เนลสันรู้สึกว่าตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่น่าอับอายมาก พลังงานที่แท้จริงของเขาหมดลงจนเกลี้ยงและมีบาดแผลมากมายบนร่างกาย หากโลกสีโลหิตตรวจไม่พบว่าเขาไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป เขาอาจตายทันทีในวินาทีถัดมา หลังจากพยายามอย่างเต็มที่เพื่อฆ่าผีดิบตัวที่หกสิบเขาก็ไม่เหลือแรงแล้ว หลังจากตัดแขนของผีดิบทิ้งพลังงานที่แท้จริงของเขาก็หมดลงเขายังจำสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นในโลกสีโลหิตได้ แขนของผีดิบลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และเขาก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังเช่นกัน ในขณะนั้นไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ของเขามากไปกว่าตัวเขาเอง เขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากพลังงานที่แท้จริงและได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้น แต่โชคดีที่เขาถูกส่งกลับมายังหุบเหวแห่งสุญญะได้อย่างทันท่วงที ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของเขาและเขาถอนหายใจออกยาว แม้ว่าตอนนี้เขาจะปลอดภัยแล้ว แต่เขาก็ยังหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์มองไปที่เนลสันอย่างเป็นกังวล เนลสันเป็นผู้นำของสำนักในการเดินทางเข้ามายังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามในครั้งนี้ ศิษย์คนอื่น ๆ จากตำหนักสองกษัตริย์ชื่นชมในความแข็งแกร่ง ความรับผิดชอบ และพรสวรร
หลังจากแอบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็พูดอย่างไม่เต็มใจขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าศิษย์พี่เนลสันไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่คุณก็ต้องใช้เวลานั่งสมาธิและฟื้นฟูร่างกาย ทำไมคุณยังมายืนอยู่แบบนี้อีก? ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกมาได้เลย”สิ่งที่เขาพูดไม่ได้ฟังดูแปลกอะไร เนลสันหัวเราะเบา ๆ และพยักหน้าให้กริฟฟิน เนื่องจากอีกฝ่ายเจตนาดี เนลสันจึงไม่คิดที่จะโต้แย้งในสิ่งที่เขาพูด “ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ฉันยังไม่เข้าใจ เราพาศิษย์ร่วมสำนักมาที่นี่ยี่สิบคน แต่ทำไมถึงเหลือกันแค่สิบเก้าคนเท่านั้น?” ทุกคนเงียบไปหลังจากได้ยินคำถามของเนลสัน พวกเขามองหน้ากันและแววตาแปลก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาสีหน้าสงบสุขแต่เดิมของกริฟฟินกลับมืดมนขึ้นราวกับเผลอเกินแมลงเข้าไปหลายตัวทันที เนลสันรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าแปลก ๆ บนใบหน้าของทุกคน เขาหันกลับไปมองฝูงชน ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าใครคือคนที่หายไป“เฟนด์อยู่ไหน? ฉันเห็นเขาก้าวขึ้นไปบนหุบเหวแห่งสุญญะด้วยตาของฉันเองแล้ว แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงไม่อยู่ที่นี่ล่ะ? เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่า?” เนลสันถามด้วยความประหม่าเล็กน้อยคนอื่น ๆ มีสีหน้าแปลกเสียยิ่
นอกจากเฟนด์แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของเวลาที่อีกสี่คนจะสามารถฆ่าผีดิบสามสิบศพสุดท้ายลงได้ อย่างไรก็ตามเฟนด์แข็งแกร่งกว่าเก้าในสิบส่วนของคนที่อยู่ที่นั่น แม้ว่าเขาจะกำจัดนักรบแห่งสุญญะได้เพียงสองคนก็ตามสีหน้าประหลาดใจของเนลสันเด่นชัดมากเสียจนความรู้สึกไม่มั่นใจอัดแน่นอยู่ในหัวใจของกริฟฟินหลังจากที่เขาเห็นเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างบึ้งตึง “หมอนั่นก็แค่โชคดี ใครจะรู้ว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง?”ไม่มีใครคล้อยตามสิ่งที่เขาพูด ทุกคนรู้ดีว่าเขาแค่อิจฉาและริษยาเฟนด์ ยิ่งเฟนด์แข็งแกร่ง เขายิ่งรู้สึกแย่ในเมื่อทั้งคู่ไม่ลงรอยกัน ทุกคนล่วงรู้ถึงความคิดของเขาและไม่ได้ออกความเห็นอะไรเพราะเรื่องนั้นในทันใดนั้นเอง ริฟเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นเล็กน้อยในขณะนี้ “เก้าสิบ! เฟนด์ฆ่าผีดิบไปเก้าสิบศพแล้ว! ดูเขาสิ! นักรบแห่งสุญญะคนที่สามที่อยู่เบื้องหน้าเขาหายไปแล้ว!”สิ่งที่เขาพูดดึงดูดความสนใจของทุกคนได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่ศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์เท่านั้น ศิษย์ของสำนักอื่น ๆ ต่างก็หันกลับไปมองดูความเป็นไปของเฟนด์ เป็นความจริงที่นักรบแห่งสุญญะสามคนหายไปจากบริเวณที่เฟนด์เคยยืนอยู่ และมีเพียงนักรบแห่งสุญญะที่ปกคลุม
