จู่ ๆ เบนจามินก็เข้าร่วมวงสนทนาเกรแฮมมองไปและเห็นว่าเบนจามินก็จมอยู่ในความคิดของตัวเองขณะที่เขามองไปที่เฟนด์เช่นกัน เขารู้ว่าเบนจามินกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเองก็ได้สัมผัสกับการต่อสู้กับผีดิบหนึ่งร้อยยี่สิบตัวมาแล้ว และเกือบจะล้มเหลวในท้ายที่สุด บาดแผลของเบนจามินรุนแรงกว่าตัวเขา เช่นนั้นเขาถึงได้สับสนกับสภาพในปัจจุบันของเฟนด์"ฉันเข้าใจแล้ว!" ทันใดนั้น ชายสวมหน้ากากซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควรก็พูดขึ้น แววตาที่คำนวณแวบหนึ่งฉายผ่านดวงตาของเขา และดูเหมือนว่าเขาได้รับคำตอบในคำถามที่ยากที่สุดในชีวิตของตัวเองแล้ว เขาพูดเสียงดัง แล้วเมื่อตำแหน่งของเขาปรากฏต่อสายตาของทุกคน เขาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันทีด้วยเสียงอุทานอันอึกทึก ซึ่งแม้แต่เฟนด์ก็มองตามเสียงนั้นไป ชายสวมหน้ากากเยาะเย้ยก่อนที่จะหรี่ตาลง “นายกำลังฝึกฝนทักษะทางธาตุวิญญาณใช่ไหม?!” ชายสวมหน้ากากเอ่ยท้าทาย น้ำเสียงดูมั่นใจในตัวเองมากหลาย ๆ คนในขณะนั้นตระหนักว่าเฟนด์ได้บ่มเพาะทักษะทางธาตุจิตวิญญาณอย่างแท้จริง เมื่อพวกเขาเห็นการโจมตีของเฟนด์ ชายสวมหน้ากากและคนอื่น ๆ ก็มองไปที่เฟนเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นคล้อยตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม เฟนด
"ถูกต้อง เขาโชคดี! ถ้าเฟนด์ไม่ฝึกฝนทักษะยุทธคุณสมบัติทางธาตุวิญญาณ ฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องล้มเหลวในบททดสอบและถูกกำจัด!"“เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะผ่านการทดสอบไปพร้อมกับอีกสี่คนที่เหลือ!”"จริงด้วย! ผู้ชายคนนี้โชคดีจริง ๆ ถ้าทักษะของเขาไม่สามารถปราบผีดิบได้เขาจะผ่านการทดสอบไปได้ยังไง?!"หลายคนเริ่มกังขา พวกเขามองเฟนด์ราวกับเขาเป็นแค่ผู้ชายที่ถูกรางวัล พวกเขาชื่นชมยอดฝีมือคนอื่น ๆ ที่ประสบความสำเร็จด้วยพลังที่แท้จริงของพวกเขา แต่ดูหมิ่นและกังขาในตัวเฟนด์ ทำไมเขาถึงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับยอดฝีมืออีกสี่คนได้? ที่สำคัญที่สุด ผู้ชายคนนี้อยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น เหตุใดเขาจึงประสบความสำเร็จ ในเมื่อพวกเขาซึ่งเป็นคนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดไม่สามารถทำได้กริฟฟินรู้สึกแย่มากราวกับได้กินของขมไปเป็นกิโลกรัม ก่อนที่ชายสวมหน้ากากจะอธิบายสิ่งต่าง ๆ ความคิดที่ว่าเฟนด์แข็งแกร่งกว่าเขาทำให้เขาทรมานใจ แต่ถึงกระนั้นเขากลับยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีกหลังจากได้ยินคำอธิบายดังกล่าว เนื่องจากเฟนด์สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เพราะโชคช่วยไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่งกว่ากริฟฟินไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เฟ
