าหากัน ก่อนที่ดาบวิญญาณสามสิบห้าเล่มที่ลอยอยู่ในฝ่ามือของเขารวมกันเป็นดาบสามเล่มทันที ดาบวิญญาณขนาดใหญ่สามเล่มลอยอยู่ในระยะสามเมตรเบื้องหน้าเฟนด์ และสายตาที่เฉียบคมก็แวบผ่านดวงตาของเขาเสียงของชายชราประกาศไว้ว่านักรบแห่งสุญญะนั้นที่เขาเผชิญในขณะนี้นั้นแข็งแกร่งกว่านักรบที่เขาปะทะระหว่างด่านทดสอบที่สอง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นมากนัก แต่การที่เขาจะจัดการกับนักรบทั้งหกด้วยกลยุทธ์เดิมที่เขาเคยใช้ก็ดูจะไม่เข้าท่าอีกต่อไป เขาต้องเอาชนะนักรบให้ได้ครึ่งหนึ่งก่อน!เป็นอีกครั้งที่เขาได้ผนึกมือก่อนที่เวทย์สีดำอมเทาก็รวมเข้ากับดาบวิญญาณขนาดใหญ่ตรงหน้าเขาในทันที ดาบวิญญาณเป็นเหมือนปืนใหญ่ที่พร้อมจะจุดชนวน เขาแกว่งดาบวิญญาณยักษ์พุ่งเข้าหานักรบแห่งสุญญะ ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและปะทะกันภายในอึดใจเดียวเกิดเสียงดังโครมครามขึ้น แสงสีแดงและดาบวิญญาณสีดำอมเทาปะทะกันอย่างรุนแรง ในขณะนั้นแสงสีดำและสีแดงผสมเข้าด้วยกันทันใดนั้น ลำแสงสีแดงก็ดูคล้ายจะสั่นไหวพร้อมกับเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นเฟนด์มุ่งความสนใจไปที่การโจมตีนักรบแห่งสุญญะทั้งสามคนเท่านั้น และอีกสามคนที่เหล
กริฟฟินรู้สึกผิดหวังที่เฟนด์สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีได้ และโกรธที่เฟนด์ยังมีแรงสู้ต่อเฟนด์ปรากฏตัวอีกครั้งทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่ในชั่วพริบตาเขาถอยห่างออกไปเพียงสิบเมตรและปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังนักรบแห่งสุญญะทั้งสามที่กำลังโจมตีหวือ!ดาบวิญญาณขนาดยักษ์ที่ปะทะเข้ากับนักรบแห่งสุญญะทั้งสามได้กลืนกินแสงสีแดงไปได้อย่างสมบูรณ์ คมดาบสีดำอมเทาทำราวกับว่ามันมาจากเหวลึกในขณะที่มันทะลวงผ่านการโจมตีและการป้องกันของนักรบแห่งสุญญะสามคนแรก ดาบแทงทะลุร่างของนักรบแห่งสุญญะทั้งสามภายในพริบตา เมื่อดาบวิญญาณขนาดใหญ่สามเล่มแทงผ่านร่างกายของพวกเขา นักรบแห่งสุญญะสามคนแรกก็กลายเป็นจุดแสงสีแดงทันทีและลอยอยู่กลางอากาศเฟนด์ถอนหายใจยาว ขณะที่เขาจ้องมองจุดสีแดงที่ปรากฏขึ้นหลังจากที่สามารถเอาชนะนักรบแห่งสุญญะสามคนแรกได้ เขารู้ว่าหากเขาไม่รีบกำจัดนักรบที่เหลืออีกสามคน จุดสีแดงเหล่านี้จะถูกนักรบดูดกลืนไปเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง เฟนด์ไม่กล้าปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เขาคำรามเสียงต่ำในคอและร่ายผนึกสีดำอมเทาออกมาอีกครั้ง ผนึกดังกล่าวรวมเข้ากับดาบวิญญาณขนาดมหึมาสามเล่มท
เมื่อเหวี่ยงดาบออกไปอีกครั้ง นักรบแห่งสุญญะร่างที่สองก็สลายตัวเป็นจุดแสงสีแดงอย่างสมบูรณ์ ในชั่วพริบตาก็เหลือเพียงนักรบแห่งสุญญะร่างเดียวที่อยู่ถัดจากเฟนด์ไปคราวนี้เฟนด์เร็วไม่พอ นักรบแห่งสุญญะได้ดูดซับจุดแสงสีแดงจากนักรบแห่งสุญญะที่สลายไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ความแข็งแกร่งของนักรบแห่งสุญญะเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเฟนด์กวาดจิตสัมผัสของตัวเองไปรอบ ๆ ขณะประเมินสถานการณ์ นักรบแห่งสุญญะที่อยู่ต่อหน้าเขาแข็งแกร่งขึ้นประมาณหนึ่งในสามส่วน หลังจากการโจมตีของเขา นักรบแห่งสุญญะร่างที่สามก็ทำให้เฟนด์ต้องเป็นฝ่ายตั้งรับอีกครั้งคราวนี้เฟนด์ยังคงใจเย็นไม่เปลี่ยน พื้นที่ใต้เท้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวอีกครั้งในขณะที่เขาถอยกลับไปห้าเมตร และนั่นทำให้เขามีเวลาพอได้หายใจหายคอ ขณะที่เขาสูบลมหายใจเข้าปอด เขาก็เริ่มเปิดใช้งานทักษะทลายห้วงสุญญะอีกครั้งเมื่อนักรบแห่งสุญญะคนที่สามพุ่งเข้ามา เขาก็ยกดาบขึ้นเพื่อทำการโจมตีอีกครั้งผ่านไปห้าอึดใจ ก็เกิดเสียงดังก้องไปทั่ว และนักรบแห่งสุญญะคนสุดท้ายก็หายไปภายใต้การโจมตีของดาบสีดำในมือเฟนด์คนอื่น ๆ ยังต่อสู้ไม่เสร็จ และพลังงานที่ผันผวนจากการ
