บรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุด ความเป็นปรปักษ์ดุเดือดจนใกล้จะถึงจุดแตกหัก เฮลธ์อยากจะมีชีวิตรอดออกไปเสียมากกว่า หากพวกเขาต้องสู้กันขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาจะเป็นฝ่ายที่ต้องสูญเสียอย่างหนักหนาสาหัส เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รีบเอื้อมมือไปจับแขนของแฟรงก์เอาไว้เพื่อห้ามไม่ให้ชายหนุ่มพูดอะไรออกมาอีก พวกเขาจะได้รีบออกจากที่นี่ไปด้วยกันแต่ถึงกระนั้นแฟรงก์ก็ดูเหมือนจะไม่สังเกตถึงเรื่องนี้เลย เขาตะโกนใส่ศิษย์ของสำนักวายชนม์ว่า “อย่าบังอาจดูถูกสำนักระดับสาม! แม้แต่ศิษย์จากสำนักระดับสามก็สามารถมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พวกนายจินตนาการได้! คอยดูเถอะ! หลังจากที่ฉันจากไป ฉันจะไปกระจายข่าวเรื่องของล้ำค่าของที่นี่อย่างแน่นอน เพื่อที่ผู้มีอำนาจทั้งหมดจะมาแย่งชิงสมบัติกัน!”เฮลธ์และคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านในใจทันทีที่คำพูดนั้นออกจากปากของแฟรงก์ ในขณะที่ดวงตาของชายสวมหน้ากากมืดลงในชั่วพริบตา สิ่งที่แฟรงก์พูดเตือนเขาว่ามีโอกาสที่พวกเขาจะกระจายข่าวเกี่ยวกับสมบัติหลังจากที่พวกเขาจากไป และคนอื่นอาจกล้าหาญพอที่จะต่อสู้แย่งชิงสมบัติล้ำค่ากับพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง การปล่อยพวกเขาไปก็ดีเท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี
ชายสวมหน้ากากรีบวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เขายืนอยู่ตรงกลางโดยมีคนสามคนขนาบข้างทั้งทางซ้ายและขวา เขาหันหน้าไปทางเฮลธ์ ชายสวมหน้ากากขมวดคิ้ว และก่อนที่เฮลธ์และคนอื่น ๆ จะทันได้โต้ตอบ จู่ ๆ เขาก็โบกมือขวาและกระแสลมอันทรงพลังพุ่งเข้าหาพวกเขาทั้งห้าคนแม้ว่าเฮลธ์และคนอื่น ๆ จะไม่แข็งแกร่งเท่าอีกฝ่าย แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งในการต่อสู้ พวกเขาเสริมเกราะวิญญาณขึ้นทันทีเพื่อปกป้องตัวเองในขณะที่ชายสวมหน้ากากเคลื่อนไหวเฟนด์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และภายในครึ่งวินาที กระแสลมอันทรงพลังก็พุ่งเข้าใส่พวกเขาแล้ว เขาคิดว่าพลังงานนี้จะบดขยี้เกราะวิญญาณของพวกเขาอย่างรุนแรงจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ทันใดนั้นเอง กระแสลมกลับไม่ได้มีพลังทำลายล้างรุนแรงอย่างรูปลักษณ์ของมัน ถึงกระนั้นเพราะเขาก็ถูกลมนั่นผลักให้ล่าถอยไปพวกเขาทั้งห้าถูกกระแสลมดังกล่าวพัดไปมา โชคดีที่เพราะเขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่พวกเขาก็ถูกแยกออกจากกัน หัวใจของเฟนด์เต้นไม่เป็นส่ำ และเขาก็เข้าใจแผนการของชายสวมหน้ากากทันที ชายคนนั้นจะจัดการกับพวกเขาทีละคนและจะรีบจัดการพวกเขาให้เสร็จโดยเร็ว!ตอนนี้เฟนด์เพียงต้องการใช้เกราะวิญญาณในการต้านทานผลกระทบ
