"ดูเหมือนว่าเฟนด์จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ฉันเทียบอะไรกับเขาไม่ได้เลย แค่ฉันเผชิญหน้ากับนักรบแห่งสุญญะเพียงคนเดียว ฉันต้องดึงพลังงานที่แท้จริงของตัวเองออกมาใช้เชียวนะ พวกนั้นมีถึงสามคนพร้อมกันและดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงของเขาเลย! เทียบกับเขาแล้วฉันนึกอยากจะตายเสียจริง ๆ""ใช่แล้ว ฉันก็นึกว่าไอ้หมอนี่มาถึงขั้นนี้ได้แค่เพราะโชคช่วยเท่านั้น แถมเขาเพิ่งจะอยู่ในเพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเอง!"ข้อเท็จจริงที่ว่าเฟนด์อยู่แค่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้นกลายเป็นจุดที่หน้าฉงนใจที่สุดสำหรับการทำความเข้าใจในความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเฟนด์ เนื่องจากพวกเขาทุกคนที่นั่นล้วนอยู่ในขั้นสูงสุด ดังนั้นผู้ที่อยู่ขั้นกลางก็ควรที่จะอ่อนแอกว่าพวกเขาถึงจะถูกน่าตกใจที่เฟนด์ได้เปลี่ยนทัศนคติของทุกคนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่กล้าดูถูกคนที่อยู่ในระดับนั้นอีกต่อไปกริฟฟินและธีโอจ้องมองด้วยสายตาเขม็ง ทุกสิ่งที่พวกเขามองข้ามไปกลับกลายเป็นสิ่งที่จี้ใจดำพวกเขา เฟนด์แข็งแกร่งกว่าพวกเขาทั้งคู่กลับกันหากพวกเขาอยู่ในจุดเดียวกับเฟนด์ พวกเขาคงอยู่ได้เพียงไม่กี่อึดใจก่อนจะถูกล้อมและถูกนักรบแห่งสุญญ
เลนนอนดูคล้ายจะรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของเฟนด์ เขาเงยหน้าขึ้นทันที และเมื่อเขาเห็นเฟนด์มองเขาอย่างใจเย็น เลนนอนก็รู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายตบหน้าอยู่หลายครั้งเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่เขาทำได้คือสกัดกั้นความรู้สึกแสบร้อนในท้องเอาไว้อย่างทรมานโดยไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าหากเขาไม่ได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยตาตัวเอง เลนนอนคงจะกล้ามีปากเสียงกับสายตาที่เฟนด์มองมาอยู่บ้าง แต่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้เนื่องจากทักษะที่เฟนด์แสดงออกมาอย่างเต็มที่เสียงการต่อสู้ระยะประชิดดังขึ้นอยู่เป็นระยะ และเฟนด์ก็รู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องหันหลังกลับไปมองว่าการต่อสู้ของอีกสามคนกำลังมาถึงบทสรุปแล้ว"อั่ก อั่ก!" เบนจามินกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ดวงตาของเขาแดงก่ำขณะที่ร่างกายถึงขีดจำกัด เขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีไปแล้วแต่สามารถสังหารนักรบแห่งสุญญะได้เพียงสามคนเท่านั้นถ้าเขาพยายามฝืนตัวเองต่อไป มันก็รั้งแต่จะทำร้ายเขายิ่งกว่าเดิม ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงตะโกนออกไปด้วยหัวใจไม่ยอมจำนน "ฉันยอมแพ้แล้ว!"แม้จะฝืนต่อไปก็ไม่มีความหมาย ความจริงก
เขาชนะแล้ว! ชายสวมหน้ากากเองก็ผ่านด่านนี้มาได้แล้วเช่นกัน! ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย อย่างรู้สึกพอใจในตัวเองก่อนหน้านี้ชายสวมหน้ากากให้ความสนใจกับการต่อสู้อย่างเต็มที่ เขาจึงไม่ทันได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาเลย เขาไม่รู้ว่าใครถูกกำจัดและใครที่ผ่านด่านไปได้บ้างถึงกระนั้นเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรต่อชายสวมหน้ากากเลย เขาปฏิเสธที่จะเชื่อจะว่ามีคนอื่นที่สามารถผ่านด่านไปก่อนที่เขาจะทำได้เขาหัวเราะอย่างเย็นชา บอกกับตัวเองว่าเฟนด์เป็นเพียงเศษขยะที่บังเอิญมีโชคช่วยเท่านั้น เกรแฮมมีทักษะเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่อยู่ในระดับเดียวกับเขา ส่วนอีกสองคนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เนื่องจากพวกเขาเพิ่งผ่านด่านที่สามไปเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น เขาก็ยิ้มในขณะที่หันศีรษะไปรอบ ๆ เขาเห็นเลนนอนและเบนจามินถูกแสงสีแดงครอบเอาไว้ และรู้ทันทีว่าพวกเขาถูกกำจัดไปแล้วอย่างที่เขาคิดทั้งสองคนมีสีหน้าแปลก ๆ ทำไมพวกเขาถึงมองไปที่จุดสูงสุดของเนินลาดด้วยความโกรธและอับจนหนทางเช่นนั้น แต่ก็มีนัยยะของการยอมรับความพ่ายแพ้อยู่ด้วย?พวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริงที่ว่าพวกเขาถูกตัดออกจากการแข่งขัน
