เขาจำเป็นต้องสังหารผีดิบให้ได้มากที่สุดด้วยพลังที่น้อยที่สุด! การลดการไหลเวียนของพลังงานที่แท้จริง พลังโจมตีก็จะอ่อนลงและความเร็วในการสังหารศัตรูก็จะช้าลงตามไปด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนอื่น ๆ ในโลกของพวกเขาเช่นกัน ชายสวมหน้ากากไม่เพียงต้องเผชิญกับพลังงานที่แท้จริงของเขาที่ลดลงอย่างมาก แต่เกรแฮม เอเลียตก็มีความกังวลเช่นเดียวกัน เนื่องจากพลังงานที่แท้จริงภายในของเขาก็หมดลงแล้วด้วย แต่ยังมีผีดิบแปดสิบหรือเก้าสิบตัวที่ยังจ้องมองมาที่เขา เกรแฮมสูดลมหายใจยืดยาวและเลือกวิธีเดียวกับชายสวมหน้ากาก เขาลดการใช้พลังงานที่แท้จริงในร่างกาย เป้าหมายของพวกเขาคือการผ่านด่านนี้ไปให้ได้ ไม่ใช่เพื่อฆ่าผีดิบที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างเมามัน! เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนที่อยู่ในโลกสีโลหิตได้รับบาดเจ็บสาหัสมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นพวกเขาจึงถูกพากลับไปยังหุบเหวแห่งสุญญะ และค่อย ๆ ลดจำนวนลงจนเหลือเพียงสิบคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในโลกสีโลหิต แต่ละคนในสิบคนนี้ นอกจากเฟนด์แล้ว ล้วนเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในสำนัก ทั้งความสามารถและความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นถือว่ายอดเยี่ยมที่สุด! ในเวลานี้ ณ บริเวณที่เนลสัน เลสเตอร์ยืน
แน่นอนว่าอัจฉริยะจากสำนักระดับสี่นั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขาผู้ที่มาจากสำนักระดับสามอย่างชัดเจน"ดูนั่น! ผู้ชายที่ชื่อเฟนด์คนนั้นได้ฆ่าผีดิบไปหกสิบศพแล้ว! นักรบแห่งสุญญะที่อยู่ตรงหน้าเขาสองคนหายไปแล้วด้วย!” มีคนตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจทุกคนประหลาดใจกับสิ่งที่คน ๆ นั้นพูด และเกือบทุกคนมองไปยังจุดที่เฟนด์อยู่ แน่นอนว่านักรบแห่งสุญญะสองคนได้หายตัวไปแล้วจริง ๆ! หลายคนอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ “ฉันจำได้ว่าเขาอยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น! หากเขาอยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดแล้วเขามีความสามารถขนาดนี้ได้ยังไง! เขาได้ใช้วิชาลับของตัวเองอย่างต่อเนื่องหรือเปล่า?”อีกคนกระแอมอย่างเย็นชาและพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ช่วยคิดก่อนพูดหน่อยจะได้ไหม? เฟนด์ยังคงยืนหยัดได้นานขนาดนี้แล้วเขาจะใช้วิชาลับอะไรแบบนั้นได้ยังไง” คนพวกนี้พูดถูก แม้ว่าเฟนด์จะใช้ทักษะลับและยอมสละชีวิตของตัวเอง แต่เขาก็จะได้เวลาตอบแทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อผลของวิชาลับหมดลง เขาจะกลับเข้าสู่ระยะตกต่ำ เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะสูญเสียพละกำลังไปกว่าเจ็ดในสิบส่วนโดยปกติคนที่จะใช้วิชาลับอันแสนสิ้นหวังนี้เป็นทางเลือกสุดท้
แววตาเย็นชาฉายผ่านดวงตาของชายสวมหน้ากาก เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ผีดิบสิบเอ็ดศพสุดท้าย ในขณะนี้ จำนวนผีดิบที่เหลืออยู่ไม่ได้เป็นอันตรายต่อเขา อย่างไรก็ตาม ชายสวมหน้ากากไม่ได้รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากยิ่งเขาฆ่าผีดิบมากเท่าไหร่ ผีดิบที่เหลือก็ยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น เขาพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อควบคุมการใช้พลังงานที่แท้จริงของตัวเอง แต่พลังงานที่แท้จริงของเขาก็ใกล้จะหมดลงเมื่อผีดิบเริ่มคลุ้มคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ“นี่มันยากบัดซบเลย!” ชายสวมหน้ากากอดไม่ได้ที่จะระเบิดความหยาบคายออกมา!ผู้คนหลายสิบคนที่ยังคงต่อสู้ในโลกสีโลหิตกำลังเผชิญกับความท้าทายของพวกเขาตามลำดับ และไม่มีใครมีเวลาได้พัก ศัตรูมีจำนวนมากเกินไป และก็เป็นอย่างที่รู้กันว่ามันจะทำให้เขาหมดแรงแม้ว่าพวกมันจะไม่สามารถฆ่าผู้ท้าชิงเหล่านี้ได้ก็ตาม! ผีดิบเหล่านี้ดึงพลังงานที่แท้จริงของผู้ท้าชิงไปจนหมดสิ้น!“เฮ้อ…” เฟนด์หายใจออกพรืดยาว ก่อนก้าวถอยหลังไป เขาถอยห่างออกไปราวสิบเมตร กลุ่มผีดิบกระโจนเข้าหาตำแหน่งเดิมที่เขายืนอยู่แล้วพร้อมกับฟาดกรงเล็บและเขี้ยวของพวกมันลงมา“ฉันไม่มีอารมณ์จะมาเสียเวลากับพวกนายนะ!” เฟนด์พึมพำ เขาได้เรียนรู้