เฟนด์หันกลับมาและไม่ตอบ ไม่ว่าชายสวมหน้ากากจะพูดอะไร เขาก็ทำราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่สำคัญด้วยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรมากมายขนาดไหนยิ่งไปกว่านั้นเฟนด์ยังตั้งตารอด่านทดสอบสุดท้ายอีกด้วย นี้เป็นเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะได้ดูดกลืนพลังจากผลึกวิญญาณสลายในโลกโลหิต เขาอาจเทียบไม่ได้กับชายสวมหน้ากาก แต่ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างออกไปแล้ว ผลึกวิญญาณสลายช่วยให้เฟนด์สามารถสร้างดาบวิญญาณเพิ่มขึ้นได้ยี่สิบเล่ม เมื่อรวมกับดาบวิญญาณที่มีอยู่เดิมสิบห้าเล่ม เขามีดาบวิญญาณทั้งหมดสามสิบห้าเล่ม ซึ่งทำให้เขาไม่กลัวการถูกข่มขู่จุดที่จะทำให้เขาอยู่ในระดับเชี่ยวชาญในทักษะทลายห้วงสุญญะคือเมื่อเขาสามารถสร้างดาบวิญญาณได้ห้าสิบเล่ม ในช่วงที่ผ่านมา เป้าหมายดาบวิญญาณของเขาอยู่ห่างออกไปเพียงสิบห้าเล่มจากจำนวนดาบวิญญาณห้าสิบเล่ม เมื่อเขาสามารถสร้างดาบวิญญาณได้ห้าสิบเล่ม คู่ต่อสู้ในระดับแรกกำเนิดก็จะเทียบอะไรเขาไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วทักษะทลายห้วงสุญญะก็เทียบเท่ากับระดับเทพสูงสุดเป็นอย่างน้อย และนอกจากเฟนด์แล้วก็ไม่มีใครในระดับแรกกำเนิดที่สามารถฝึกฝนทักษะยุทธในระดับเทพสูงสุดได้ นี่เป็นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดขอ
ไม่เพียงแต่จะมีนักรบแห่งสุญญะปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาเท่านั้น แต่นักรบแห่งสุญญะคนเดียวกันยังปรากฏตัวขึ้นทางด้านซ้ายของพวกเขาหลังจากที่แสงสีแดงดวงเดียวกันส่องผ่านพวกเขาไป “พระเจ้า… นักรบแห่งสุญญะสามคน? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ก่อนที่ทั้งห้าคนจะทันได้เอ่ยปาก กลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านล่างของหุบเหวก็เริ่มตั้งสติไม่อยู่จริงอยู่ ความท้าทายล้วนแล้วแต่เริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้นักรบแห่งสุญญะสามคนก็มาปรากฏตัวพร้อมกัน แต่ละคนจะต้องต่อสู้กับนักรบทั้งสามคนเพียงลำพังเช่นนั้นหรือ?ในขณะที่พวกเขาเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น เสียงของชายชราก็ปรากฏขึ้นข้างหูของพวกเขาอีกครั้ง “พวกเธอแต่ละคนจะต้องต่อสู้กับนักรบแห่งสุญญะสามคน ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งกว่านักรบที่พวกเธอเอาชนะมาได้ในระหว่างการท้าทายครั้งที่สองเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นักรบเหล่านี้ยังใช้ทักษะยุทธเดียวกัน คือทักษะดาบแห่งห้วงฝัน การเอาชนะนักรบแห่งสุญญะทั้งสามนั้นเทียบเท่ากับการผ่านด่านทดสอบที่หก เจ็ด และแปด!"เมื่อเสียงประกาศจบลง ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านล่างของเหวก็เริ่มอยู่ไม่นิ่งอีกครั้งห้าในสิบส่วนไม่ผ่านด่านทดสอบที่สอง ในขณะที่เกือบทั้งหมดไม่ผ่านด่านท
