“หุบปากหน่อยได้หรือเปล่า?” เฟนด์บ่น ไม่ว่ายังไง ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้ลงรอยกันอยู่แล้ว และต่อให้พูดจาไพเราะต่อกันเช่นไรสถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น นี่คือเหตุผลที่เฟนด์ตัดสินใจที่จะไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนนี้สร้างปัญหาให้เขาต่อไปได้อีกใบหน้าของชายสวมหน้ากากมืดลงทันทีที่เฟนด์พูดต่อต้านเขา เขาโกรธจนแทบสำลัก "ไอ้สารเลว! คอยดูเถอะ! อย่าคิดว่านายจะปลอดภัยเพราะแค่ตอนนี้ฉันทำอะไรนายไม่ได้!"เฟนด์หัวเราะเบา ๆ และตอบอย่างเฉยเมยว่า "ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอจนกว่านายจะทำอะไรฉันได้ก็แล้วกัน หวังว่าเพราะถึงตอนนั้นแล้วนายจะไม่ต้องมาบีบน้ำตาขอร้องให้ฉันยกโทษให้"ชายสวมหน้ากากโกรธจนมือสั่นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เกรแฮมและคนอื่น ๆ ถึงกับมองไปที่เฟนด์ด้วยความประหลาดใจ แม้แต่เขาก็ยังไม่กล้าพูดด้วยท่าทีเช่นนั้นกับชายสวมหน้ากาก เนื่องจากเขาต้องรักษาความสัมพันธ์อันฉาบฉวยเอาไว้บ้าง แต่เฟนด์ไม่กลัวเลยหรือว่าชายสวมหน้ากากจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขาหลังจากที่เขาพูดจารุนแรงตอบกลับไปแบบนี้? เกรแฮมเริ่มสงสัยมากขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าเฟนด์สงบเพียงใด การโต้เถียงไม่ได้ดำเนินต่อไปอีกแล้ว"หวือ!"พวกเขาทั้งห้าได้ยินเสียงดาบคม ๆ ที
เฟนด์ประสานมือเข้าหากัน ก่อนที่ดาบวิญญาณสามสิบห้าเล่มที่ลอยอยู่ในฝ่ามือของเขารวมกันเป็นดาบสามเล่มทันที ดาบวิญญาณขนาดใหญ่สามเล่มลอยอยู่ในระยะสามเมตรเบื้องหน้าเฟนด์ และสายตาที่เฉียบคมก็แวบผ่านดวงตาของเขาเสียงของชายชราประกาศไว้ว่านักรบแห่งสุญญะนั้นที่เขาเผชิญในขณะนี้นั้นแข็งแกร่งกว่านักรบที่เขาปะทะระหว่างด่านทดสอบที่สอง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นมากนัก แต่การที่เขาจะจัดการกับนักรบทั้งหกด้วยกลยุทธ์เดิมที่เขาเคยใช้ก็ดูจะไม่เข้าท่าอีกต่อไป เขาต้องเอาชนะนักรบให้ได้ครึ่งหนึ่งก่อน!เป็นอีกครั้งที่เขาได้ผนึกมือก่อนที่เวทย์สีดำอมเทาก็รวมเข้ากับดาบวิญญาณขนาดใหญ่ตรงหน้าเขาในทันที ดาบวิญญาณเป็นเหมือนปืนใหญ่ที่พร้อมจะจุดชนวน เขาแกว่งดาบวิญญาณยักษ์พุ่งเข้าหานักรบแห่งสุญญะ ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและปะทะกันภายในอึดใจเดียวเกิดเสียงดังโครมครามขึ้น แสงสีแดงและดาบวิญญาณสีดำอมเทาปะทะกันอย่างรุนแรง ในขณะนั้นแสงสีดำและสีแดงผสมเข้าด้วยกันทันใดนั้น ลำแสงสีแดงก็ดูคล้ายจะสั่นไหวพร้อมกับเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นเฟนด์มุ่งความสนใจไปที่การโจมตีนักรบแห่งสุญญะทั้งสามคนเท่านั้น และอีกสามคนที่เหล
กริฟฟินรู้สึกผิดหวังที่เฟนด์สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีได้ และโกรธที่เฟนด์ยังมีแรงสู้ต่อเฟนด์ปรากฏตัวอีกครั้งทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่ในชั่วพริบตาเขาถอยห่างออกไปเพียงสิบเมตรและปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังนักรบแห่งสุญญะทั้งสามที่กำลังโจมตีหวือ!ดาบวิญญาณขนาดยักษ์ที่ปะทะเข้ากับนักรบแห่งสุญญะทั้งสามได้กลืนกินแสงสีแดงไปได้อย่างสมบูรณ์ คมดาบสีดำอมเทาทำราวกับว่ามันมาจากเหวลึกในขณะที่มันทะลวงผ่านการโจมตีและการป้องกันของนักรบแห่งสุญญะสามคนแรก ดาบแทงทะลุร่างของนักรบแห่งสุญญะทั้งสามภายในพริบตา เมื่อดาบวิญญาณขนาดใหญ่สามเล่มแทงผ่านร่างกายของพวกเขา นักรบแห่งสุญญะสามคนแรกก็กลายเป็นจุดแสงสีแดงทันทีและลอยอยู่กลางอากาศเฟนด์ถอนหายใจยาว ขณะที่เขาจ้องมองจุดสีแดงที่ปรากฏขึ้นหลังจากที่สามารถเอาชนะนักรบแห่งสุญญะสามคนแรกได้ เขารู้ว่าหากเขาไม่รีบกำจัดนักรบที่เหลืออีกสามคน จุดสีแดงเหล่านี้จะถูกนักรบดูดกลืนไปเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง เฟนด์ไม่กล้าปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เขาคำรามเสียงต่ำในคอและร่ายผนึกสีดำอมเทาออกมาอีกครั้ง ผนึกดังกล่าวรวมเข้ากับดาบวิญญาณขนาดมหึมาสามเล่มท
