ในขณะนั้น ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความโกรธที่เดือดพล่านอยู่ในใจของชายสวมหน้ากาก ราวกับมีภูเขาไฟปะทุขึ้นในใจของเขา และลาวาร้อนระอุได้ฟังกลบจิตใจด้านมีเหตุผลของเขาไปจนสิ้น เลนนอนหน้าซีดด้วยความกลัวภายในสำนักวายชนม์มีการประลองกันอย่างต่อเนื่อง และยุทธวิธีของพวกเขาก็รุนแรงกว่าสำนักอื่นมาก สำหรับชายสวมหน้ากากที่สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสำนักได้ จะไม่มีจิตใจที่โหดเหี้ยมได้อย่างไร? เหล่าศิษย์ของสำนักวายชนม์นับไม่ถ้วนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเขาเลนนอนอาจมีความสามารถในระดับหนึ่งอยู่เหมือนกันแต่เขาเทียบกับชายสวมหน้ากากไม่ได้เลย เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าชายสวมหน้ากากทะลวงเข้าสู่ระดับผลึกวสันต์แล้ว อย่างไรก็ตาม เพื่อมุ่งหน้าไปยังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม เขาต้องทำลายระดับการบ่มเพาะของตัวเองลง แม้จะเสียสละมากมายเพื่อเรื่องนี้ แต่เขากลับยังไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านั้นเลย มันจึงส่งผลต่อสภาพจิตใจของชายสวมหน้ากากไม่น้อย"แก... รอฉันก่อนเถอะ!"คำพูดเหล่านั้นออกมาจากปากของชายสวมหน้ากากผ่านฟันที่ขบกันแน่น ดวงตาของเขาแดงก่ำในขณะที่เขาจ้องเขม็งไปที่แผ่นหลังของเฟนด์ที่เหยียดตรงอย่างชั่วร้าย“อั่ก…
แต่ทว่าหลังจากพูดออกไปแล้ว ชายสวมหน้ากากก็ไม่ยอมหยุดอยู่เฉย เขาเริ่มเดินไปยังเนินในระยะแปดร้อยยี่สิบสามเมตร แต่ละก้าวที่เขาก้าวไปนั้นให้ความรู้สึกแน่วแน่และหนักอึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะที่รุนแรงอีกด้วยเกรแฮมสูดจมูกเบา ๆ เขาไม่ได้โง่และรู้ว่าชายสวมหน้ากากกำลังพยายามจะทำอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี และเพราะว่าชายสวมหน้ากากเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เกรแฮมจึงไม่คิดจะหยุดอยู่กับที่และเริ่มมุ่งหน้าไปยังระยะแปดร้อยยี่สิบสามเมตรด้วยเช่นกันหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองคนก็มาถึงระยะเดียวกับที่เฟนด์อยู่ ในขณะนั้นเหลือเพียงสามคนที่มีสิทธิ์เดินหน้าต่อไป เกรแฮมและชายสวมหน้ากากอยู่ในความคาดหวังของทุกคน แต่เฟนด์ถือว่าเป็นส่วนที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนผู้ชมทุกคนมองไปยังเฟนด์ด้วยความประหลาดใจ เฟนด์เลิกคิ้วเมื่อเห็นอีกสองคนมาถึงในที่สุด แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาในขณะนั้นชายสวมหน้ากากไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ก่อนหน้านี้ เขาจะพ่นคำพูดต่าง ๆ นานาใส่เฟนด์ในทุกครั้งที่เจอและทุกครั้ง คำพูดของเขาจะเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถางแต่คราวนี้เขาเลือกที่จะป
“ในโลกสีโลหิตแห่งนี้ หากเธอฆ่าพวกมันได้ พวกมันจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นหญ้าวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณ หรือแม้แต่ศิลปยุทธและทักษะอันมีค่า นี่คือสิ่งที่หุบเหวแห่งสุญญะให้โอกาสแก่พวกเธอ” เสียงแหบพร่าพูดต่อ เขาพูดก่อนที่เฟนด์จะทันได้ตั้งสติจากความตระหนกใจในครั้งแรกของเขาเสียอีกเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนที่มาถึงโลกสีโลหิตก็รู้สึกเบิกบานในทันที ก่อนหน้านี้พวกเขาได้แต่สงสัยว่าเหตุใดพวกเขาจึงถูกส่งมายังที่แห่งนี้ด้วย และจุดประสงค์ของการไปเชิงเขาใต้พิภพกับชายสามคนนั้นคืออะไรความสงสัยของพวกเขาได้รับคำตอบแล้วเสียงแหบห้าวประกาศอีกครั้ง "ตอนนี้เธอยืนอยู่ห่างจากเขาใต้พิภพเป็นระยะทางหนึ่งร้อยยี่สิบไมล์ ยิ่งเธออยู่ใกล้ภูเขามากเท่าไหร่ สัตว์อสูรก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และจำนวนอสูรที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นของล้ำค่าได้ก็จะยิ่งหายากขึ้นตามไปด้วย"คำพูดจากสิ่งมีชีวิตลึกลับเป็นเหมือนสารกระตุ้นที่กระตุ้นฝูงชนด้วยแรงจูงใจและจิตวิญญาณที่สูงส่ง นับตั้งแต่ที่พวกเขาก้าวเข้าสู่หุบเหวแห่งสุญญะ พวกเขาได้ประสบและพบเจอแต่ความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาไม่อาจทำอะไรได้สำเร็จเลยของล้ำค่ามากมายถูกมอบให้เพียงผู้พิช
