วิธีที่เฮลธ์ทำฟังดูคล้ายไม่มีอะไรน่าสงสัยในสิ่งที่เขาพูด คนฉลาดอย่างเขาไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามอะไรมากมายก็สามารถสังเกตได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติกับข้อตกลงเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่าเฮลธ์ห่วงใยศิษย์น้องร่วมสำนักของเขาเท่านั้นไม่ได้ห่วงใยคนที่ถูกเรียกว่า 'ศิษย์น้อง' อย่างเฟนด์เลยแม้แต่น้อย“นี่ ทำไมนายมองหมาป่าสามหัวแบบนั้นล่ะ? นายไม่พอใจในกฎพื้นฐานอย่างนั้นเหรอ? อย่าบอกนะว่านายคิดว่าทุกอย่างเป็นของนาย!” แฟรงก์เอ่ยอย่างยั่วยุเมื่อเห็นเฟนด์เงียบเฟนด์ขมวดคิ้วและหันใบหน้าที่มืดมนไปทางแฟรงก์ซึ่งกำลังขมวดคิ้วและมองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม เฟนด์เยาะเย้ยเและคิดว่าอีกฝ่ายคงคิดว่าเขาเป็นพวกขี้ขลาด เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างเมื่อเฮลธ์ตัดบทว่า "ไร้สาระ ในเมื่อศิษย์น้องเฟนด์ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวแล้วคุณจะพูดออกมาทำไม และอีกอย่าง ตัดสินจากความประทับใจแรก ผมมองออกเลยว่าเขาเป็นคนประเภทมองอะไรเป็นมุมกว้าง ผมมั่นใจว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเรา ผมพูดถูกไหม ศิษย์น้องเฟนด์?”'มองอะไรเป็นมุมกว้าง? นั่นหมายความว่าถ้าฉันเห็นต่างไปจากความคิดเห็นของพวกเขาก็เท่ากับว่าฉันเป็นพวกเห็นแก่ตัวอย่างนั้นน่ะสิ? ว้าว เฮล
แฟรงก์ขมวดคิ้วและพูดอย่างเฉยเมยว่า “พวกเราแต่ละคนในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามล้วนเป็นอัจฉริยะ”เฮลธ์ขมวดคิ้วและกำลังจะพูดอย่างอื่นแต่ถูกเอดริกห้ามไว้ เขาหันกลับมาและพูดว่า “ศิษย์น้องแฟรงก์ ได้โปรดหยุดอยู่แค่นั้นเถอะ อย่าลืมว่าเราทุกคนเป็นทีมเดียวกันและควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ฉันขอแนะนำให้นายระวังคำพูดที่นายจะพูดต่อจากนี้ไม่เช่นนั้น…ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นฉันก็จะไม่ช่วยนาย”ประโยคสุดท้ายของเอดริกเต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่ แฟรงก์เม้มปากและก้มหัวลงอย่างไม่เต็มใจและพูดว่า “ก็ได้ ศิษย์พี่เอดริก”เอดริกถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นแฟรงก์ยอมโอนอ่อนให้ “ฉันรู้ว่านายมีความแค้นต่อตำหนักสองกษัตริย์อย่างลึกล้ำ แต่นายไม่ควรเอาเรื่องนั้นไปลงกับศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์ทุกคนที่นายเจอ”'อ่า เพราะความบาดหมางระหว่างเขากับตำหนักสองกษัตริย์จึงอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงทำตัวก้าวร้าวต่อฉัน แต่ถ้าแค้นตำหนักก็ไปลงกับตำหนักสิ ไม่ใช่มาลงกับฉันหรือศิษย์คนอื่น ๆ ของตำหนัก' เฟนด์คิด เขาคิดอยู่ในใจว่าจะให้แฟรงก์ได้ชดใช้สักวันในทุกสิ่งที่เขาพูดในไม่ช้าพวกเขาก็มุ่งหน้าไปทางตะวันออกหลังจากที่เฮลธ์พูดเรื่องเหลวไหลอี
