ซาเมียนถอนหายใจภายในใจ ชายสวมหน้ากากจะตราหน้าว่าเขาอ่อนแออย่างแน่นอนหากเขาขอความช่วยเหลือในตอนนี้ เขาไม่อยากสร้างความไม่ประทับใจให้แก่อีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงเลือกกัดฟันอดทนเฟนด์หรี่ตาและคิดแผนการขึ้นในทันใด นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้หลบหนีเนื่องจากความสนใจของชายสวมหน้ากากถูกเบี่ยงเบนไปทางอื่นแล้ว หากเขาไม่หนีไป เขาคงตายไปพร้อมกับคนอื่น ๆ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาจึงเปิดใช้งานกำลังภายในของตัวเองและร่ายทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาออกมาดาบวิญญาณจำนวนสิบห้าเล่มปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา เขาควบรวมดาบวิญญาณสิบห้าเล่มในโถงวิญญาณได้สำเร็จหลังจากดูดซับผลึกวิญญาณสลาย ดาบวิญญาณทั้งสิบห้าเล่มที่เปล่งประกายสีดำอมเทาคือไพ่ตายของเฟนด์ พวกมันเต็มไปด้วยพลังที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ขณะที่หมุนวนอยู่บนฝ่ามือของเฟนด์ซาเมียนรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นดาบวิญญาณดังกล่าว เขารู้สึกไม่ดีกับพวกมันเลย แต่ถึงกับนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้กับเฟนด์ตัวต่อตัว ดังนั้นเขาจึงกัดฟันชนและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แห่งชีวิตของเขาแต่ก่อนหน้านั้น เขาหันหน้าไปมองศิษย์สำนักวายชนม์อีกสองคนที่กำลังต่อสู้กับแฟรงก์อย่าง
ขวานผ่าภูเขาของซาเมียนเหวี่ยงไปทางเฟนด์อีกครั้ง มันส่งเสียงหวือ เขาพร้อมที่จะเหวี่ยงดาบวิญญาณออกไปปะทะด้วย แต่กลับเปลี่ยนแผนในนาทีสุดท้ายเนื่องจากสิ่งที่แฟรงก์ทำ ทันทีที่ขวานบินมาหาเขา เขาก็รีบตรงไปหาแฟรงก์ที่กำลังบินไปในทิศทางเดียวกับเขาทันที ไม่นานพวกเขาทั้งสองก็ปะทะกัน และไม่ใช่แค่พวกเขาสองคนเท่านั้น การโจมตีของชายมีหนวดเคราและศิษย์ของสำนักวายชนม์ทั้งสองก็ตามมาติด ๆ เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมังกรไฟของขวานผ่าภูเขาแฟรงก์รู้สึกว่าหัวใจของเขาหล่นไปที่ตาตุ่ม "นี่นายบ้าไปแล้วเหรอ?! ทำไมไม่ต่อต้านการโจมตีของซาเมียนก่อนเล่า?”เฟนด์เย้ยหยัน ถ้าเขาทำแบบนั้นนั่นก็จะเข้าทางแฟรงก์น่ะสิ แฟรงก์เข้าใจทันทีว่าเฟนด์คิดอะไรอยู่ในใจเมื่อเขาเห็นสีหน้าเย้ยยันของเฟนด์“แบบนี้ เราจะตายด้วยกันทั้งคู่!” เขาคำรามและการโจมตีของศัตรูกำลังจะมาถึงพวกเขาทั้งคู่เฟนด์ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้แยแสอีกฝ่ายใดสักนิด เขาดึงพลังของกฎแห่งสุญญะจนถึงขีดสุด และล่าถอยออกไปราวยี่สิบหลาด้วยการเคลื่อนไหวเพียงก้าวเดียวเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เฟนด์ใช้กฎแห่งสุญญะไปถึงระดับนั้น และมันทำให้เขาสูญเสียกำลังภายในไปเป็นจำนวนมาก ในขณะเ