เมื่อเหวี่ยงดาบออกไปอีกครั้ง นักรบแห่งสุญญะร่างที่สองก็สลายตัวเป็นจุดแสงสีแดงอย่างสมบูรณ์ ในชั่วพริบตาก็เหลือเพียงนักรบแห่งสุญญะร่างเดียวที่อยู่ถัดจากเฟนด์ไปคราวนี้เฟนด์เร็วไม่พอ นักรบแห่งสุญญะได้ดูดซับจุดแสงสีแดงจากนักรบแห่งสุญญะที่สลายไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ความแข็งแกร่งของนักรบแห่งสุญญะเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเฟนด์กวาดจิตสัมผัสของตัวเองไปรอบ ๆ ขณะประเมินสถานการณ์ นักรบแห่งสุญญะที่อยู่ต่อหน้าเขาแข็งแกร่งขึ้นประมาณหนึ่งในสามส่วน หลังจากการโจมตีของเขา นักรบแห่งสุญญะร่างที่สามก็ทำให้เฟนด์ต้องเป็นฝ่ายตั้งรับอีกครั้งคราวนี้เฟนด์ยังคงใจเย็นไม่เปลี่ยน พื้นที่ใต้เท้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวอีกครั้งในขณะที่เขาถอยกลับไปห้าเมตร และนั่นทำให้เขามีเวลาพอได้หายใจหายคอ ขณะที่เขาสูบลมหายใจเข้าปอด เขาก็เริ่มเปิดใช้งานทักษะทลายห้วงสุญญะอีกครั้งเมื่อนักรบแห่งสุญญะคนที่สามพุ่งเข้ามา เขาก็ยกดาบขึ้นเพื่อทำการโจมตีอีกครั้งผ่านไปห้าอึดใจ ก็เกิดเสียงดังก้องไปทั่ว และนักรบแห่งสุญญะคนสุดท้ายก็หายไปภายใต้การโจมตีของดาบสีดำในมือเฟนด์คนอื่น ๆ ยังต่อสู้ไม่เสร็จ และพลังงานที่ผันผวนจากการ
"ดูเหมือนว่าเฟนด์จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ฉันเทียบอะไรกับเขาไม่ได้เลย แค่ฉันเผชิญหน้ากับนักรบแห่งสุญญะเพียงคนเดียว ฉันต้องดึงพลังงานที่แท้จริงของตัวเองออกมาใช้เชียวนะ พวกนั้นมีถึงสามคนพร้อมกันและดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงของเขาเลย! เทียบกับเขาแล้วฉันนึกอยากจะตายเสียจริง ๆ""ใช่แล้ว ฉันก็นึกว่าไอ้หมอนี่มาถึงขั้นนี้ได้แค่เพราะโชคช่วยเท่านั้น แถมเขาเพิ่งจะอยู่ในเพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเอง!"ข้อเท็จจริงที่ว่าเฟนด์อยู่แค่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้นกลายเป็นจุดที่หน้าฉงนใจที่สุดสำหรับการทำความเข้าใจในความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเฟนด์ เนื่องจากพวกเขาทุกคนที่นั่นล้วนอยู่ในขั้นสูงสุด ดังนั้นผู้ที่อยู่ขั้นกลางก็ควรที่จะอ่อนแอกว่าพวกเขาถึงจะถูกน่าตกใจที่เฟนด์ได้เปลี่ยนทัศนคติของทุกคนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่กล้าดูถูกคนที่อยู่ในระดับนั้นอีกต่อไปกริฟฟินและธีโอจ้องมองด้วยสายตาเขม็ง ทุกสิ่งที่พวกเขามองข้ามไปกลับกลายเป็นสิ่งที่จี้ใจดำพวกเขา เฟนด์แข็งแกร่งกว่าพวกเขาทั้งคู่กลับกันหากพวกเขาอยู่ในจุดเดียวกับเฟนด์ พวกเขาคงอยู่ได้เพียงไม่กี่อึดใจก่อนจะถูกล้อมและถูกนักรบแห่งสุญญ
เลนนอนดูคล้ายจะรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของเฟนด์ เขาเงยหน้าขึ้นทันที และเมื่อเขาเห็นเฟนด์มองเขาอย่างใจเย็น เลนนอนก็รู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายตบหน้าอยู่หลายครั้งเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่เขาทำได้คือสกัดกั้นความรู้สึกแสบร้อนในท้องเอาไว้อย่างทรมานโดยไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าหากเขาไม่ได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยตาตัวเอง เลนนอนคงจะกล้ามีปากเสียงกับสายตาที่เฟนด์มองมาอยู่บ้าง