“หุบปากหน่อยได้หรือเปล่า?” เฟนด์บ่น ไม่ว่ายังไง ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้ลงรอยกันอยู่แล้ว และต่อให้พูดจาไพเราะต่อกันเช่นไรสถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น นี่คือเหตุผลที่เฟนด์ตัดสินใจที่จะไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนนี้สร้างปัญหาให้เขาต่อไปได้อีกใบหน้าของชายสวมหน้ากากมืดลงทันทีที่เฟนด์พูดต่อต้านเขา เขาโกรธจนแทบสำลัก "ไอ้สารเลว! คอยดูเถอะ! อย่าคิดว่านายจะปลอดภัยเพราะแค่ตอนนี้ฉันทำอะไรนายไม่ได้!"เฟนด์หัวเราะเบา ๆ และตอบอย่างเฉยเมยว่า "ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอจนกว่านายจะทำอะไรฉันได้ก็แล้วกัน หวังว่าเพราะถึงตอนนั้นแล้วนายจะไม่ต้องมาบีบน้ำตาขอร้องให้ฉันยกโทษให้"ชายสวมหน้ากากโกรธจนมือสั่นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เกรแฮมและคนอื่น ๆ ถึงกับมองไปที่เฟนด์ด้วยความประหลาดใจ แม้แต่เขาก็ยังไม่กล้าพูดด้วยท่าทีเช่นนั้นกับชายสวมหน้ากาก เนื่องจากเขาต้องรักษาความสัมพันธ์อันฉาบฉวยเอาไว้บ้าง แต่เฟนด์ไม่กลัวเลยหรือว่าชายสวมหน้ากากจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขาหลังจากที่เขาพูดจารุนแรงตอบกลับไปแบบนี้? เกรแฮมเริ่มสงสัยมากขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าเฟนด์สงบเพียงใด การโต้เถียงไม่ได้ดำเนินต่อไปอีกแล้ว"หวือ!"พวกเขาทั้งห้าได้ยินเสียงดาบคม ๆ ที
เฟนด์ประสานมือเข้าหากัน ก่อนที่ดาบวิญญาณสามสิบห้าเล่มที่ลอยอยู่ในฝ่ามือของเขารวมกันเป็นดาบสามเล่มทันที ดาบวิญญาณขนาดใหญ่สามเล่มลอยอยู่ในระยะสามเมตรเบื้องหน้าเฟนด์ และสายตาที่เฉียบคมก็แวบผ่านดวงตาของเขาเสียงของชายชราประกาศไว้ว่านักรบแห่งสุญญะนั้นที่เขาเผชิญในขณะนี้นั้นแข็งแกร่งกว่านักรบที่เขาปะทะระหว่างด่านทดสอบที่สอง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นมากนัก แต่การที่เขาจะจัดการกับนักรบทั้งหกด้วยกลยุทธ์เดิมที่เขาเคยใช้ก็ดูจะไม่เข้าท่าอีกต่อไป เขาต้องเอาชนะนักรบให้ได้ครึ่งหนึ่งก่อน!เป็นอีกครั้งที่เขาได้ผนึกมือก่อนที่เวทย์สีดำอมเทาก็รวมเข้ากับดาบวิญญาณขนาดใหญ่ตรงหน้าเขาในทันที ดาบวิญญาณเป็นเหมือนปืนใหญ่ที่พร้อมจะจุดชนวน เขาแกว่งดาบวิญญาณยักษ์พุ่งเข้าหานักรบแห่งสุญญะ ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและปะทะกันภายในอึดใจเดียวเกิดเสียงดังโครมครามขึ้น แสงสีแดงและดาบวิญญาณสีดำอมเทาปะทะกันอย่างรุนแรง ในขณะนั้นแสงสีดำและสีแดงผสมเข้าด้วยกันทันใดนั้น ลำแสงสีแดงก็ดูคล้ายจะสั่นไหวพร้อมกับเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นเฟนด์มุ่งความสนใจไปที่การโจมตีนักรบแห่งสุญญะทั้งสามคนเท่านั้น และอีกสามคนที่เหล