ศิษย์ทั้งสามของสำนักวายชนม์มองพวกเขาสองคนราวกับว่าพวกเขาเป็นลูกแกะที่รอโดนขย้ำ สีหน้าของพวกเขามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะชายมีหนวดเคราที่มองเฟนด์และแฟรงก์ราวกับพวกเขาคือมื้ออาหารอันโอชะ ตอนนั้นเองที่แฟรงก์ตระหนักได้ว่าเขาเป็นคนสร้างปัญหาชายมีหนวดเคราไม่ได้โจมตีพวกเขาในทันที แต่จ้องมองไปที่แฟรงก์อย่างเย้ยหยัน “นี่ เจ้าหนู ทำไมไม่อวดเก่งต่อไปอีกละ? ความไม่ยอมคนของนายเมื่อครู่หายไปไหนแล้ว? ใครกันที่บอกว่าเราจะไม่กล้าฆ่าพวกนายเพราะมันได้ไม่คุ้มเสีย?”แฟรงก์กลืนน้ำลายและสั่นสะท้านไปทั้งตัว ชายมีหนวดเคราคำรามด้วยเสียงหัวเราะ เมื่อเขาเห็นว่าแฟรงก์มีพฤติกรรมเช่นไร สายตาของเขาไม่เคยละจากแฟรงก์เลยแม้แต่วินาทีเดียว “ยิ่งพูดฉันก็ยิ่งอยากฆ่านายมากขึ้นไปอีก! อีกไม่นาน นายจะได้พบกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก!”แฟรงก์ตัวสั่นเมื่อนึกถึงภาพที่ชายมีหนวดเคราทรมานเขาจนตาย เขาเกือบจะอิจฉาเฟนด์ผู้ซึ่งเขาแน่ใจว่าจะได้ตายอย่างรวดเร็ว ด้วยความตื่นตระหนก จู่ ๆ แฟรงก์ก็ชี้ไปที่หน้ากากบนใบหน้าของเฟนด์แล้วพูดว่า "ก่อนที่พวกนายจะมาเขาไม่ได้สวมหน้ากาก พอเห็นว่าพวกนายมาเขาก็สวมมันไว้! นายน่าจะร
เฮลธ์สูดหายใจเข้าลึก ๆ สวมหน้ากากหรือไม่สวมหน้ากาก เขาก็ไม่สน จากนั้นเขาก็หยิบดาบยาวสองเล่มที่มีความยาวสามฟุตเท่ากันออกมาจากแหวนยุทธของเขาและถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง วิชาดาบที่เขาฝึกฝนมานั้นเป็นทักษะดาบคู่ และเขายืนอยู่ในลักษณะที่ทำให้เขาสามารถเปิดการโจมตีได้ในทันที ชายสวมหน้ากากจ้องไปที่เฮลธ์อีกครั้ง เมื่อได้เห็นเช่นนั้นเฟนด์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและมองไปที่ศิษย์สำนักวายชนม์อีกสามคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาชายมีหนวดเครามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า พยายามอ่านใจเขา ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมาและพูดว่า "ฉลาดดีนี่ที่คิดจะเปลี่ยนเรื่อง แต่นั่นไม่ช่วยอะไรหรอก! ฉันจะถอดหน้ากากของนายด้วยมือของฉันเองเพื่อที่จะได้เห็นกับตาว่านายเป็นใคร!"เฟนด์ถอนหายใจเบา ๆ ไม่สนใจเขา และหันหน้าหนี อันที่จริง ตำแหน่งที่เขาและแฟรงก์อยู่ถือว่าปลอดภัยกว่าอีกสามคน ชายสวมหน้ากากอาจคิดว่าพวกเขาสองคนเป็นพวกกระจอกจึงไล่ต้อนพวกเขาออกมา ซึ่งนั่นจะทำให้เฟนด์หลบหนีได้ง่ายขึ้น แต่แม้ว่าเขาต้องการที่จะหลบหนี แต่เขาก็ต้องแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้านี้ให้ได้เสียก่อนทันทีที่ชายมีหนวดเคราพูดจบ เขาก็พุ่งเข้าหาเฟนด์และแฟรงก์พร้อมทั้งแกว่งขว
