บรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุด ความเป็นปรปักษ์ดุเดือดจนใกล้จะถึงจุดแตกหัก เฮลธ์อยากจะมีชีวิตรอดออกไปเสียมากกว่า หากพวกเขาต้องสู้กันขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาจะเป็นฝ่ายที่ต้องสูญเสียอย่างหนักหนาสาหัส เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รีบเอื้อมมือไปจับแขนของแฟรงก์เอาไว้เพื่อห้ามไม่ให้ชายหนุ่มพูดอะไรออกมาอีก พวกเขาจะได้รีบออกจากที่นี่ไปด้วยกันแต่ถึงกระนั้นแฟรงก์ก็ดูเหมือนจะไม่สังเกตถึงเรื่องนี้เลย เขาตะโกนใส่ศิษย์ของสำนักวายชนม์ว่า “อย่าบังอาจดูถูกสำนักระดับสาม! แม้แต่ศิษย์จากสำนักระดับสามก็สามารถมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พวกนายจินตนาการได้! คอยดูเถอะ! หลังจากที่ฉันจากไป ฉันจะไปกระจายข่าวเรื่องของล้ำค่าของที่นี่อย่างแน่นอน เพื่อที่ผู้มีอำนาจทั้งหมดจะมาแย่งชิงสมบัติกัน!”เฮลธ์และคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านในใจทันทีที่คำพูดนั้นออกจากปากของแฟรงก์ ในขณะที่ดวงตาของชายสวมหน้ากากมืดลงในชั่วพริบตา สิ่งที่แฟรงก์พูดเตือนเขาว่ามีโอกาสที่พวกเขาจะกระจายข่าวเกี่ยวกับสมบัติหลังจากที่พวกเขาจากไป และคนอื่นอาจกล้าหาญพอที่จะต่อสู้แย่งชิงสมบัติล้ำค่ากับพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง การปล่อยพวกเขาไปก็ดีเท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี
ชายสวมหน้ากากรีบวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เขายืนอยู่ตรงกลางโดยมีคนสามคนขนาบข้างทั้งทางซ้ายและขวา เขาหันหน้าไปทางเฮลธ์ ชายสวมหน้ากากขมวดคิ้ว และก่อนที่เฮลธ์และคนอื่น ๆ จะทันได้โต้ตอบ จู่ ๆ เขาก็โบกมือขวาและกระแสลมอันทรงพลังพุ่งเข้าหาพวกเขาทั้งห้าคนแม้ว่าเฮลธ์และคนอื่น ๆ จะไม่แข็งแกร่งเท่าอีกฝ่าย แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งในการต่อสู้ พวกเขาเสริมเกราะวิญญาณขึ้นทันทีเพื่อปกป้องตัวเองในขณะที่ชายสวมหน้ากากเคลื่อนไหวเฟนด์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และภายในครึ่งวินาที กระแสลมอันทรงพลังก็พุ่งเข้าใส่พวกเขาแล้ว เขาคิดว่าพลังงานนี้จะบดขยี้เกราะวิญญาณของพวกเขาอย่างรุนแรงจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ทันใดนั้นเอง กระแสลมกลับไม่ได้มีพลังทำลายล้างรุนแรงอย่างรูปลักษณ์ของมัน ถึงกระนั้นเพราะเขาก็ถูกลมนั่นผลักให้ล่าถอยไปพวกเขาทั้งห้าถูกกระแสลมดังกล่าวพัดไปมา โชคดีที่เพราะเขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่พวกเขาก็ถูกแยกออกจากกัน หัวใจของเฟนด์เต้นไม่เป็นส่ำ และเขาก็เข้าใจแผนการของชายสวมหน้ากากทันที ชายคนนั้นจะจัดการกับพวกเขาทีละคนและจะรีบจัดการพวกเขาให้เสร็จโดยเร็ว!ตอนนี้เฟนด์เพียงต้องการใช้เกราะวิญญาณในการต้านทานผลกระทบ
ศิษย์ทั้งสามของสำนักวายชนม์มองพวกเขาสองคนราวกับว่าพวกเขาเป็นลูกแกะที่รอโดนขย้ำ สีหน้าของพวกเขามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะชายมีหนวดเคราที่มองเฟนด์และแฟรงก์ราวกับพวกเขาคือมื้ออาหารอันโอชะ ตอนนั้นเองที่แฟรงก์ตระหนักได้ว่าเขาเป็นคนสร้างปัญหาชายมีหนวดเคราไม่ได้โจมตีพวกเขาในทันที แต่จ้องมองไปที่แฟรงก์อย่างเย้ยหยัน “นี่ เจ้าหนู ทำไมไม่อวดเก่งต่อไปอีกละ? ความไม่ยอมคนของนายเมื่อครู่หายไปไหนแล้ว? ใครกันที่บอกว่าเราจะไม่กล้าฆ่าพวกนายเพราะมันได้ไม่คุ้มเสีย?”แฟรงก์กลืนน้ำลายและสั่นสะท้านไปทั้งตัว ชายมีหนวดเคราคำรามด้วยเสียงหัวเราะ เมื่อเขาเห็นว่าแฟรงก์มีพฤติกรรมเช่นไร สายตาของเขาไม่เคยละจากแฟรงก์เลยแม้แต่วินาทีเดียว “ยิ่งพูดฉันก็ยิ่งอยากฆ่านายมากขึ้นไปอีก! อีกไม่นาน นายจะได้พบกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก!”แฟรงก์ตัวสั่นเมื่อนึกถึงภาพที่ชายมีหนวดเคราทรมานเขาจนตาย เขาเกือบจะอิจฉาเฟนด์ผู้ซึ่งเขาแน่ใจว่าจะได้ตายอย่างรวดเร็ว ด้วยความตื่นตระหนก จู่ ๆ แฟรงก์ก็ชี้ไปที่หน้ากากบนใบหน้าของเฟนด์แล้วพูดว่า "ก่อนที่พวกนายจะมาเขาไม่ได้สวมหน้ากาก พอเห็นว่าพวกนายมาเขาก็สวมมันไว้! นายน่าจะร
เฮลธ์สูดหายใจเข้าลึก ๆ สวมหน้ากากหรือไม่สวมหน้ากาก เขาก็ไม่สน จากนั้นเขาก็หยิบดาบยาวสองเล่มที่มีความยาวสามฟุตเท่ากันออกมาจากแหวนยุทธของเขาและถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง วิชาดาบที่เขาฝึกฝนมานั้นเป็นทักษะดาบคู่ และเขายืนอยู่ในลักษณะที่ทำให้เขาสามารถเปิดการโจมตีได้ในทันที ชายสวมหน้ากากจ้องไปที่เฮลธ์อีกครั้ง เมื่อได้เห็นเช่นนั้นเฟนด์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและมองไปที่ศิษย์สำนักวายชนม์อีกสามคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาชายมีหนวดเครามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า พยายามอ่านใจเขา ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมาและพูดว่า "ฉลาดดีนี่ที่คิดจะเปลี่ยนเรื่อง แต่นั่นไม่ช่วยอะไรหรอก! ฉันจะถอดหน้ากากของนายด้วยมือของฉันเองเพื่อที่จะได้เห็นกับตาว่านายเป็นใคร!"เฟนด์ถอนหายใจเบา ๆ ไม่สนใจเขา และหันหน้าหนี อันที่จริง ตำแหน่งที่เขาและแฟรงก์อยู่ถือว่าปลอดภัยกว่าอีกสามคน ชายสวมหน้ากากอาจคิดว่าพวกเขาสองคนเป็นพวกกระจอกจึงไล่ต้อนพวกเขาออกมา ซึ่งนั่นจะทำให้เฟนด์หลบหนีได้ง่ายขึ้น แต่แม้ว่าเขาต้องการที่จะหลบหนี แต่เขาก็ต้องแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้านี้ให้ได้เสียก่อนทันทีที่ชายมีหนวดเคราพูดจบ เขาก็พุ่งเข้าหาเฟนด์และแฟรงก์พร้อมทั้งแกว่งขว