เช่นเดียวกับที่ศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์พูด เขาควรลบคำว่า 'อาจจะ' ออกไป เพราะเฟนด์สามารถผ่านความท้าทายนี้ไปได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสามารถผ่านด่านทดสอบดังกล่าวได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ มาก! การหายตัวไปของนักรบแห่งสุญญะคนที่สี่เช่นนี้ย่อมหมายความว่าเฟนด์ได้ฆ่าผีดิบจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบตัวไปแล้ว! ช่างเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักวายชนม์ก็ยังไม่อาจผ่านการทดสอบดังกล่าวได้ เนื่องจากนักรบแห่งสุญญะคนที่สี่ยังไม่หายไปไหน “พระเจ้าช่วย! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหมอนั่นเพิ่งอยู่ในขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น คนที่อยู่ในขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? มีพวกเราหลายคนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดที่พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า! ยิ่งไปกว่านั้น เราถูกบีบให้จนมุมและโต้กลับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!” ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อยในขณะที่พูด เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทุกอย่างเป็นความจริง นี่เป็นสิ่งที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นสำหรับพวกเขา!ไม่มีใครเคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าคนแรกที่สามารถผ่านด่านได้คือศิษย์ธรรมดา ๆ จากตำหนักสองกษัตริย์ แม้ว่าเฟนด์จะทำให้เกิดความวุ่น
เฟนด์จ้องมองไปยังนักรบแห่งสุญญะเบื้องหน้าด้วยความตื่นตระหนก นักรบแห่งสุญญะยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยในขณะที่เขายื่นมือออกมา คลื่นพลังงานสีดำอมเทาที่ดูราวกับหมอกรวมตัวกันอย่างช้า ๆ ในฝ่ามือของเขา เฟนด์คุ้นเคยกับคลื่นพลังงานนี้ เขามีประสบการณ์จากในอดีตหลายต่อหลายครั้งและตระหนักว่านี่คือพลังงานที่เหล่าผีดิบปลดปล่อยออกมาหลังจากที่พวกมันถูกฆ่าเขาจำได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากที่เขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานดังกล่าว ร่างกายของเขาก็รู้สึกโหยหามันเป็นอย่างมากและรู้สึกว่าพลังงานเหล่านี้คืออาหารที่ดีที่สุดในโลก ตอนนี้ คลื่นพลังงานหมุนวนรวมตัวกันที่ฝ่ามือของนักรบแห่งสุญญะ มันประกอบไปด้วยคลื่นพลังงานจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบคลื่น หัวใจของเฟนด์เต้นแรงในขณะที่เขาเกิดคำถามว่านักรบคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่พลังงานเหล่านั้นยังคงรวมตัวกันไม่ต่างไปจากลำธารที่ไหลลงสู่แม่น้ำในฝ่ามือของนักรบแห่งสุญญะหลังผ่านไปห้าอึดใจ ผลึกสีน้ำตาลแดงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเฟนด์ เฟนด์อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเมื่อได้เห็นลักษณะของผลึกดังกล่าว “ผลึกวิญญาณสลาย?”นี่คือผลึกวิญญาณสลาย ขนาดเท่ากับสองหัวแม่มือ ผลึกทั้งหมดเป็นสีแดงและดูเหมือนชิ้นส่วนของหย
ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงแตกดังมาจากผลึกวิญญาณสลาย และรอยแตกก็เริ่มปรากฏขึ้นบนผลึกดังกล่าว รอยแตกขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์และในไม่ช้าก็ครอบคลุมผลึกทั้งหมด ผลึกดังกล่าวดูคล้ายกับว่าจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อและพลังงานอันล้ำค่าที่เก็บไว้ภายในจะถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง การตอบสนองของทั้งชายสวมหน้ากากและเลนนอนคือตั้งสติให้มั่น พวกเขาถอยหลังไปสองก้าวและจับอาวุธให้แน่นอีกครั้งเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน สำหรับพวกเขาแล้ว ผลึกดูคล้ายกับจะให้รางวัลแก่ผู้ที่สามารถผ่านหุบเหวแห่งสุญญะได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของพวกเขาและไม่มีใครมั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเทียบกับเหล่าศิษย์จากสำนักวายชนม์ที่ดูหวาดหวั่นแล้ว ปฏิกิริยาของเกรแฮม และเบนจามินค่อนข้างสงบกว่าเล็กน้อย แม้ว่าพวกเขาจะจ้องมองที่ผลึกวิญญาณสลายซึ่งค่อย ๆ แตกออกอย่างระมัดระวัง แต่พวกเขาก็ไม่ได้หวาดกลัวมัน เฟนด์เป็นคนเดียวที่มองผลึกวิญญาณสลายด้วยท่าทางกลัดกลุ้มและวิตกกังวล หลังจากที่ผลึกวิญญาณสลายแตกออก พลังงานจะถูกปลดปล่อยออกมาในทันที หากเขาไม่อาจดูดซับพลังของมันได้ พลังงานวิญญาณอันมีค่าและบริสุทธิ์
เฟนด์ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ตอนแรกเขาคิดว่านี่เป็นเพียงวิธีปกติในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะพลังยุทธของเขา และไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะได้รับผลประโยชน์เช่นนี้อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขาถูกบีบอัดในขณะที่เขาดูดซับพลังวิญญาณบริสุทธิ์จำนวนมหาศาลเหล่านี้ เป็นผลให้ใบหน้าเขาซีดและอาเจียนเป็นเลือดเนื่องจากได้รับบาดเจ็บภายใน ถึงกระนั้นสำหรับเฟนด์สิ่งนี้เทียบอะไรไม่ได้กับสิ่งที่เขาได้รับศิษย์ของสำนักสหัสบรรณจ้องตรงไปที่หุบเหวแห่งสุญญะและแสดงความคิดเห็นเบา ๆ "ทำไมพวกเขาถึงยังไม่ออกมา? พวกเขาถูกย้ายไปยังอีกโลกหนึ่งหลังจากที่พวกเขาผ่านการทดสอบหรือเปล่า พวกเราถูกกำจัดแล้ว พวกเราอาจจะไม่สามารถเห็นได้ว่าพวกเขาผ่านการทดสอบที่กำลังจะมาถึงได้อย่างไร”ศิษย์ทั้งห้าในโลกสีโลหิตเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว และนักรบแห่งสุญญะทั้งสี่ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาก็หายไป นั่นหมายความว่าทุกคนผ่านการทดสอบแล้ว ถึงกระนั้น กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ในบริเวณที่พวกเขายืนอยู่บนหุบเหวแห่งสุญญะในตอนแรก ซึ่งนั่นสร้างความงุนงงให้กับทุกคนเป็นอย่างมากเนื่องจากทุกคนที่ถูกกำจัดจะถูกย้ายจากโลกโลหิตกลับไปยังหุบเหวแห่งสุญญะ เมื่อ
ชายสวมหน้ากากถามด้วยเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน และซาเมียนก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว “เบนจามิน เกล และเกรแฮม เอเลียตจากสำนักสหัสบรรณผ่านการท้าทายมาแล้ว เกรแฮมแข็งแกร่งกว่ามากและใช้เวลาน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเบนจามิน”ชายสวมหน้ากากหันไปทางจุดที่เบนจามินอยู่และสังเกตว่าเขาหน้าซีดเล็กน้อย เบนจามินกลืนโอสถลงคอในขณะที่เขาจดจ่อกับการฟื้นฟูพลังงานที่แท้จริงของเขา เห็นได้ชัดว่าทุกคนใช้พลังงานที่แท้จริงไปมากเมื่ออยู่ในโลกโลหิต"แล้วมีใครอีก?" ถามชายสวมหน้ากากอีกครั้งซาเมียนกระแอมเบา ๆ ขณะที่สีหน้าของเขาแข็งกร้าว เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือก “มี…ศิษย์พี่เลนนอนจากสำนักของเรา แล้วก็…คุณ” ซาเมียนพูดตะกุกตะกัก และชายสวมหน้ากากก็หันกลับมามองเขาด้วยความประหลาดใจซาเมียนฝืนยิ้ม ชายสวมหน้ากากขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าของซาเมียน เขารู้สึกงงงวยเป็นอย่างมาก “ทำไมทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้? บอกฉันมาตรง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น พูดจาตะกุกตะกักทำไม?”จากนั้นก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัวของชายสวมหน้ากาก เขาเอ่ยถามออกไปว่า "นายพูดถึงพวกเราแค่สี่คนเท่านั้น แล้วใครคือคนที่ห้า?"ในที่สุดชายสวมหน้า