ภายในดวงตาของชายมีหนวดมีเคราเกิดประกายตระหนก เขามองไปที่เฟนด์อย่างไม่เชื่อสายตาและตะโกนขึ้นว่า “ไอ้สารเลว! แกกำลังฝึกฝนศิลปยุทธแบบไหนกันทำไมถึงได้ต่อกรกับทักษะธาตุไฟที่ฉันฝึกอยู่ได้?!”เฟนด์เยาะเย้ยและไม่พูดอะไรกลับไป ทักษะทลายห้วงสุญญะที่เขาบ่มเพาะนั้นอย่างน้อยก็เป็นทักษะระดับนภา หากไม่ใช่เพราะความทรงจำที่บรรพบุรุษในสมัยโบราณทิ้งไว้ให้ เขาคงจะไม่สามารถบอกได้ในทันทีว่าเปลวเพลิงบนขวานผ่าภูเขาเป็นทักษะยุทธประเภทใด แต่ด้วยความช่วยเหลือจากความทรงจำที่ได้รับมา เขาถึงสามารถมองออกได้อย่างรวดเร็วว่าเปลวเพลิงดังกล่าวจะต้องเป็นทักษะศิลปยุทธขั้นสูงระดับโลหิต ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับที่เวสลีย์มีแต่ทักษะศิลปยุทธของเวสลีย์ไม่ได้ทรงพลังเท่ากับเปลวเพลิงนี้ ซึ่งก็หมายความว่าระดับความเชี่ยวชาญในการใช้เปลวเพลิงของชายมีหนวดมีเครานั้นต้องสูงกว่าของเวสลีย์อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นทำให้เกิดช่องว่างระหว่างทักษะศิลปยุทธที่ทั้งสองคนใช้เมื่อดูจากภายนอกชายมีหนวดเคราอาจดูสงบ แต่ภายในใจของเขากับมีพายุกำลังก่อตัวขึ้น เขารู้ว่าชายสวมหน้ากากต้องการให้พวกเขาฆ่าเฟนด์และคนอื่น ๆ ให้เร็วที่สุดเพื่อเลี่ยงการการดึงดูดความสน
“แกเป็นใครกัน?! แกต้องปกปิดระดับการบ่มเพาะของตัวเองแน่!” ไม่มีทางที่ศิษย์ขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดจะเอาชนะเขาได้เช่นนี้ เขาไม่เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บหนักเท่านั้น แต่ยังปล่อยให้อาวุธหลุดมืออีกด้วย ถ้าเรื่องนี้เล็ดลอดออกไปเขาจะต้องกลายเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน!ผู้ที่สามารถเข้าสู่แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามล้วนเป็นพวกระดับสูงในสำนักเขาเคยพบกับคนที่ท้าทายคนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่ามาบ้าง อันที่จริงเขาก็พอจะทำเช่นนั้นได้อยู่ แต่นั่นดูจะเป็นเพียงการคุยโวเสียมากกว่าทุกคนในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามต่างก็เป็นอัจฉริยะด้วยกันทั้งนั้น และในความคิดของชายมีหนวดเครา การต่อสู้ระหว่างอัจฉริยะสองคนโดยที่คนหนึ่งต่อสู้กับคนที่อยู่ในระดับเหนือกว่านั้นเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน นอกเสียจากว่าเขาจะเป็นผู้ที่จงใจลดระดับการบ่มเพาะของตัวเองลงเพื่อเข้าสู่แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม ไม่ก็คนเช่นชายสวมหน้ากาก ซึ่งด้วยพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการเขาได้อยู่มือแล้ว ในเวลานั้น ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้ของตัวเอง ดังนั้นคนเดียวที่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างชายมีหนวดเคราและการต่อสู้ของเฟนด์จึงมีเพียงแฟรงก์และศัตรู