ในขณะนั้น ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความโกรธที่เดือดพล่านอยู่ในใจของชายสวมหน้ากาก ราวกับมีภูเขาไฟปะทุขึ้นในใจของเขา และลาวาร้อนระอุได้ฟังกลบจิตใจด้านมีเหตุผลของเขาไปจนสิ้น เลนนอนหน้าซีดด้วยความกลัวภายในสำนักวายชนม์มีการประลองกันอย่างต่อเนื่อง และยุทธวิธีของพวกเขาก็รุนแรงกว่าสำนักอื่นมาก สำหรับชายสวมหน้ากากที่สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสำนักได้ จะไม่มีจิตใจที่โหดเหี้ยมได้อย่างไร? เหล่าศิษย์ของสำนักวายชนม์นับไม่ถ้วนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเขาเลนนอนอาจมีความสามารถในระดับหนึ่งอยู่เหมือนกันแต่เขาเทียบกับชายสวมหน้ากากไม่ได้เลย เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าชายสวมหน้ากากทะลวงเข้าสู่ระดับผลึกวสันต์แล้ว อย่างไรก็ตาม เพื่อมุ่งหน้าไปยังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม เขาต้องทำลายระดับการบ่มเพาะของตัวเองลง แม้จะเสียสละมากมายเพื่อเรื่องนี้ แต่เขากลับยังไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านั้นเลย มันจึงส่งผลต่อสภาพจิตใจของชายสวมหน้ากากไม่น้อย"แก... รอฉันก่อนเถอะ!"คำพูดเหล่านั้นออกมาจากปากของชายสวมหน้ากากผ่านฟันที่ขบกันแน่น ดวงตาของเขาแดงก่ำในขณะที่เขาจ้องเขม็งไปที่แผ่นหลังของเฟนด์ที่เหยียดตรงอย่างชั่วร้าย“อั่ก…
แต่ทว่าหลังจากพูดออกไปแล้ว ชายสวมหน้ากากก็ไม่ยอมหยุดอยู่เฉย เขาเริ่มเดินไปยังเนินในระยะแปดร้อยยี่สิบสามเมตร แต่ละก้าวที่เขาก้าวไปนั้นให้ความรู้สึกแน่วแน่และหนักอึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะที่รุนแรงอีกด้วยเกรแฮมสูดจมูกเบา ๆ เขาไม่ได้โง่และรู้ว่าชายสวมหน้ากากกำลังพยายามจะทำอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี และเพราะว่าชายสวมหน้ากากเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เกรแฮมจึงไม่คิดจะหยุดอยู่กับที่และเริ่มมุ่งหน้าไปยังระยะแปดร้อยยี่สิบสามเมตรด้วยเช่นกันหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองคนก็มาถึงระยะเดียวกับที่เฟนด์อยู่ ในขณะนั้นเหลือเพียงสามคนที่มีสิทธิ์เดินหน้าต่อไป เกรแฮมและชายสวมหน้ากากอยู่ในความคาดหวังของทุกคน แต่เฟนด์ถือว่าเป็นส่วนที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนผู้ชมทุกคนมองไปยังเฟนด์ด้วยความประหลาดใจ เฟนด์เลิกคิ้วเมื่อเห็นอีกสองคนมาถึงในที่สุด แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาในขณะนั้นชายสวมหน้ากากไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ก่อนหน้านี้ เขาจะพ่นคำพูดต่าง ๆ นานาใส่เฟนด์ในทุกครั้งที่เจอและทุกครั้ง คำพูดของเขาจะเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถางแต่คราวนี้เขาเลือกที่จะป