หากคนอื่นสบโอกาสหลบหนีได้ พวกเขาก็จะหลบหนีไปโดยไม่ลังเล ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เฟนด์จะทำเช่นเดียวกัน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และตัดสินใจในทันที เขาหันกลับมา หันปลายเท้าแล้วพุ่งออกไปในทิศทางตรงกันข้าม!ทันใดนั้น เสียงลมที่โหมกระหน่ำก็ดังขึ้นในหูของเขา ราวกับว่ากำลังถูกสัตว์อสูรไล่ล่าตามมาติด ๆ เขาหันหน้าไปมอง หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นชายสวมหน้ากากอยู่ข้างหลังเขา ความเร็วของชายสวมหน้ากากนั้นเร็วกว่าเฟนด์หลายเท่า ภายในไม่กี่วินาที เขาก็สามารถย่นระยะห่างระหว่างเฟนด์กับเขาได้แล้ว ด้วยความเร็วนี้ ในเวลาเพียงไม่นานเขาก็จะสามารถตามเฟนด์ทันได้อย่างสมบูรณ์ความหนาวเย็นเกิดขึ้นในใจของเฟนด์ราวกับว่าเขาถูกน้ำเย็นจัดเข้าท่วม 'ทำไมจู่ ๆ ชายสวมหน้ากากถึงตามฉันมา ทั้ง ๆ ที่เขาจดจ่ออยู่กับงูเหลือมเก้าเล็บอยู่ชัด ๆ นี่นา'ในขณะที่เขากำลังคิดและหนีเอาชีวิตรอด น้ำเสียงอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังขึ้นในหูของเขา "ตอนนี้ฉันจำได้แล้วว่านายเป็นใคร ดูเหมือนว่าไอ้โง่นั่นจะไม่ได้โกหก นายใส่หน้ากากเพราะนายจำฉันได้! นายไม่ได้ตายที่ผาโทมนัสใช่หรือเปล่า แล้วนายเข้ามาในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามได้ยังไง?"คำพ
เฟนด์ได้แต่หวังว่าเขาจะเจอคนที่สามารถช่วยให้เขาหลบหนีไปได้ แต่เสียงหึ่ง ๆ ในหูของเขาก็ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้นเมื่อเกิดความคิดแวบเข้ามาในหัว เขาหันไปมองด้านข้างและต้องตกใจเมื่อพบว่าความเร็วของชายสวมหน้ากากนั้นเพิ่มขึ้นอีกแล้ว อีกฝ่ายอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงยี่สิบหลาด้วยซ้ำ!ใบหน้าของเขามืดลง ในไม่ช้าชายสวมหน้ากากจะสามารถโจมตีเขาได้ และเมื่อถึงเวลานั้นเฟนด์ก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้กับเขา ซึ่งจะทำให้ความเร็วของเขาลดลงเป็นอย่างมาก ชายสวมหน้ากากเย้ยหยันและเอ่ยปากขึ้น "ดูเหมือนว่าหากฉันไม่ทุบนายให้น่วมนายก็จะไม่ยอมแพ้สินะ หรือว่าความลับที่นายมีนั้นคุ้มค่าที่จะตายแทนอย่างนั้นเหรอ?"เฟนด์อยากจะหันไปสวนกลับอีกฝ่าย แต่เขายังสามารถระงับความโกรธของตัวเองเอาไว้ได้ ชายสวมหน้ากากเย้ยหยันเขา และพลังงานสีม่วงอมดำก็เริ่มก่อตัวกันที่กรงเล็บด้านขวาของเขา พลังงานสีม่วงอมดำทำให้เกิดเสียงเปรี๊ยะราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นจากการควบแน่นของสายฟ้ามากมาย! เฟนด์ไม่ต้องหันไปมองด้วยตาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของมันเขาเหงื่อตกและหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เขารู้ว่าการโจมตีเพียงเล็กน้อยของชายสวมหน้ากากก็สา