เฮลธ์จ้องไปที่สัตว์อสูรตัวใหญ่ “ใช่ เราควรไปดูกัน แต่ดูจากขนาดของมันแล้ว มันต้องไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดาอย่างแน่นอน จะอันตรายได้หากเราเข้าไปใกล้มัน ดังนั้นขอให้ทุกคนระมัดระวังเป็นพิเศษ”ทุกคนพยักหน้า เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา พวกเขาจึงคิดแผนขึ้นมา ซึ่งก็ไม่ใช่แผนจริง ๆ แต่เป็นข้อตกลง ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดที่จะเป็นผู้นำและผู้อ่อนแอที่สุดที่จะรั้งท้าย พวกเขาจะค่อย ๆ เข้าใกล้สัตว์อสูรเพื่อที่พวกเขาจะได้หลบหนีได้เมื่อได้กลิ่นของความไม่ปลอดภัย พวกเขาจะวิ่งให้เร็วที่สุดในขณะที่ต้องแน่ใจว่าพวกเขาไม่หนีกันไปคนละทิศคนละทางจากคนทั้งห้า มีสี่คนอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิด เฮลธ์ถือเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และยังไม่รวมว่าเขามาจากสำนักสหัสบรรณ ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้นำ จากนั้นจะเป็นไบรอนและเอดริกในแถวที่สอง จากนั้นแฟรงก์และเฟนด์ในแถวที่สาม อันที่จริง การจัดรูปแบบนี้ไม่สำคัญว่าใครจะอยู่ข้างหน้า ตราบใดที่พวกเขาอยู่ใกล้กัน หากมีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาทั้งหมดจะต้องประสบชะตากรรมเดียวกันเฮลธ์ขมวดคิ้วและถือดาบทั้งสองในมือ ค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้สัตว์อสูรยักษ์ในท่าทางที่จะทำให้เขาสามารถโจ
พวกเขาอยู่ใกล้งูเหลือมเก้าเล็บมาก ประมาณหนึ่งร้อยหลาหรือน้อยเสียยิ่งกว่านั้น แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้สึกถึงออร่าอันทรงพลังที่เล็ดลอดออกมาจากงูเหลือมเก้าเล็บตัวนั้น นั่นทำให้พวกเขายิ่งประหม่ามากกว่าเก่า ประกอบกับความจริงที่ว่างูเหลือมเก้าเล็บนั้นแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน จนดูเหมือนไม่หายใจด้วยซ้ำ ดังนั้นทุกคนจึงเห็นด้วยกับการคาดเดาของเฟนด์เฮลธ์คิดว่าความรู้ของเฟนด์นั้นนับว่าไม่ธรรมดา แม้ว่าการบ่มเพาะของเขาจะไม่สูง แต่ทันทีที่เขาเปิดปากเฟนด์ก็รู้ดีว่าเขากำลังจะพูดอะไร “คุณฉลาดมาก ศิษย์น้องเฟนด์นั่นแหละที่ผมกำลังหมายถึง งูเหลือมเก้าเล็บตัวนี้ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด พวกคุณไม่คิดว่านี่มันแปลกมากเหรอ? ราวกับว่า...มันไม่มีชีวิตแต่…ตายไปแล้ว "เฟนด์พยักหน้าและมองไปที่งูเหลือมเก้าเล็บที่อยู่ข้างหน้าเขา งูเหลือมเก้าเล็บไม่ขยับจากตำแหน่งเดิมเลย เขาสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นไอใด ๆ ของมัน แม้แต่จังหวะหายใจของมันด้วยซ้ำ เฟนด์ขมวดคิ้วและพูดด้วยความมั่นใจ “ผมคิดว่างูเหลือมเก้าเล็บตัวนี้ตายไปแล้ว”ไบรอันพยักหน้าเช่นกันและพูดว่า “ศิษย์น้องเฟนด์พูดถูก ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่งูเหลือมเก้าเล็บตัวนี้มาตายที่นี่ได้
เอดริกหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “จริง ๆ แล้ว มันไม่แปลกเลย เพราะที่นี่ไม่เหมือนกับโลกข้างนอกนั่น โลกในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามนี้แตกต่างจากโลกภายนอกอย่างมาก บางทีสัตว์อสูรที่นี่อาจไม่ชอบกินซากสัตว์อสูรตัวอื่นก็เป็นได้”เฮลธ์และคนอื่น ๆ พยักหน้า คำอธิบายนี้แทบจะฟังไม่ขึ้นเลย เฟนด์ไม่ได้ฟังการสนทนาของพวกเขา แต่เขากลับยืนเขย่งเท้าและมองไปยังงูเหลือมเก้าเล็บแต่หัวจรดเท้าเขากดปลายนิ้วเท้าลงกับพื้น เปิดใช้งานพลังงานที่แท้จริงของตัวเอง และบินขึ้นไปในอากาศ เขามองลงมาที่งูเหลือมเก้าเล็บจากด้านบน เขาลอยอยู่ในอากาศประมาณสิบกว่าหลาขณะที่เห็นแสงสลัว ๆ กะพริบอยู่ใต้หัวของงูเหลือมเก้าเล็บแสงนั้นอ่อนมากจนถ้าไม่สังเกตให้ดีก็อาจจะมองไม่เห็น เขาคงจะพลาดไปอย่างแน่นอนหากไม่ใช่เพราะได้มองมันลงมาจากด้านบน มุมปากของเฟนด์โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม และเขารีบวิ่งไปยังจุดที่แสงส่องอยู่ทันทีงูเหลือมเก้าเล็บยักษ์ตัวนี้ขดตัวเหมือนยาจุดกันยุง และด้านล่างของหัวงูเหลือมคือจุดที่แสงส่องออกมา เขายังจำได้ชัดเจนว่าเฮลธ์เคยกล่าวไว้ว่าหญ้าวิญญาณและบุปผาวิญญาณจะเป็นของใครก็ตามที่ค้นพบมันเป็นคนแรก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเตือนพวก
เฟนด์เห็นประกายแห่งความโลภในดวงตาของเฮลธ์ เขาเป็นคนหนึ่งที่เอาแต่พูดว่าสมุนไพรวิญญาณและหญ้าวิญญาณจะเป็นของใครก็ตามที่ค้นพบมันเป็นครั้งแรก แต่มาดูจากวิธีที่เขาไม่ได้พูดถึงกฎพื้นฐานอะไรนั่นเลย ก็เป็นที่ชัดเจนว่าเขาทิ้งกฎพื้นฐานนั่นไปแล้วเฟนด์ไม่ใช่คนโง่ เขาไม่ปล่อยให้คนอื่นเอาเปรียบเขาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำการจะสำรวจสิ่งของที่มีแผงกั้นโปร่งใสขวางทางแฟรงก์หัวเราะอย่างเย้ยหยันและมองไปที่เฟนด์ด้วยความดูแคลน “ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมนายถึงรีบพุ่งตัวมาที่นี่ แล้วตอนนี้ทุกอย่างก็เผยออกมาแล้ว! นายวางแผนที่จะฮุบทุกอย่างเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวสินะ!”เฟนด์หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาทันที 'ให้ตายเถอะ เขาน่ารำคาญชะมัด! ทำไมเขาถึงเอาแต่พุ่งเป้ามาที่ฉันอยู่ได้?'“นี่คุณสมองกลวงหรือไง? คุณลืมกฎพื้นฐานไปแล้วเหรอ? หญ้าวิญญาณและบุปผาวิญญาณเป็นของใครก็ตามที่เป็นคนพบมันคนแรก? ก็ไม่แปลกที่ผมจะได้ครอบครองมันเพราะผมเป็นคนพบมัน!” เฟนด์กล่าวอย่างเป็นกันเองใบหน้าของแฟรงก์มืดลงกับคำพูดของเขา เขาไม่คิดเลยว่าเฟนด์จะโต้ตอบเขา เขากำลังจะสวนกลับเมื่อทุกคนได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากรอบ ๆ ทั้งห้าคนตกตะลึงอยู่ค