ภายในดวงตาของชายมีหนวดมีเคราเกิดประกายตระหนก เขามองไปที่เฟนด์อย่างไม่เชื่อสายตาและตะโกนขึ้นว่า “ไอ้สารเลว! แกกำลังฝึกฝนศิลปยุทธแบบไหนกันทำไมถึงได้ต่อกรกับทักษะธาตุไฟที่ฉันฝึกอยู่ได้?!”เฟนด์เยาะเย้ยและไม่พูดอะไรกลับไป ทักษะทลายห้วงสุญญะที่เขาบ่มเพาะนั้นอย่างน้อยก็เป็นทักษะระดับนภา หากไม่ใช่เพราะความทรงจำที่บรรพบุรุษในสมัยโบราณทิ้งไว้ให้ เขาคงจะไม่สามารถบอกได้ในทันทีว่าเปลวเพลิงบนขวานผ่าภูเขาเป็นทักษะยุทธประเภทใด แต่ด้วยความช่วยเหลือจากความทรงจำที่ได้รับมา เขาถึงสามารถมองออกได้อย่างรวดเร็วว่าเปลวเพลิงดังกล่าวจะต้องเป็นทักษะศิลปยุทธขั้นสูงระดับโลหิต ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับที่เวสลีย์มีแต่ทักษะศิลปยุทธของเวสลีย์ไม่ได้ทรงพลังเท่ากับเปลวเพลิงนี้ ซึ่งก็หมายความว่าระดับความเชี่ยวชาญในการใช้เปลวเพลิงของชายมีหนวดมีเครานั้นต้องสูงกว่าของเวสลีย์อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นทำให้เกิดช่องว่างระหว่างทักษะศิลปยุทธที่ทั้งสองคนใช้เมื่อดูจากภายนอกชายมีหนวดเคราอาจดูสงบ แต่ภายในใจของเขากับมีพายุกำลังก่อตัวขึ้น เขารู้ว่าชายสวมหน้ากากต้องการให้พวกเขาฆ่าเฟนด์และคนอื่น ๆ ให้เร็วที่สุดเพื่อเลี่ยงการการดึงดูดความสน
“แกเป็นใครกัน?! แกต้องปกปิดระดับการบ่มเพาะของตัวเองแน่!” ไม่มีทางที่ศิษย์ขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดจะเอาชนะเขาได้เช่นนี้ เขาไม่เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บหนักเท่านั้น แต่ยังปล่อยให้อาวุธหลุดมืออีกด้วย ถ้าเรื่องนี้เล็ดลอดออกไปเขาจะต้องกลายเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน!ผู้ที่สามารถเข้าสู่แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามล้วนเป็นพวกระดับสูงในสำนักเขาเคยพบกับคนที่ท้าทายคนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่ามาบ้าง อันที่จริงเขาก็พอจะทำเช่นนั้นได้อยู่ แต่นั่นดูจะเป็นเพียงการคุยโวเสียมากกว่าทุกคนในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามต่างก็เป็นอัจฉริยะด้วยกันทั้งนั้น และในความคิดของชายมีหนวดเครา การต่อสู้ระหว่างอัจฉริยะสองคนโดยที่คนหนึ่งต่อสู้กับคนที่อยู่ในระดับเหนือกว่านั้นเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน นอกเสียจากว่าเขาจะเป็นผู้ที่จงใจลดระดับการบ่มเพาะของตัวเองลงเพื่อเข้าสู่แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม ไม่ก็คนเช่นชายสวมหน้ากาก ซึ่งด้วยพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการเขาได้อยู่มือแล้ว ในเวลานั้น ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้ของตัวเอง ดังนั้นคนเดียวที่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างชายมีหนวดเคราและการต่อสู้ของเฟนด์จึงมีเพียงแฟรงก์และศัตรู