“ในโลกสีโลหิตแห่งนี้ หากเธอฆ่าพวกมันได้ พวกมันจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นหญ้าวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณ หรือแม้แต่ศิลปยุทธและทักษะอันมีค่า นี่คือสิ่งที่หุบเหวแห่งสุญญะให้โอกาสแก่พวกเธอ” เสียงแหบพร่าพูดต่อ เขาพูดก่อนที่เฟนด์จะทันได้ตั้งสติจากความตระหนกใจในครั้งแรกของเขาเสียอีกเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนที่มาถึงโลกสีโลหิตก็รู้สึกเบิกบานในทันที ก่อนหน้านี้พวกเขาได้แต่สงสัยว่าเหตุใดพวกเขาจึงถูกส่งมายังที่แห่งนี้ด้วย และจุดประสงค์ของการไปเชิงเขาใต้พิภพกับชายสามคนนั้นคืออะไรความสงสัยของพวกเขาได้รับคำตอบแล้วเสียงแหบห้าวประกาศอีกครั้ง "ตอนนี้เธอยืนอยู่ห่างจากเขาใต้พิภพเป็นระยะทางหนึ่งร้อยยี่สิบไมล์ ยิ่งเธออยู่ใกล้ภูเขามากเท่าไหร่ สัตว์อสูรก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และจำนวนอสูรที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นของล้ำค่าได้ก็จะยิ่งหายากขึ้นตามไปด้วย"คำพูดจากสิ่งมีชีวิตลึกลับเป็นเหมือนสารกระตุ้นที่กระตุ้นฝูงชนด้วยแรงจูงใจและจิตวิญญาณที่สูงส่ง นับตั้งแต่ที่พวกเขาก้าวเข้าสู่หุบเหวแห่งสุญญะ พวกเขาได้ประสบและพบเจอแต่ความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาไม่อาจทำอะไรได้สำเร็จเลยของล้ำค่ามากมายถูกมอบให้เพียงผู้พิช
เสียงแหบแห้งดังก้องอีกครั้งในขณะที่เฟนด์ยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเอง "การทดสอบนี้จะใช้เวลาสองวันในการทดสอบ เธอจะถูกกำจัดถ้าเธอไม่อาจเดินทางไปถึงเขาใต้พิภพได้ภายในสองวัน การทดสอบจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้!"เสียงแหบแห้งเงียบลงไปหลังจากนั้นไม่นาน เฟนด์ยืนนิ่งในขณะที่เขาหายใจออกพรืดยาวและหนัก เขาต้องสงบสติอารมณ์และเตรียมตัวก่อนที่จะดำเนินการต่อ เขาขบคิดถึงทุกสิ่งที่เสียงแหบแห้งพูดเจ้าของเสียงแหบแห้งผู้ลึกลับใช้คำว่า 'อสูร' ในการอธิบายอุปสรรคทั้งหมดที่พวกเขาอาจต้องเผชิญ และเฟนด์รู้ดีว่ามันเป็นเพียงคำเรียกโดยรวมเท่านั้นไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรประเภทไหนในการทดสอบนี้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฟนด์ก็หยิบหน้ากากใหม่เอี่ยมจากมัสตาร์ด ซี๊ดออกมาสวมทับใบหน้าของเขาแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นใครเลย แต่เขาก็มั่นใจว่าการเดินทางในครั้งนี้เขาจะต้องประสบพบเจอกับผู้คนมากมาย และเขาไม่อยากให้คนอื่นจำได้ว่าเป็นเฟนด์ วู๊ด เพราะมันรั้งแต่จะทำให้เขาเจอปัญหาหนักขึ้น หากชายสวมหน้ากากรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน อีกฝ่ายจะต้องเข้ามาหาเรื่องเขาอย่างแน่นอนด้วยระดับพลังยุทธในปัจจุบันของเขา เขาอาจจะสามาร
เฟนด์ไม่ได้พบกับสิ่งมีชีวิตชนิดใดเลยตลอดการเดินทางที่ผ่านมา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมนุษย์ที่มีชีวิต ในบรรดาสามคนนี้ เขาจำอิเซยาห์ได้เพียงคนเดียวเมื่อดักฟังการสนทนาเฟนด์พบว่า เฮย์เดนมาจากสำนักสหัสบรรณ ขณะที่แซมซั่นมาจากเผ่าปฐมหายนะ เหตุผลที่เฟนด์รู้จักอิเซยาห์ก็เพราะทั้งคู่มาจากตำหนักสองกษัตริย์เหมือนกัน ตำหนักสองกษัตริย์ได้แต่งตั้งศิษย์ที่ถูกเลือกสามคนมายังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม นอกจากเนลสันและกริฟฟินแล้ว ศิษย์ที่ถูกเลือกคนที่สามที่ได้เข้ามาที่นี่ก็คืออิเซยาห์ ศิษย์ที่ถูกเลือกจากตำหนักสองกษัตริย์ จึงถือเป็นบุคคลผู้ทรงเกียรติ และพวกเขาสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ใจต้องการโดยไม่ทำให้ตัวเองได้รับผลกระทบอะไรนับตั้งแต่มาถึงแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม พวกเขาก็ได้พบกับศิษย์ที่มีตำแหน่งสูงกว่าจำนวนนับไม่ถ้วน และศิษย์ที่ถูกเลือกเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสได้อวดอ้างถึงตำแหน่งอันทรงเกียรติของพวกเขาเลย เฟนด์ประทับใจในตัวอิเซยาห์อยู่เล็กน้อยก่อนหน้านี้ตอนที่เขาทะเลาะเบาะแว้งกับกริฟฟิน อิเซยาห์ทำเพียงแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาไม่ก้าวร้าวเหมือนกริฟฟิน และไม่ยกยอตัวเองว่าเป็นคนดีมี