เฟนด์สามารถมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่กะพริบอยู่บนเนิน“มาอีกคนแล้ว!” มีคนเอ่ยปากขึ้นเฟนด์หันหน้าไปตามเสียงและเห็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบ ๆ โชคดีที่สถานที่กว้างพอ มันกว้างกว่าจัตุรัสหน้าจุดรวมพลในตำหนักสองกษัตริย์เสียอีก เขาคาดว่าสถานที่นี้สามารถรองรับคนได้อย่างน้อยหนึ่งหมื่นคนมือของเขาสั่นเล็กน้อย ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันจนเฟนด์ไม่สามารถประมวลผลได้ เมื่อหนึ่งวินาทีที่แล้ว เขาอยู่ในสถานการณ์คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นหรือความตาย และเตรียมพร้อมที่จะตายอยู่แล้ว แต่วินาทีถัดมา เขากลับพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยโดยมีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยรายล้อมอยู่รอบตัวเขาแม้ว่าผู้คนที่นั่นจะแต่งตัวแตกต่างกัน แต่เฟนด์สามารถเดาได้จากความเข้าใจทั่วไปของเขาเกี่ยวกับรัฐเวสต์ เซอร์ซีว่ามีบางคนมาจากสำนักสหัสบรรณ เผ่าปฐมหายนะ และตำหนักสองกษัตริย์ มีกลุ่มคนที่เมื่อมองแวบแรกแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน แต่หลังจากวิเคราะห์อย่างรอบคอบ เขาจำได้ว่าพวกเขาเป็นสำนักที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักวายชนม์เฟนด์คำนวณอย่างคร่าว ๆ ในใจและประเมินว่าที่แห่งนี้มีคนอยู่รวมกันมากกว่าร้อยคน ซึ่งเท่ากับจำนวนคนที่เข้าไปในแห
'ตอนนี้ฉันควรทำยังไงดี? ทำไมทุกคนถึงอยู่ที่นี่กันหมด? คน ๆ เดียวที่สามารถพาพวกเราทุกคนมาที่นี่ได้น่าจะเป็นคนที่สร้างแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม เขากำลังวางแผนจะทำอะไรกันแน่?' ทันใดนั้น คำพูดของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ก็แวบเข้ามาในความคิดของเฟนด์แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามน่าจะเป็นมรดกจากบรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ให้ เหตุผลที่เขาออกจากสถานที่นี้ก็เพื่อออกไปตามหาผู้สืบทอด เป็นไปได้ไหมว่าผู้อาวุโสก็อดฟรีย์จะเดาได้ถูกต้อง ทันใดนั้น น้ำเสียงของชายแก่อันมิไร้เทียมทานก็ดังขึ้นในหูของทุกคน “โพรงย้ายสสารทั้งหมดถูกปิดลงแล้ว! หากอยากจะกลับออกไปต้องหาทางออกเอาเอง ฉันจะทิ้งคำใบ้ไว้ให้พวกเธอทุกคน พวกเธอเข้ามายังหุบเหวแห่งสุญญะได้วิธีใด ก็นั่นแหละคือทางออก!”คำใบ้ทำให้พวกเขาสับสน แม้ว่าพวกเขาจะเดาความหมายโดยทั่วไปได้อยู่บ้าง โพรงย้ายสสารทั้งหมดถูกปิดลงแล้ว? นั่นหมายถึงอะไรกัน? พวกมันคล้ายกับโพรงสุญญะที่พวกเขาเคยใช้เข้ามาในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามหรือไม่? หากโพรงสุญญะทั้งหมดถูกปิด ก็หมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถกลับออกไปได้ และถ้าพวกเขาอยากที่จะกลับออกไป พวกเขาก็ต้องหาหุบเหวแห่งสุญญะให้เจออย่างนั้นเหรอ? แล้วหุบเห