แต่ทว่าคำพูดเหล่านั้นล้วนออกมาจากปากของเฟนด์ นอกจากนี้เฟนด์ยังคงสงบนิ่งอยู่ตลอดการต่อสู้ ดังนั้นซาเมียนจึงมั่นใจว่าเฟนด์ยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังเต็มที่ และหากเป็นเช่นนั้นซาเมียนก็มีโอกาสสูงที่จะแพ้อีกครั้งเช่นกันเขากลืนความคิดลงและมองไปที่เฟนด์ด้วยความกลัว ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งแล่นผ่านพวกเขาไป ทุกคนมองไปที่ร่างนั้นพร้อมกัน เป็นชายสวมชุดสีเขียวซึ่งถูกกระแสลมพัดไปชายคนนั้นถูกส่งให้บินไปไกลหลายสิบหลาก่อนที่จะตกลงบนพื้นอย่างแรงพร้อมกับเสียงดังสนั่น หัวใจของเฟนด์เต้นไม่เป็นส่ำ เขาก้าวไปข้างหน้าทันทีและตะโกนว่า “ศิษย์พี่เฮลธ์ คุณไหวหรือเปล่า?!”เฮลธ์ไออย่างรุนแรงถึงสองครั้ง และกระอักเลือดออกมาราวกับว่าเขามีเลือดอยู่นับอนันต์ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอมม่วง มีเลือดเปรอะเปื้อนมุมปาก เขาพยุงตัวเองขึ้นด้วยแขนข้างหนึ่งและพยายามหยัดกายขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาลุกขึ้นได้เพียงครึ่งทางก่อนที่จะเสียการทรงตัวและล้มลงกับพื้นอีกครั้งเฟนด์หันหน้าไปทันทีเพื่อเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากซึ่งดูไม่ต่างจากเมื่อก่อน แม้แต่ชายเสื้อผ้าของเขาก็สะอาดไม่มีคราบฝุ่น ราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ในสนามรบ
ซาเมียนถอนหายใจภายในใจ ชายสวมหน้ากากจะตราหน้าว่าเขาอ่อนแออย่างแน่นอนหากเขาขอความช่วยเหลือในตอนนี้ เขาไม่อยากสร้างความไม่ประทับใจให้แก่อีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงเลือกกัดฟันอดทนเฟนด์หรี่ตาและคิดแผนการขึ้นในทันใด นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้หลบหนีเนื่องจากความสนใจของชายสวมหน้ากากถูกเบี่ยงเบนไปทางอื่นแล้ว หากเขาไม่หนีไป เขาคงตายไปพร้อมกับคนอื่น ๆ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาจึงเปิดใช้งานกำลังภายในของตัวเองและร่ายทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาออกมาดาบวิญญาณจำนวนสิบห้าเล่มปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา เขาควบรวมดาบวิญญาณสิบห้าเล่มในโถงวิญญาณได้สำเร็จหลังจากดูดซับผลึกวิญญาณสลาย ดาบวิญญาณทั้งสิบห้าเล่มที่เปล่งประกายสีดำอมเทาคือไพ่ตายของเฟนด์ พวกมันเต็มไปด้วยพลังที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ขณะที่หมุนวนอยู่บนฝ่ามือของเฟนด์ซาเมียนรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นดาบวิญญาณดังกล่าว เขารู้สึกไม่ดีกับพวกมันเลย แต่ถึงกับนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้กับเฟนด์ตัวต่อตัว ดังนั้นเขาจึงกัดฟันชนและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แห่งชีวิตของเขาแต่ก่อนหน้านั้น เขาหันหน้าไปมองศิษย์สำนักวายชนม์อีกสองคนที่กำลังต่อสู้กับแฟรงก์อย่าง
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