“นายท่านพูดถูก ที่นี่มีของดีอยู่จริง ๆ ด้วย” ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าพูดอย่างเย็นชาทันทีที่คำพูดนี้ลอยออกมา คนอื่น ๆ ต่างก็ประหลาดใจแต่ไม่ได้เปิดเผยบนใบหน้าของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เฟนด์ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วและซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเฮลธ์ราวกับถูกแทงจนต้องงอตัว เขาทำอย่างระมัดระวังจนทุกคนยกเว้นแฟรงก์ไม่ได้สังเกตว่าเขาทำเช่นนั้น เหตุผลเดียวที่แฟรงก์เห็นเขาก็คือเขายืนอยู่ข้างหลังเฟนด์อยู่ตลอดมาแฟรงก์เย้ยหยันและมองเฟนด์อย่างเหยียดหยาม “แหม ดูเหมือนจะมีบางคนกำลังกลัวจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว ทำไมนายถึงซ่อนอยู่ข้างหลังศิษย์พี่เฮลธ์แบบนั้น? อย่าบอกนะว่านายกลัวศิษย์ของสำนักวายชนม์”มุมปากของเฟนด์กระตุก เขาไม่มีเวลามาต่อกรกับแฟรงก์ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือการซ่อนใบหน้าของตัวเองเอาไว้ เพราะคนที่ถูกเรียกว่า 'ศิษย์พี่' คือชายสวมหน้ากากที่เขาได้พบที่ป่าดงอสูรชายสวมหน้ากากยังคงสวมหน้ากากไว้บนใบหน้าของเขา ซึ่งเหมือนกับที่เขาเห็นในวันนั้นทุกประการ แม้แต่เสียงของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไป ดังนั้นจึงต้องเป็นคนเดียวกันอย่างแน่นอน สิ่งที่ทำให้เฟนด์ประหลาดใจจริง ๆ ก็คือชายสวมหน้ากากเข้ามาในแหล่งทร
“มีแต่พวกหน้าซื่อใจคดเท่านั้นแหละที่จะมานั่งพูดเรื่องมารยาทและยางอาย อย่าบอกนะว่าที่พูดแบบนี้ก็เพราะอยากจะรักษาหน้าไม่ให้รู้สึกพ่ายแพ้ ดูก็รู้แล้วว่านายอยากที่จะแย่งชิงเค้กก้อนนี้ของเรา!”ทันทีที่ชายสวมหน้ากากพูดจบ ชายมีหนวดเคราที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาก็หัวเราะออกมา “พวกนายทุกคนก็แค่พวกขี้ขลาด เป็นคนหน้าซื่อใจคด แค่ดูก็รู้แล้วว่าพวกนายไม่ต้องการละทิ้งของล้ำค่าและต้องการหาเหตุผลที่ 'ชอบธรรม' ในการพิสูจน์ตัวเอง! เราไม่ได้เป็นพวกปากอย่างใจอย่างเหมือนนาย แต่พวกนายกล้าที่จะต่อสู้กับเราเพื่อของล้ำค่าพวกนี้ไหมล่ะ? บางทีพวกนายควรดูสภาพตัวเองเสียก่อนนะ!”ใบหน้าของเฮลธ์มืดลง ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครทำให้เขาอับอายเช่นนี้มาก่อน เขาชี้ไปที่ชายมีหนวดเคราด้วยความโกรธและตะโกนว่า “เราไม่ใช่พวกปากอย่างใจอย่าง แค่ดูก็รู้แล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นคนหาเรื่องก่อน แล้วพวกคุณยังมาหาว่าเราเป็นพวกหน้าซื่อใจคดอีกเหรอ?”เฟนด์เม้มริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้ ฟังจากน้ำเสียงของเฮลธ์ก็สัมผัสได้ว่าเขากลัวจริง ๆ และกำลังบังคับตัวเองตอบโต้กลับไปเพื่อรักษาหน้าของเขา ชายมีหนวดเคราคำรามด้วยเสียงหัวเราะและเหวี่ยงขวานเบิกฟ้าชี้ไปท