เนลสันรู้สึกว่าตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่น่าอับอายมาก พลังงานที่แท้จริงของเขาหมดลงจนเกลี้ยงและมีบาดแผลมากมายบนร่างกาย หากโลกสีโลหิตตรวจไม่พบว่าเขาไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป เขาอาจตายทันทีในวินาทีถัดมา หลังจากพยายามอย่างเต็มที่เพื่อฆ่าผีดิบตัวที่หกสิบเขาก็ไม่เหลือแรงแล้ว หลังจากตัดแขนของผีดิบทิ้งพลังงานที่แท้จริงของเขาก็หมดลงเขายังจำสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นในโลกสีโลหิตได้ แขนของผีดิบลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และเขาก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังเช่นกัน ในขณะนั้นไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ของเขามากไปกว่าตัวเขาเอง เขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากพลังงานที่แท้จริงและได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้น แต่โชคดีที่เขาถูกส่งกลับมายังหุบเหวแห่งสุญญะได้อย่างทันท่วงที ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของเขาและเขาถอนหายใจออกยาว แม้ว่าตอนนี้เขาจะปลอดภัยแล้ว แต่เขาก็ยังหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์มองไปที่เนลสันอย่างเป็นกังวล เนลสันเป็นผู้นำของสำนักในการเดินทางเข้ามายังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามในครั้งนี้ ศิษย์คนอื่น ๆ จากตำหนักสองกษัตริย์ชื่นชมในความแข็งแกร่ง ความรับผิดชอบ และพรสวรร
หลังจากแอบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็พูดอย่างไม่เต็มใจขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าศิษย์พี่เนลสันไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่คุณก็ต้องใช้เวลานั่งสมาธิและฟื้นฟูร่างกาย ทำไมคุณยังมายืนอยู่แบบนี้อีก? ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกมาได้เลย”สิ่งที่เขาพูดไม่ได้ฟังดูแปลกอะไร เนลสันหัวเราะเบา ๆ และพยักหน้าให้กริฟฟิน เนื่องจากอีกฝ่ายเจตนาดี เนลสันจึงไม่คิดที่จะโต้แย้งในสิ่งที่เขาพูด “ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ฉันยังไม่เข้าใจ เราพาศิษย์ร่วมสำนักมาที่นี่ยี่สิบคน แต่ทำไมถึงเหลือกันแค่สิบเก้าคนเท่านั้น?” ทุกคนเงียบไปหลังจากได้ยินคำถามของเนลสัน พวกเขามองหน้ากันและแววตาแปลก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาสีหน้าสงบสุขแต่เดิมของกริฟฟินกลับมืดมนขึ้นราวกับเผลอเกินแมลงเข้าไปหลายตัวทันที เนลสันรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าแปลก ๆ บนใบหน้าของทุกคน เขาหันกลับไปมองฝูงชน ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าใครคือคนที่หายไป“เฟนด์อยู่ไหน? ฉันเห็นเขาก้าวขึ้นไปบนหุบเหวแห่งสุญญะด้วยตาของฉันเองแล้ว แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงไม่อยู่ที่นี่ล่ะ? เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่า?” เนลสันถามด้วยความประหม่าเล็กน้อยคนอื่น ๆ มีสีหน้าแปลกเสียยิ่