เสียงแหบแห้งดังก้องอีกครั้งในขณะที่เฟนด์ยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเอง "การทดสอบนี้จะใช้เวลาสองวันในการทดสอบ เธอจะถูกกำจัดถ้าเธอไม่อาจเดินทางไปถึงเขาใต้พิภพได้ภายในสองวัน การทดสอบจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้!"เสียงแหบแห้งเงียบลงไปหลังจากนั้นไม่นาน เฟนด์ยืนนิ่งในขณะที่เขาหายใจออกพรืดยาวและหนัก เขาต้องสงบสติอารมณ์และเตรียมตัวก่อนที่จะดำเนินการต่อ เขาขบคิดถึงทุกสิ่งที่เสียงแหบแห้งพูดเจ้าของเสียงแหบแห้งผู้ลึกลับใช้คำว่า 'อสูร' ในการอธิบายอุปสรรคทั้งหมดที่พวกเขาอาจต้องเผชิญ และเฟนด์รู้ดีว่ามันเป็นเพียงคำเรียกโดยรวมเท่านั้นไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรประเภทไหนในการทดสอบนี้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฟนด์ก็หยิบหน้ากากใหม่เอี่ยมจากมัสตาร์ด ซี๊ดออกมาสวมทับใบหน้าของเขาแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นใครเลย แต่เขาก็มั่นใจว่าการเดินทางในครั้งนี้เขาจะต้องประสบพบเจอกับผู้คนมากมาย และเขาไม่อยากให้คนอื่นจำได้ว่าเป็นเฟนด์ วู๊ด เพราะมันรั้งแต่จะทำให้เขาเจอปัญหาหนักขึ้น หากชายสวมหน้ากากรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน อีกฝ่ายจะต้องเข้ามาหาเรื่องเขาอย่างแน่นอนด้วยระดับพลังยุทธในปัจจุบันของเขา เขาอาจจะสามาร
เฟนด์ไม่ได้พบกับสิ่งมีชีวิตชนิดใดเลยตลอดการเดินทางที่ผ่านมา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมนุษย์ที่มีชีวิต ในบรรดาสามคนนี้ เขาจำอิเซยาห์ได้เพียงคนเดียวเมื่อดักฟังการสนทนาเฟนด์พบว่า เฮย์เดนมาจากสำนักสหัสบรรณ ขณะที่แซมซั่นมาจากเผ่าปฐมหายนะ เหตุผลที่เฟนด์รู้จักอิเซยาห์ก็เพราะทั้งคู่มาจากตำหนักสองกษัตริย์เหมือนกัน ตำหนักสองกษัตริย์ได้แต่งตั้งศิษย์ที่ถูกเลือกสามคนมายังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม นอกจากเนลสันและกริฟฟินแล้ว ศิษย์ที่ถูกเลือกคนที่สามที่ได้เข้ามาที่นี่ก็คืออิเซยาห์ ศิษย์ที่ถูกเลือกจากตำหนักสองกษัตริย์ จึงถือเป็นบุคคลผู้ทรงเกียรติ และพวกเขาสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ใจต้องการโดยไม่ทำให้ตัวเองได้รับผลกระทบอะไรนับตั้งแต่มาถึงแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม พวกเขาก็ได้พบกับศิษย์ที่มีตำแหน่งสูงกว่าจำนวนนับไม่ถ้วน และศิษย์ที่ถูกเลือกเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสได้อวดอ้างถึงตำแหน่งอันทรงเกียรติของพวกเขาเลย เฟนด์ประทับใจในตัวอิเซยาห์อยู่เล็กน้อยก่อนหน้านี้ตอนที่เขาทะเลาะเบาะแว้งกับกริฟฟิน อิเซยาห์ทำเพียงแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาไม่ก้าวร้าวเหมือนกริฟฟิน และไม่ยกยอตัวเองว่าเป็นคนดีมี
เฟนด์พยักหน้าเบา ๆ เขาไม่มีเจตนาที่จะโต้เถียงกับพวกเขา ขณะที่เขาหันหลังกลับเพื่อพาตัวเองออกจากความขัดแย้ง กลิ่นหอมก็โชยมาแตะจมูกของเขากลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งอบอวลไปทั่วตัวเขาราวกับเตียงดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง และเฟนด์ก็ชะงักไปชั่วขณะ นับตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่โลกโลหิต บรรยากาศโดยรอบที่เขาได้เห็นมีแต่ความเจ็บปวดและรกร้างเขาไม่เคยได้กลิ่นหอมของหญ้าและเปลือกไม้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ด้วยซ้ำ ซากต้นไม้ที่ยืนต้นตายและต่อไม้ผุพังที่เขาพบนั้นตายไปนานถึงขนาดที่คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามันผ่านมากี่ปีแล้ว มันมีกลิ่นเหม็นเน่าและน่าขยะแขยงอยู่เสมอกลิ่นหอมหวานนี่มาจากไหน? เฟนด์หันหน้ากลับไปมองชายทั้งสามอีกครั้ง เพราะเขาก็ดูเหมือนจะได้กลิ่นหอมดังกล่าวเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัย รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของอากาศอันน่าประหลาดกลิ่นหอมแรงขึ้นเรื่อย ๆ และลมกระโชกแรงก็พัดจอนผมของพวกเขาปลิวไปในอากาศ“พวกคุณได้กลิ่นนั้นหรือเปล่า?” แซมซั่นและละล่ำละลักถามด้วยท่าทางแข็งกร้าวอิเซยาห์และเฮย์เดนพยักหน้า"เราไม่ควรได้กลิ่นดอกไม้อะไรในโลกใบนี้ แต่กลิ่น
คำพูดของเฟนด์ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก และทั้งสามคนก็รีบออกจากบริเวณนั้นในทันทีกลีบดอกไม้โปรยปรายไปทั่ว และพวกเขาไม่รู้ว่าควรจะออกไปทางไหน ทั้งสามคนวิ่งไปรอบ ๆ อย่างไม่รู้ทิศรู้ทางราวกับว่าสายลมสัมผัสได้ว่าพวกเขาปรารถนาที่จะหลบหนี สายลมแผ่วเบาที่พัดเข้าหาพวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นในทันใด และกลายเป็นลมกระโชกรุนแรงในที่สุดเฟนด์ได้ยินเพียงเสียงของกระแสลมที่ปะทะเข้ามาทั้งยังเคลื่อนตัวเหมือนพายุเฮอริเคน มีกลีบดอกไม้ร่วงหล่นมากมายจนบดบังการมองเห็นอย่างสิ้นเชิง และเขาก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวลไปทั่วเฟนด์และคนอื่น ๆ ไม่ได้หยุดชื่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ เขาเพียงแค่หนีด้วยการใช้กฎแห่งสุญญะและเคลื่อนตัวออกไปราวสิบเมตรในพริบตา เพื่อหลบการโจมตีของกลีบดอกไม้ที่หนาแน่นไปหมดกลีบดอกไม้เหล่านั้นไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ขณะที่เฟนด์ตะโกนบอกทั้งสามคนได้เพียงครู่เดียว กลีบดอกไม้ก็กระจัดกระจายไปรอบ ๆ และรวมตัวกันอย่างรวดเร็วอีกครั้งเฟนด์ขมวดคิ้วและเปิดใช้งานเกราะวิญญาณทันที เขาร่ายผนึกด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนที่มวลพลังงานสีดำอมเทาจะเริ่มหมุนวนที่ปลายนิ้วของเขา!ดาบวิญญาณจำนวนสามสิบห้าเล่มถูกห่อหุ้มอยู่เบื้องหน
ในขณะที่แซมซั่นพยายามดิ้นรนสถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นอีก เขาค้นพบว่าพวกอสูรมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง กลีบดอกไม้โจมตีเขารุนแรงขึ้นเมื่อมันสัมผัสได้ว่าเขาอ่อนแอลงเฮย์เดนถอนหายใจ เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผาก เขานิ่งเงียบขณะฟังเสียงกรีดร้องของสหายร่วมทีมอีกสองคน ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในที่นั่งลำบากแล้ว หากไม่ทำอะไรเลยความตายจะเป็นทางออกเดียวสำหรับพวกเขาเฮย์เดนยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า และสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการคือการต้องมาตายอยู่ในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามเช่นนี้"ตามหาอสูรนั้นให้เจอ! เรารู้ว่ามันต้องซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง!" เฮย์เดนตะโกนเสียงดัง "ต้องกำจัดอสูรเท่านั้นพวกเราถึงจะรอดเขาพูดถูก เมื่อถูกกลีบดอกไม้รายล้อมอยู่ทั่วทุกอณู พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าจะต้องหนีไปทางไหน หากพวกเขาไม่สามารถหลบหนีได้ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะใช้พลังงานที่แท้จริงไปจนหมดและกลีบดอกไม้พวกนี้ก็จะทำให้เขาตายในที่สุดวิธีเดียวที่พวกเขาจะทำให้พวกเขารอดออกไปได้คือต้องสังหารอสูรที่กำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ปัญหาก็คือพวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นอสูรที่ไหนมาตั้งแต่แรก และหากไม่ใช่เพราะการโจมตีของอสูร พวกเขาก็คงไม่