แต่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้เนื่องจากทักษะที่เฟนด์แสดงออกมาอย่างเต็มที่เสียงการต่อสู้ระยะประชิดดังขึ้นอยู่เป็นระยะ และเฟนด์ก็รู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องหันหลังกลับไปมองว่าการต่อสู้ของอีกสามคนกำลังมาถึงบทสรุปแล้ว"อั่ก อั่ก!" เบนจามินกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ดวงตาของเขาแดงก่ำขณะที่ร่างกายถึงขีดจำกัด เขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีไปแล้วแต่สามารถสังหารนักรบแห่งสุญญะได้เพียงสามคนเท่านั้นถ้าเขาพยายามฝืนตัวเองต่อไป มันก็รั้งแต่จะทำร้ายเขายิ่งกว่าเดิม ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงตะโกนออกไปด้วยหัวใจไม่ยอมจำนน "ฉันยอมแพ้แล้ว!"แม้จะฝืนต่อไปก็ไม่มีความหมาย ความจริงก
เขาชนะแล้ว! ชายสวมหน้ากากเองก็ผ่านด่านนี้มาได้แล้วเช่นกัน! ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย อย่างรู้สึกพอใจในตัวเองก่อนหน้านี้ชายสวมหน้ากากให้ความสนใจกับการต่อสู้อย่างเต็มที่ เขาจึงไม่ทันได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาเลย เขาไม่รู้ว่าใครถูกกำจัดและใครที่ผ่านด่านไปได้บ้างถึงกระนั้นเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรต่อชายสวมหน้ากากเลย เขาปฏิเสธที่จะเชื่อจะว่ามีคนอื่นที่สามารถผ่านด่านไปก่อนที่เขาจะทำได้เขาหัวเราะอย่างเย็นชา บอกกับตัวเองว่าเฟนด์เป็นเพียงเศษขยะที่บังเอิญมีโชคช่วยเท่านั้น เกรแฮมมีทักษะเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่อยู่ในระดับเดียวกับเขา ส่วนอีกสองคนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เนื่องจากพวกเขาเพิ่งผ่านด่านที่สามไปเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น เขาก็ยิ้มในขณะที่หันศีรษะไปรอบ ๆ เขาเห็นเลนนอนและเบนจามินถูกแสงสีแดงครอบเอาไว้ และรู้ทันทีว่าพวกเขาถูกกำจัดไปแล้วอย่างที่เขาคิดทั้งสองคนมีสีหน้าแปลก ๆ ทำไมพวกเขาถึงมองไปที่จุดสูงสุดของเนินลาดด้วยความโกรธและอับจนหนทางเช่นนั้น แต่ก็มีนัยยะของการยอมรับความพ่ายแพ้อยู่ด้วย?พวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริงที่ว่าพวกเขาถูกตัดออกจากการแข่งขัน
ในขณะนั้น ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความโกรธที่เดือดพล่านอยู่ในใจของชายสวมหน้ากาก ราวกับมีภูเขาไฟปะทุขึ้นในใจของเขา และลาวาร้อนระอุได้ฟังกลบจิตใจด้านมีเหตุผลของเขาไปจนสิ้น เลนนอนหน้าซีดด้วยความกลัวภายในสำนักวายชนม์มีการประลองกันอย่างต่อเนื่อง และยุทธวิธีของพวกเขาก็รุนแรงกว่าสำนักอื่นมาก สำหรับชายสวมหน้ากากที่สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสำนักได้ จะไม่มีจิตใจที่โหดเหี้ยมได้อย่างไร? เหล่าศิษย์ของสำนักวายชนม์นับไม่ถ้วนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเขาเลนนอนอาจมีความสามารถในระดับหนึ่งอยู่เหมือนกันแต่เขาเทียบกับชายสวมหน้ากากไม่ได้เลย เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าชายสวมหน้ากากทะลวงเข้าสู่ระดับผลึกวสันต์แล้ว อย่างไรก็ตาม เพื่อมุ่งหน้าไปยังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม เขาต้องทำลายระดับการบ่มเพาะของตัวเองลง แม้จะเสียสละมากมายเพื่อเรื่องนี้ แต่เขากลับยังไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านั้นเลย มันจึงส่งผลต่อสภาพจิตใจของชายสวมหน้ากากไม่น้อย"แก... รอฉันก่อนเถอะ!"คำพูดเหล่านั้นออกมาจากปากของชายสวมหน้ากากผ่านฟันที่ขบกันแน่น ดวงตาของเขาแดงก่ำในขณะที่เขาจ้องเขม็งไปที่แผ่นหลังของเฟนด์ที่เหยียดตรงอย่างชั่วร้าย“อั่ก…
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