นอกจากเฟนด์แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของเวลาที่อีกสี่คนจะสามารถฆ่าผีดิบสามสิบศพสุดท้ายลงได้ อย่างไรก็ตามเฟนด์แข็งแกร่งกว่าเก้าในสิบส่วนของคนที่อยู่ที่นั่น แม้ว่าเขาจะกำจัดนักรบแห่งสุญญะได้เพียงสองคนก็ตามสีหน้าประหลาดใจของเนลสันเด่นชัดมากเสียจนความรู้สึกไม่มั่นใจอัดแน่นอยู่ในหัวใจของกริฟฟินหลังจากที่เขาเห็นเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างบึ้งตึง “หมอนั่นก็แค่โชคดี ใครจะรู้ว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง?”ไม่มีใครคล้อยตามสิ่งที่เขาพูด ทุกคนรู้ดีว่าเขาแค่อิจฉาและริษยาเฟนด์ ยิ่งเฟนด์แข็งแกร่ง เขายิ่งรู้สึกแย่ในเมื่อทั้งคู่ไม่ลงรอยกัน ทุกคนล่วงรู้ถึงความคิดของเขาและไม่ได้ออกความเห็นอะไรเพราะเรื่องนั้นในทันใดนั้นเอง ริฟเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นเล็กน้อยในขณะนี้ “เก้าสิบ! เฟนด์ฆ่าผีดิบไปเก้าสิบศพแล้ว! ดูเขาสิ! นักรบแห่งสุญญะคนที่สามที่อยู่เบื้องหน้าเขาหายไปแล้ว!”สิ่งที่เขาพูดดึงดูดความสนใจของทุกคนได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่ศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์เท่านั้น ศิษย์ของสำนักอื่น ๆ ต่างก็หันกลับไปมองดูความเป็นไปของเฟนด์ เป็นความจริงที่นักรบแห่งสุญญะสามคนหายไปจากบริเวณที่เฟนด์เคยยืนอยู่ และมีเพียงนักรบแห่งสุญญะที่ปกคลุม
เช่นเดียวกับที่ศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์พูด เขาควรลบคำว่า 'อาจจะ' ออกไป เพราะเฟนด์สามารถผ่านความท้าทายนี้ไปได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสามารถผ่านด่านทดสอบดังกล่าวได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ มาก! การหายตัวไปของนักรบแห่งสุญญะคนที่สี่เช่นนี้ย่อมหมายความว่าเฟนด์ได้ฆ่าผีดิบจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบตัวไปแล้ว! ช่างเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักวายชนม์ก็ยังไม่อาจผ่านการทดสอบดังกล่าวได้ เนื่องจากนักรบแห่งสุญญะคนที่สี่ยังไม่หายไปไหน “พระเจ้าช่วย! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหมอนั่นเพิ่งอยู่ในขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น คนที่อยู่ในขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? มีพวกเราหลายคนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดที่พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า! ยิ่งไปกว่านั้น เราถูกบีบให้จนมุมและโต้กลับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!” ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อยในขณะที่พูด เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทุกอย่างเป็นความจริง นี่เป็นสิ่งที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นสำหรับพวกเขา!ไม่มีใครเคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าคนแรกที่สามารถผ่านด่านได้คือศิษย์ธรรมดา ๆ จากตำหนักสองกษัตริย์ แม้ว่าเฟนด์จะทำให้เกิดความวุ่น
เฟนด์จ้องมองไปยังนักรบแห่งสุญญะเบื้องหน้าด้วยความตื่นตระหนก นักรบแห่งสุญญะยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยในขณะที่เขายื่นมือออกมา คลื่นพลังงานสีดำอมเทาที่ดูราวกับหมอกรวมตัวกันอย่างช้า ๆ ในฝ่ามือของเขา เฟนด์คุ้นเคยกับคลื่นพลังงานนี้ เขามีประสบการณ์จากในอดีตหลายต่อหลายครั้งและตระหนักว่านี่คือพลังงานที่เหล่าผีดิบปลดปล่อยออกมาหลังจากที่พวกมันถูกฆ่าเขาจำได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากที่เขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานดังกล่าว ร่างกายของเขาก็รู้สึกโหยหามันเป็นอย่างมากและรู้สึกว่าพลังงานเหล่านี้คืออาหารที่ดีที่สุดในโลก ตอนนี้ คลื่นพลังงานหมุนวนรวมตัวกันที่ฝ่ามือของนักรบแห่งสุญญะ มันประกอบไปด้วยคลื่นพลังงานจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบคลื่น หัวใจของเฟนด์เต้นแรงในขณะที่เขาเกิดคำถามว่านักรบคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่พลังงานเหล่านั้นยังคงรวมตัวกันไม่ต่างไปจากลำธารที่ไหลลงสู่แม่น้ำในฝ่ามือของนักรบแห่งสุญญะหลังผ่านไปห้าอึดใจ ผลึกสีน้ำตาลแดงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเฟนด์ เฟนด์อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเมื่อได้เห็นลักษณะของผลึกดังกล่าว “ผลึกวิญญาณสลาย?”นี่คือผลึกวิญญาณสลาย ขนาดเท่ากับสองหัวแม่มือ ผลึกทั้งหมดเป็นสีแดงและดูเหมือนชิ้นส่วนของหย