กริฟฟินรู้สึกผิดหวังที่เฟนด์สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีได้ และโกรธที่เฟนด์ยังมีแรงสู้ต่อเฟนด์ปรากฏตัวอีกครั้งทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่ในชั่วพริบตาเขาถอยห่างออกไปเพียงสิบเมตรและปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังนักรบแห่งสุญญะทั้งสามที่กำลังโจมตีหวือ!ดาบวิญญาณขนาดยักษ์ที่ปะทะเข้ากับนักรบแห่งสุญญะทั้งสามได้กลืนกินแสงสีแดงไปได้อย่างสมบูรณ์ คมดาบสีดำอมเทาทำราวกับว่ามันมาจากเหวลึกในขณะที่มันทะลวงผ่านการโจมตีและการป้องกันของนักรบแห่งสุญญะสามคนแรก ดาบแทงทะลุร่างของนักรบแห่งสุญญะทั้งสามภายในพริบตา เมื่อดาบวิญญาณขนาดใหญ่สามเล่มแทงผ่านร่างกายของพวกเขา นักรบแห่งสุญญะสามคนแรกก็กลายเป็นจุดแสงสีแดงทันทีและลอยอยู่กลางอากาศเฟนด์ถอนหายใจยาว ขณะที่เขาจ้องมองจุดสีแดงที่ปรากฏขึ้นหลังจากที่สามารถเอาชนะนักรบแห่งสุญญะสามคนแรกได้ เขารู้ว่าหากเขาไม่รีบกำจัดนักรบที่เหลืออีกสามคน จุดสีแดงเหล่านี้จะถูกนักรบดูดกลืนไปเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง เฟนด์ไม่กล้าปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เขาคำรามเสียงต่ำในคอและร่ายผนึกสีดำอมเทาออกมาอีกครั้ง ผนึกดังกล่าวรวมเข้ากับดาบวิญญาณขนาดมหึมาสามเล่มท
เมื่อเหวี่ยงดาบออกไปอีกครั้ง นักรบแห่งสุญญะร่างที่สองก็สลายตัวเป็นจุดแสงสีแดงอย่างสมบูรณ์ ในชั่วพริบตาก็เหลือเพียงนักรบแห่งสุญญะร่างเดียวที่อยู่ถัดจากเฟนด์ไปคราวนี้เฟนด์เร็วไม่พอ นักรบแห่งสุญญะได้ดูดซับจุดแสงสีแดงจากนักรบแห่งสุญญะที่สลายไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ความแข็งแกร่งของนักรบแห่งสุญญะเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเฟนด์กวาดจิตสัมผัสของตัวเองไปรอบ ๆ ขณะประเมินสถานการณ์ นักรบแห่งสุญญะที่อยู่ต่อหน้าเขาแข็งแกร่งขึ้นประมาณหนึ่งในสามส่วน หลังจากการโจมตีของเขา นักรบแห่งสุญญะร่างที่สามก็ทำให้เฟนด์ต้องเป็นฝ่ายตั้งรับอีกครั้งคราวนี้เฟนด์ยังคงใจเย็นไม่เปลี่ยน พื้นที่ใต้เท้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวอีกครั้งในขณะที่เขาถอยกลับไปห้าเมตร และนั่นทำให้เขามีเวลาพอได้หายใจหายคอ ขณะที่เขาสูบลมหายใจเข้าปอด เขาก็เริ่มเปิดใช้งานทักษะทลายห้วงสุญญะอีกครั้งเมื่อนักรบแห่งสุญญะคนที่สามพุ่งเข้ามา เขาก็ยกดาบขึ้นเพื่อทำการโจมตีอีกครั้งผ่านไปห้าอึดใจ ก็เกิดเสียงดังก้องไปทั่ว และนักรบแห่งสุญญะคนสุดท้ายก็หายไปภายใต้การโจมตีของดาบสีดำในมือเฟนด์คนอื่น ๆ ยังต่อสู้ไม่เสร็จ และพลังงานที่ผันผวนจากการ