"ดูเหมือนว่าเฟนด์จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ฉันเทียบอะไรกับเขาไม่ได้เลย แค่ฉันเผชิญหน้ากับนักรบแห่งสุญญะเพียงคนเดียว ฉันต้องดึงพลังงานที่แท้จริงของตัวเองออกมาใช้เชียวนะ พวกนั้นมีถึงสามคนพร้อมกันและดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงของเขาเลย! เทียบกับเขาแล้วฉันนึกอยากจะตายเสียจริง ๆ""ใช่แล้ว ฉันก็นึกว่าไอ้หมอนี่มาถึงขั้นนี้ได้แค่เพราะโชคช่วยเท่านั้น แถมเขาเพิ่งจะอยู่ในเพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเอง!"ข้อเท็จจริงที่ว่าเฟนด์อยู่แค่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้นกลายเป็นจุดที่หน้าฉงนใจที่สุดสำหรับการทำความเข้าใจในความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเฟนด์ เนื่องจากพวกเขาทุกคนที่นั่นล้วนอยู่ในขั้นสูงสุด ดังนั้นผู้ที่อยู่ขั้นกลางก็ควรที่จะอ่อนแอกว่าพวกเขาถึงจะถูกน่าตกใจที่เฟนด์ได้เปลี่ยนทัศนคติของทุกคนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่กล้าดูถูกคนที่อยู่ในระดับนั้นอีกต่อไปกริฟฟินและธีโอจ้องมองด้วยสายตาเขม็ง ทุกสิ่งที่พวกเขามองข้ามไปกลับกลายเป็นสิ่งที่จี้ใจดำพวกเขา เฟนด์แข็งแกร่งกว่าพวกเขาทั้งคู่กลับกันหากพวกเขาอยู่ในจุดเดียวกับเฟนด์ พวกเขาคงอยู่ได้เพียงไม่กี่อึดใจก่อนจะถูกล้อมและถูกนักรบแห่งสุญญ
เลนนอนดูคล้ายจะรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของเฟนด์ เขาเงยหน้าขึ้นทันที และเมื่อเขาเห็นเฟนด์มองเขาอย่างใจเย็น เลนนอนก็รู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายตบหน้าอยู่หลายครั้งเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่เขาทำได้คือสกัดกั้นความรู้สึกแสบร้อนในท้องเอาไว้อย่างทรมานโดยไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าหากเขาไม่ได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยตาตัวเอง เลนนอนคงจะกล้ามีปากเสียงกับสายตาที่เฟนด์มองมาอยู่บ้าง แต่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้เนื่องจากทักษะที่เฟนด์แสดงออกมาอย่างเต็มที่เสียงการต่อสู้ระยะประชิดดังขึ้นอยู่เป็นระยะ และเฟนด์ก็รู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องหันหลังกลับไปมองว่าการต่อสู้ของอีกสามคนกำลังมาถึงบทสรุปแล้ว"อั่ก อั่ก!" เบนจามินกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ดวงตาของเขาแดงก่ำขณะที่ร่างกายถึงขีดจำกัด เขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีไปแล้วแต่สามารถสังหารนักรบแห่งสุญญะได้เพียงสามคนเท่านั้นถ้าเขาพยายามฝืนตัวเองต่อไป มันก็รั้งแต่จะทำร้ายเขายิ่งกว่าเดิม ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงตะโกนออกไปด้วยหัวใจไม่ยอมจำนน "ฉันยอมแพ้แล้ว!"แม้จะฝืนต่อไปก็ไม่มีความหมาย ความจริงก
เขาชนะแล้ว! ชายสวมหน้ากากเองก็ผ่านด่านนี้มาได้แล้วเช่นกัน! ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย อย่างรู้สึกพอใจในตัวเองก่อนหน้านี้ชายสวมหน้ากากให้ความสนใจกับการต่อสู้อย่างเต็มที่ เขาจึงไม่ทันได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาเลย เขาไม่รู้ว่าใครถูกกำจัดและใครที่ผ่านด่านไปได้บ้างถึงกระนั้นเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรต่อชายสวมหน้ากากเลย เขาปฏิเสธที่จะเชื่อจะว่ามีคนอื่นที่สามารถผ่านด่านไปก่อนที่เขาจะทำได้เขาหัวเราะอย่างเย็นชา บอกกับตัวเองว่าเฟนด์เป็นเพียงเศษขยะที่บังเอิญมีโชคช่วยเท่านั้น เกรแฮมมีทักษะเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่อยู่ในระดับเดียวกับเขา ส่วนอีกสองคนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เนื่องจากพวกเขาเพิ่งผ่านด่านที่สามไปเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น เขาก็ยิ้มในขณะที่หันศีรษะไปรอบ ๆ เขาเห็นเลนนอนและเบนจามินถูกแสงสีแดงครอบเอาไว้ และรู้ทันทีว่าพวกเขาถูกกำจัดไปแล้วอย่างที่เขาคิดทั้งสองคนมีสีหน้าแปลก ๆ ทำไมพวกเขาถึงมองไปที่จุดสูงสุดของเนินลาดด้วยความโกรธและอับจนหนทางเช่นนั้น แต่ก็มีนัยยะของการยอมรับความพ่ายแพ้อยู่ด้วย?พวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริงที่ว่าพวกเขาถูกตัดออกจากการแข่งขัน
ในขณะนั้น ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความโกรธที่เดือดพล่านอยู่ในใจของชายสวมหน้ากาก ราวกับมีภูเขาไฟปะทุขึ้นในใจของเขา และลาวาร้อนระอุได้ฟังกลบจิตใจด้านมีเหตุผลของเขาไปจนสิ้น เลนนอนหน้าซีดด้วยความกลัวภายในสำนักวายชนม์มีการประลองกันอย่างต่อเนื่อง และยุทธวิธีของพวกเขาก็รุนแรงกว่าสำนักอื่นมาก สำหรับชายสวมหน้ากากที่สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสำนักได้ จะไม่มีจิตใจที่โหดเหี้ยมได้อย่างไร? เหล่าศิษย์ของสำนักวายชนม์นับไม่ถ้วนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเขาเลนนอนอาจมีความสามารถในระดับหนึ่งอยู่เหมือนกันแต่เขาเทียบกับชายสวมหน้ากากไม่ได้เลย เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าชายสวมหน้ากากทะลวงเข้าสู่ระดับผลึกวสันต์แล้ว อย่างไรก็ตาม เพื่อมุ่งหน้าไปยังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม เขาต้องทำลายระดับการบ่มเพาะของตัวเองลง แม้จะเสียสละมากมายเพื่อเรื่องนี้ แต่เขากลับยังไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านั้นเลย มันจึงส่งผลต่อสภาพจิตใจของชายสวมหน้ากากไม่น้อย"แก... รอฉันก่อนเถอะ!"คำพูดเหล่านั้นออกมาจากปากของชายสวมหน้ากากผ่านฟันที่ขบกันแน่น ดวงตาของเขาแดงก่ำในขณะที่เขาจ้องเขม็งไปที่แผ่นหลังของเฟนด์ที่เหยียดตรงอย่างชั่วร้าย“อั่ก…
แต่ทว่าหลังจากพูดออกไปแล้ว ชายสวมหน้ากากก็ไม่ยอมหยุดอยู่เฉย เขาเริ่มเดินไปยังเนินในระยะแปดร้อยยี่สิบสามเมตร แต่ละก้าวที่เขาก้าวไปนั้นให้ความรู้สึกแน่วแน่และหนักอึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะที่รุนแรงอีกด้วยเกรแฮมสูดจมูกเบา ๆ เขาไม่ได้โง่และรู้ว่าชายสวมหน้ากากกำลังพยายามจะทำอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี และเพราะว่าชายสวมหน้ากากเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เกรแฮมจึงไม่คิดจะหยุดอยู่กับที่และเริ่มมุ่งหน้าไปยังระยะแปดร้อยยี่สิบสามเมตรด้วยเช่นกันหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองคนก็มาถึงระยะเดียวกับที่เฟนด์อยู่ ในขณะนั้นเหลือเพียงสามคนที่มีสิทธิ์เดินหน้าต่อไป เกรแฮมและชายสวมหน้ากากอยู่ในความคาดหวังของทุกคน แต่เฟนด์ถือว่าเป็นส่วนที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนผู้ชมทุกคนมองไปยังเฟนด์ด้วยความประหลาดใจ เฟนด์เลิกคิ้วเมื่อเห็นอีกสองคนมาถึงในที่สุด แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาในขณะนั้นชายสวมหน้ากากไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ก่อนหน้านี้ เขาจะพ่นคำพูดต่าง ๆ นานาใส่เฟนด์ในทุกครั้งที่เจอและทุกครั้ง คำพูดของเขาจะเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถางแต่คราวนี้เขาเลือกที่จะป