'เสียงชายชราหยุดลงทันทีเมื่อพูดถึงรางวัลทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขาจ้องมองไปที่จุดสูงสุดของหุบเหวแห่งสุญญะราวกับว่าหากพวกเขาจ้องมองไปที่นั่นนานพอ รางวัลที่พูดถึงจะบินลงมาหาพวกเขาเอง ซึ่งของเรืองแสงที่เฟนด์เห็นก่อนหน้านี้จะต้องเป็นรางวัลที่ผู้อาวุโสเอ่ยถึงเป็นแน่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งของเหล่านี้จะต้องมีมูลค่ามหาศาล เนื่องจากผู้สร้างแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามเป็นผู้ทิ้งมันไว้เสียงของชายชราดูเหมือนจะกระตุ้นความปรารถนาของทุกคนในขณะที่เขาพูดต่ออย่างช้า ๆ “มีรางวัลมากมายเหลือเกิน ฉันคงแจกแจงทุกรายการไม่ได้หรอก แต่จะขอพูดถึงรางวัลทั่วไปสักสองสามอย่าง มีโอสถวิญญาณหมื่นเม็ด โอสถวิญญาณระดับแปด ผลสวรรค์รัญจวน และหญ้าวิญญาณร้อยกิ่ง ทั้งสองอย่างเป็นพืชวิญญาณระดับเจ็ด และแก่นวิญญาณของสัตว์อสูรในระดับผลึกสวรรค์จำนวนห้าแก่น!”เกิดความโกลาหลขึ้นทันทีที่คำพูดสุดท้ายเล็ดลอดออกมา ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น และพวกเขาต้องเช็ดน้ำลายที่ไหลออกจากปาก ขณะที่สายตาละโมบจับจ้องไปยังด้านบนของหุบเหวแห่งสุญญะ หากพวกเขาแลกรางวัลทั้งหมดเป็นคะแนนสะสม เขาคงได้เพลิดเพลินอยู่กับคะแนนสะสมที่มีมากมายราว
เนื่องจากหุบเหวแห่งสุญญะถูกปกคลุมด้วยชั้นหมอกบาง ๆ เขาจึงไม่สามารถระบุได้ว่าความลาดเอียงนั้นทำมาจากอะไร ขณะที่กำลังคิดจดจ่ออยู่กับสิ่งนี้ เขาก็ได้ยินเสียงที่ชัดเจนดังขึ้นมาข้างหู “นายคงเป็นศิษย์น้องเฟนด์ใช่หรือเปล่า?”ทันใดนั้นเฟนด์ก็หันน่าไปมองรอบ ๆ และเห็นชายรูปงามสวมเสื้อผ้าของศิษย์จากตำหนักสองกษัตริย์ ซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างหลังเขา ชายคนนั้นกำลังมองที่เฟนด์ด้วยสายตาใจดี หลังจากที่เขาแนะนำตัวเอง เฟนด์จึงได้รู้ว่าบุคคลนี้เป็นศิษย์ที่ถูกเลือกจากตำหนักสองกษัตริย์ เนลสัน เลสเตอร์เนลสันดูแข็งแกร่งกว่ากริฟฟินมากเขาชี้ไปยังบริเวณที่อยู่ห่างออกไปร้อยหลาข้างหลังเขา “ศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์ทุกคนกำลังรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ทำไมนายไม่ไปอยู่กับพวกเราตรงนั้นล่ะ?”เฟนด์พยักหน้า ในฐานะศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์ เขาอาจถูกคนอื่นรังแกหากเขาไม่เข้าร่วมทีม เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเข้าไปพัวพันกับปัญหาเหล่านี้ เขาจึงติดตามเนลสันไปยังจุดรวมเหล่าศิษย์จากตำหนักสองกษัตริย์ เนลสันอยู่ในอันดับที่สี่ในหมู่ศิษย์ที่ถูกเลือก และเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์จากตำหนักสองกษัตริย์ที่ถูกส่งมายังแหล่งทรัพยากรยุ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