แต่ทว่าคำพูดเหล่านั้นล้วนออกมาจากปากของเฟนด์ นอกจากนี้เฟนด์ยังคงสงบนิ่งอยู่ตลอดการต่อสู้ ดังนั้นซาเมียนจึงมั่นใจว่าเฟนด์ยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังเต็มที่ และหากเป็นเช่นนั้นซาเมียนก็มีโอกาสสูงที่จะแพ้อีกครั้งเช่นกันเขากลืนความคิดลงและมองไปที่เฟนด์ด้วยความกลัว ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งแล่นผ่านพวกเขาไป ทุกคนมองไปที่ร่างนั้นพร้อมกัน เป็นชายสวมชุดสีเขียวซึ่งถูกกระแสลมพัดไปชายคนนั้นถูกส่งให้บินไปไกลหลายสิบหลาก่อนที่จะตกลงบนพื้นอย่างแรงพร้อมกับเสียงดังสนั่น หัวใจของเฟนด์เต้นไม่เป็นส่ำ เขาก้าวไปข้างหน้าทันทีและตะโกนว่า “ศิษย์พี่เฮลธ์ คุณไหวหรือเปล่า?!”เฮลธ์ไออย่างรุนแรงถึงสองครั้ง และกระอักเลือดออกมาราวกับว่าเขามีเลือดอยู่นับอนันต์ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอมม่วง มีเลือดเปรอะเปื้อนมุมปาก เขาพยุงตัวเองขึ้นด้วยแขนข้างหนึ่งและพยายามหยัดกายขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาลุกขึ้นได้เพียงครึ่งทางก่อนที่จะเสียการทรงตัวและล้มลงกับพื้นอีกครั้งเฟนด์หันหน้าไปทันทีเพื่อเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากซึ่งดูไม่ต่างจากเมื่อก่อน แม้แต่ชายเสื้อผ้าของเขาก็สะอาดไม่มีคราบฝุ่น ราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ในสนามรบ
ซาเมียนถอนหายใจภายในใจ ชายสวมหน้ากากจะตราหน้าว่าเขาอ่อนแออย่างแน่นอนหากเขาขอความช่วยเหลือในตอนนี้ เขาไม่อยากสร้างความไม่ประทับใจให้แก่อีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงเลือกกัดฟันอดทนเฟนด์หรี่ตาและคิดแผนการขึ้นในทันใด นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้หลบหนีเนื่องจากความสนใจของชายสวมหน้ากากถูกเบี่ยงเบนไปทางอื่นแล้ว หากเขาไม่หนีไป เขาคงตายไปพร้อมกับคนอื่น ๆ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาจึงเปิดใช้งานกำลังภายในของตัวเองและร่ายทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาออกมาดาบวิญญาณจำนวนสิบห้าเล่มปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา เขาควบรวมดาบวิญญาณสิบห้าเล่มในโถงวิญญาณได้สำเร็จหลังจากดูดซับผลึกวิญญาณสลาย ดาบวิญญาณทั้งสิบห้าเล่มที่เปล่งประกายสีดำอมเทาคือไพ่ตายของเฟนด์ พวกมันเต็มไปด้วยพลังที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ขณะที่หมุนวนอยู่บนฝ่ามือของเฟนด์ซาเมียนรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นดาบวิญญาณดังกล่าว เขารู้สึกไม่ดีกับพวกมันเลย แต่ถึงกับนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้กับเฟนด์ตัวต่อตัว ดังนั้นเขาจึงกัดฟันชนและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แห่งชีวิตของเขาแต่ก่อนหน้านั้น เขาหันหน้าไปมองศิษย์สำนักวายชนม์อีกสองคนที่กำลังต่อสู้กับแฟรงก์อย่าง